“ในชีวิตเราจะเห็นดาวหางฮัลเลย์ได้มากที่สุดสองครั้ง ครั้งต่อไปขอให้เราได้ยืนดูมันด้วยกันอีกนะ”
“บนดวงจันทร์น่ะ มีทะเลด้วย มีภูเขาด้วย แต่ทะเลก็ไม่เชิงเป็นทะเลหรอก”
ช่วงนี้มีหลายเรื่องให้เราได้แหงนหน้าดูท้องฟ้า ในสัปดาห์นี้เราก็มีเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งตามคติจีนถือว่าเป็นวันในช่วงกึ่งกลางของฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าจะกระจ่างใส ไม่มีเมฆฝน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นช่วงที่กระต่ายปรากฏขึ้นบนดวงจันทร์และสวยงามที่สุดวันหนึ่งของปี
แถมช่วงนี้ยังมีเพลงดาวหางฮัลเลย์ วิ่งวนไปวนมาทั้งในติ๊กตอกและในลิสต์เพลงฮิต ฟังๆ ไปก็อยากจะนอนฟังเพลงข้างๆ คนที่เรารักต่อไปอีกพันคืนนับจากนี้ เพื่อเฝ้ารอวันที่ดาวหางฮัลเลย์จะวนกลับมาให้มนุษย์ตัวจิ๋วอย่างเราได้สานสัมพันธ์ให้ยืนยาวจนกว่าจะถึงวันนั้น
เขียนมาเท่านี้เราเองก็คงจะรู้สึกว่า การออกไปยืนดูท้องฟ้ายามค่ำคืน ไปสังเกตเหล่าวัตถุและดวงดาวบนท้องฟ้า ได้มองหน้ากันและกันผ่านแสงจางๆ ของดวงจันทร์ใต้แสงดาว เป็นความสุขและความหวานซึ้งที่ไม่ว่าจะเป็นคนที่จูงมือคนรักหรือคนเหงา ก็ต่างรับรู้ความโรแมนติกของท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ สำหรับบ้านเราในช่วงนี้อาจจะมีฝนมากหน่อย แต่หวังว่าช่วงก้าวเข้าสู่เดือนตุลาคมนี้จะเป็นช่วงที่เราเริ่มมีลมหนาวและท้องฟ้าปลอดโปร่ง ซึ่งอาจเป็นโอกาสดีๆ ที่เราจะได้เตรียมตัวออกไปแหงนหน้ามองท้องฟ้า นี่คือเหตุผลที่การดูดาวกลายเป็นกิจกรรมที่ยอดเยี่ยม และถ้าเรารู้แนวทางการดูดาวก็จะทำให้มันโรแมนติกขึ้นด้วย
ดวงจันทร์และดาวหาง พลังของความรู้เล็กๆ น้อยๆ
ถ้าเราพูดถึงความโรแมนติก จริงๆ การรู้ ‘เรื่อง’ หรือรายละเอียดต่างๆ พร้อมกับความเข้าใจสิ่งต่างๆ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกโรแมนติกที่จะทำให้เรามีเรื่องพูดคุยกัน กระทั่งเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งของโลกและจักรวาล เช่น ถ้าเราไม่เข้าใจว่าดาวหางฮัลเลย์วนกลับมาทุก 75 ปี (ซึ่งจะกลับมาอีกครั้งในปี 2604) เราก็จะไม่รู้สึกว่าเรามีหมุดหมายบางอย่าง มีความรู้สึก หรือมีความสัมพันธ์ที่เราอยากบอกว่าอยู่ด้วยกันไปนานๆ เพื่อรอโอกาสดูดาวดวงนั้นกลับมาเยี่ยมโลกด้วยกันอีกครั้ง
คำมั่นสัญญาเล็กๆ และการยืนดูดาวตกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวด้วยกัน
อาจทำให้คำมั่นสัญญาของเราหนักแน่น
และมองเห็นภาพความสัมพันธ์ของคน 2 คนในระยะที่ยาวขึ้น
หากชวนคนที่คุณรักไปดูดวงดาวแล้วบอกว่า “เราจะรอดูดาวหางไปด้วยกันนะ” แค่นี้ก็หวานจนน้ำตาจะไหลแล้ว การมีประเด็นเล็กๆ น้อยๆ คุยกันจึงเป็นอีกหนึ่งความเท่ที่ช่วยสร้างบทสนทนาด้วยได้
นอกจากความเท่แล้ว อันที่จริงการจะไปดูดาวให้ได้ความหวาน ก็ต้องมีความรู้ในหลายๆ เรื่อง เช่น การต้องเลือกว่าเราอยากจะดูอะไรระหว่างดวงดาวกับดวงจันทร์ ถ้าช่วงปลายเดือนที่จะเป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์นี้ พระจันทร์จะถือเป็นหนึ่งในเทหวัตถุ (Space Object) ที่อยู่ใกล้โลก ในบางช่วงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และดวงจันทร์จะหันด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอ
เมื่อเราพอจะเข้าใจรายละเอียดของดวงจันทร์ จะนำไปสู่การชี้ชวนดูองค์ประกอบ หรือพูดคุยถึงเรื่องราวลักษณะของดวงจันทร์ได้ เช่น บนดวงจันทร์ที่เราเห็นเป็นแอ่ง เป็นเงาวงๆ นั้นเรียกกันว่า ทะเลบนดวงจันทร์ (Lunar Mare) เพราะในยุคหนึ่งนักดาราศาสตร์ส่องกล้องขึ้นไปแล้วคิดว่าบนดวงจันทร์มีทะเลอยู่ ทว่าทะเลบนดวงจันทร์นั้นไม่ได้เป็นทะเลเหลวแบบโลก แต่เป็นลาวาที่แข็งตัวจากการปะทุของภูเขาไฟ ทะเลหรือแผ่นลาวาพวกนี้จะสะท้อนแสงของโลก และมีลักษณะเป็นสีเทาด้วยเป็นพื้นที่สีเข้มกว่าพื้นที่อื่น
ทะเลบนดวงจันทร์ยังสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ราว 10 แห่ง และแต่ละแห่งก็มีชื่อเท่ๆ ต่างกันไป เช่น Mare Tranquillitatis (Sea of Tranquility) เป็นที่ๆ นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) กระโดดลงประทับรอยเท้าไว้ และฐานของยานอะพอลโลอย่าง Apollo 11’s Tranquility Base ก็ตั้งอยู่ขอบตอนใต้ของทะเลแห่งนี้
ความรู้ที่จำเป็นกับการดูดาวเพื่อความหอมหวาน
ย้อนกลับไปเมื่อเราดูท้องฟ้ายามค่ำคืน การมีความรู้ระดับเนื้อหาเอาไว้พูดคุยอาจไม่เพียงพอ เพราะการจะไปดูท้องฟ้า ดวงจันทร์ หรือดวงดาว เราควรเข้าใจลักษณะบางอย่างด้วย ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำเรื่องการดูดาว เราควรจะตัดสินใจว่าเราจะดูอะไร ถ้าอยากดูดวงดาวหรือดาวตก เราอาจต้องเลือกคืนที่เป็นคืนเดือนดับ เพราะว่าดวงจันทร์จะไม่เต็มดวงและแสงไม่สว่างมากนัก ไม่งั้นแสงจากพระจันทร์จะกลบแสงดาวอื่นๆ ไป
สำหรับคนที่อยากดูดวงจันทร์ ในเว็บไซต์ BBC ระบุไว้ว่า การเลือกช่วงเวลาเพื่อดูดวงจันทร์นั้นสำคัญ และกลับกลายเป็นว่าวันที่จันทร์เต็มดวง อาจจะไม่ใช่วันที่ดีนักในการดูรายละเอียดบนดวงจันทร์ เพราะแสงของดวงจันทร์ที่ไม่มีเงา จะทำให้เรามองไม่เห็นรายละเอียดต่างๆ อย่างที่เราตั้งใจ
ดังนั้นการดูปฏิทินข้างขึ้นข้างแรมจึงเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เราต้องพิจารณา นอกจากวันที่แล้ว สถานที่ก็สำคัญ การดูดาวและดวงจันทร์อาจต้องหาสถานที่ไกลออกไปจากเมืองซึ่งมีแสงรบกวนมาก หรืออาจต้องหาที่สูงๆ ที่เหมาะสมเพื่อการแหงนหน้า หรือล้มตัวลงนอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยกัน
เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยี ปัจจุบันในมือถือมีแอปพลิเคชั่นที่ใช้เพื่อส่องหาดวงดาวหรือกลุ่มดาวต่างๆ ได้ เราอาจเริ่มจากการมองหาดาวสำคัญทั้ง 5 ดวงอย่าง ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ซึ่งดาวแต่ละดวงจะสลับกันโดดเด่นอยู่บนท้องฟ้าตามแต่ละช่วงเวลา เพื่อบ่งบอกว่าเป็นเดือนไหนของปี เมื่อหาดาวสำคัญบางดวงเจอ เราก็อาจจะเริ่มชี้ชวนดูไปยังกลุ่มดาวอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียงกันได้
การดูดาวถือเป็นกิจกรรมที่ต้องเตรียมตัว เตรียมