ทำไมกระต่ายถึงต้องอยู่บนดวงจันทร์กันนะ
ตลอดเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่แหงนมองบนฟากฟ้า มนุษย์ไม่ได้มองเห็นเพียงวัตถุทรงกลมที่สว่างไสวยามค่ำคืน แต่ยังเห็นเป็นกระต่ายน้อยที่โลดแล่นไปมาบนนั้นด้วย
วันเวลาผ่านไป เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า มนุษย์สามารถขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรก พวกเขาอาจต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าบนดวงจันทร์ไม่มีกระต่าย หากแต่เป็นร่องรอยของอุกกาบาต เรียกว่า ‘ร่องจันทรสมุทร (Lunar mare)’ ส่งผลให้พื้นผิวไม่เรียบเนียน ความสูงต่ำทำให้แสงตกทบจางและทึบต่างกัน จนเกิดเป็นลวดลายกระต่ายอย่างที่เห็น
แม้ว่าตอนนี้หลายคนจะทราบกันดีว่าไม่มีกระต่ายแสนซนบนดวงจันทร์ แต่ถึงอย่างนั้น ความเชื่อเรื่องกระต่ายบนดวงจันทร์ก็แทรกซึมและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ไปแล้ว อย่างในเอเชียตะวันออกหรือชนพื้นเมืองแถบอเมริกา กระต่ายบนดวงจันทร์แต่ละตำนานต่างทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนความเชื่อ ทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างคนในสังคมนั้นได้อย่างดี
ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงแบบนี้ เราเลยอยากชวนทุกคนไปรู้จักตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์แต่ละพื้นที่ให้มากขึ้น พร้อมไปดูว่าเจ้าหูยาวแสนซนเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวแทนของอะไรกันบ้าง เมื่ออ่านจบแล้วอย่าลืมแหงนหน้าไปทักทายเหล่ากระต่ายบนดวงจันทร์กันนะ
กระต่ายตัวแทนแห่งความเมตตาและเสียสละของชาวพุทธ

เรื่องเล่ากระต่ายบนดวงจันทร์ที่หลายคนเคยได้ยินในฝั่งเอเชียตะวันออก จุดเริ่มต้นมักสืบย้อนไปถึงตำนานชาดก ในคัมภีร์พุทธ ซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตชาติของพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
โดยมีเรื่องย่อว่า ในชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกระต่าย พระอินทร์ได้แปลงเป็นพราหมณ์มาทดสอบขออาหารจากสัตว์ 4 ชนิด ได้แก่ กระต่าย ลิง นาก และหมาป่า สัตว์ตัวอื่นสามารถหาอาหารอย่างผลไม้ หรือปลามาให้พราหมณ์ได้ แต่กระต่ายเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีสิ่งใดจะให้ จึงกระโดดเข้ากองไฟ เพื่อสละตนเป็นอาหารแก่พราหมณ์ผู้นั้น พระอินทร์ทรงประทับใจในความเสียสละของกระต่ายอย่างมาก จึงกล่าวสรรเสริญ พร้อมเขียนรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ เพื่อให้มนุษย์ระลึกถึงคุณงามความดีทุกครั้งที่แหงนหน้ามองพระจันทร์
จากนั้นเรื่องราวการกำเนิดกระต่ายบนดวงจันทร์ที่ว่าก็ได้ปรากฎในอีกหลายวัฒนธรรมแถบเอเชีย เริ่มจากจีน โดยปรากฎอยู่ใน ฉู่ฉือ (Chu Ci) กวีนิพนธ์จีนโบราณ ที่ผู้คนยกย่องกระต่ายบนดวงจันทร์ เรียกว่า ‘กระต่ายหยก (玉兔 Yùtù)’ เนื่องจากเคยสละชีวิตเข้ากองไฟ เพื่อเป็นอาหารให้แก่ชายชรา เง็กเซียนฮ่องแต่จึงพาขึ้นสู่ดวงจันทร์ เพื่อสอนวิธีปรุงน้ำยาอมฤต เช่นเดียวกับตำนานเวียดนาม กระต่ายบนดวงจันทร์ตำยาอายุวัฒนะในครก รวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลี ที่มีเรื่องเล่าคล้ายๆ กัน โดยกระต่ายในญี่ปุ่นจะตำโมจิ ส่วนเกาหลีกระต่ายจะตำแป้งต็อก บนดวงจันทร์แทน
ดังนั้น กระต่ายของชาวพุทธจึงถูกมองว่าเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและปัญญา แถมยังเป็นตัวแทนของความเสียสละ อีกมุมหนึ่งยังเป็นการสะท้อนความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอีกด้วย
กระต่ายตัวแทนแห่งความขลาดกลัวของชาวแอซแท็ก

ย้ายมาฝั่งทวีปอเมริกา ความเชื่อเรื่องกระต่ายบนดวงจันทร์ก็ปรากฎอยู่ในวัฒนธรรมของชาวแอซแท็ก (Aztec) เช่นกัน โดยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์โบราณในเม็กซิโก ที่มีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและมั่งคั่งทางความรู้อย่างมากในอดีตจนถึง
ในวัฒนธรรมของชาวแอซแท็ก เชื่อว่า กระต่ายหรือที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่า tochtli มีความเชื่อมโยงกับพระจันทร์เช่นกัน บางตำนานเล่าว่า หลังจากที่เทพแห่งพระอาทิตย์เพิ่งดับไป เทพเท็กซิซเทคัตล์ (Tecciztecatl) และเทพเจ้าของแอซแท็กองค์อื่นๆ ต้องเข้าแข่งขันกันเพื่อให้กลายเป็นพระอาทิตย์ดวงใหม่ ด้วยการกระโดดเข้ากองไฟ ในขณะที่เทพองค์ค่อยๆ ทยอยกันกระโดดเข้าสู่ไฟอันร้อนแรง แต่จู่ๆ เทพเท็กซิซเทคัตล์เกิดลังเลขึ้นมา จึงทำให้เทพเจ้าองค์อื่นโกรธมาก และขว้างกระต่ายใส่เขา หลังจากนั้นเทพเท็กซิซเทคัตล์จึงได้ไปเกิดเป็นดาวที่มีแสงสว่างน้อยกว่าดวงอาทิตย์ และมีรอยแผลรูปกระต่ายปรากฎขึ้นบนดวงจันทร์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้นั่นเอง
นอกจากความเกี่ยวข้องกับพระจันทร์แล้ว ชาวแอซแท็กยังยกให้เป็นเทพเจ้าแห่งความมึนเมาด้วย ตามตำนานเล่าว่าเทพธิดามายาฮูเอล (Mayahuel) เคยถวายพูลเก ซึ่งเป็นเครื่องดื่มมึนเมาให้แก่กษัตริย์เมืองทูลาจนขาดสติ จึงทำให้ทรงมีลูกเป็นกระต่ายถึง 400 ตัว และกระต่ายเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นเทพเจ้าความมึนเมา กระต่ายในของชาวแอซแท็ก จึงไม่ได้เป็นแค่สัตว์ตัวเล็กแสนน่ารักเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเหมือนตัวแทนของความลังเล รวมถึงเป็นเทพเจ้าที่พวกเขานับถือด้วย
กระต่ายตัวแทนแห่งความอยากรู้อยากเห็นของชาวมิคมัก

ชาวมิคมัก (Mi’kmaq) หรือชนพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอาศัยอยู่แถบแคนาดาและบางส่วนของสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักเร่ร่อนไปตามฤดูกาล และสร้างกระโจมเป็นที่อยู่ ด้วยความที่อาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีท้องฟ้าเป็นหลังคา และต้นหญ้าเป็นพื้นห้อง พวกเขาจึงมีตำนานเกี่ยวกับกระต่ายบนดวงจันทร์เช่นกัน
เรื่องเล่านี้ถูกเล่าเป็นนิทาน ชื่อว่า Rabbit and the Moon Man พูดถึงกระต่ายตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่กับคุณยายในป่าลึก ทุกๆ วันเจ้ากระต่ายน้อยมักวางบ่วงเพื่อดักจับสัตว์เล็กๆ เพื่อเป็นอาหาร เช้าวันหนึ่งมันไปที่บ่วงล่าสัตว์เหมือนกับทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเจอแต่ความว่างเปล่า เจ้ากระต่ายรู้ว่าต้องมีคนขโมยไปแน่
วันต่อมา กระต่ายน้อยจึงสุ่มดักรอเจ้าหัวขโมย และแล้วคืนนั้นมันก็พบกับชายขายาวที่มีแสงจันทร์เปล่งออกมาจากตัว เจ้ากระต่ายรีบกระตุกเชือกรัดบ่วงหัวขโมยและขว้างโคลนใส่ชายคนนั้นทันที ชายคนนั้นโกรธมาก และบอกให้กระต่ายตัวนั้นรีบปล่อยตัวเขาไป เพราะเขาคือดวงจันทร์ต้องรีบกลับขึ้นไปบนฟ้าก่อนรุ่งอรุณจะมาถึง สุดท้ายพระจันทร์ก็ได้กลับขึ้นไปบนฟ้า พร้อมกับโคลนที่เจ้ากระต่ายเคยขว้างใส่ที่ไม่ว่ายังไงก็ลบไม่ออก จนกลายเป็นลายกระต่ายบนดวงจันทร์อย่างที่เราเห็นทุกค่ำคืน
กระต่ายของชาวมิคมักจึงไม่ได้เป็นตัวแทนของความเสียสละเหมือนชาวพุทธ หรือความลังเลเหมือนกับชาวแอซแท็ก กลับกันมันเป็นเหมือนตัวแทนของความอยากรู้อยากเห็นและความซุกซนด้วยนั่นเอง
กระต่ายตัวแทนของความเฉลียวฉลาดของชาวเคร

ขยับมาไม่ใกล้จากชาวมิคมัก ยังมีชนพื้นเมืองของแคนาดาอีกกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า เคร (cree) แม้จะเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมในแถบอเมริกาเหนือที่มีวัฒนธรรมหรือความเชื่อคล้ายกัน แต่ชาวเครก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกระต่ายบนดวงจันทร์ในแบบของตัวเอง แถมยังเชื่อมโยงกับสัตว์ชนิดอื่นในท้องถิ่นด้วย
ตามตำนานเล่าถึงกระต่ายหนุ่มที่ใฝ่ฝันอยากขึ้นไปดวงจันทร์ แต่ลำพังแค่ตัวมันเองคงกระโดดขึ้นไปไม่ได้ กระต่ายน้อยจึงต้องหาผู้ที่จะพามันขึ้นไป ซึ่งมีเพียงนกกระเรียนตัวเดียวเท่านั้นที่เต็มใจช่วย มันจึงใช้อุ้งเท้าเล็กๆ เกาะขาของนกกระเรียน ด้วยระยะทางที่ไกลลิบ และน้ำหนักตัวที่ถ่วงนกกระเรียนไว้ จึงทำให้ขาของนกกระเรียนค่อยๆ ยืดออก และเมื่อถึงดวงจันทร์ อุ้งเท้าที่เต็มไปด้วยเลือดของกระต่าย เนื่องจากมันจับไว้แน่นเกินไป เกิดไปสัมผัสกับหัวนกเข้า จึงทำให้นกกระเรียนกลายเป็นนกขายาวหัวสีแดง โดยที่มีกระต่ายบนดวงจันทร์จนถึงทุกวันนี้
ในวัฒนธรรมเคร มองว่ากระต่ายเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์แสนซน ไม่ต่างจากชาวมิคมักมากนัก เจสัน คาร์เตอร์ (Jason Carter) ศิลปินเชื้อสายชนพื้นเมือง ซึ่งเคยสร้างสรรค์ผลงานโดยมีกระต่ายเป็นแรงบันดาลใจ อธิบายว่าสำหรับชาวเครแล้ว กระต่ายมักเป็นตัวแทนขอการปรับตัว และสร้างสิ่งใหม่เพื่อความอยู่รอดอยู่เสมอ ดังนั้นกระต่ายของพวกเขายังสื่อถึงความฉลาดเฉลียว และนำโชคดีมาให้ด้วย
แม้กระต่ายบนดวงจันทร์ของแต่ละพื้นที่จะมีที่มาแตกต่างกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตำนานเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานความเชื่อของคนแต่ละสังคม ซึ่งยังคงส่องสว่างเคียงคู่กันทุกครั้งที่เรามองขึ้นไปบนฟากฟ้า
อ้างอิงจาก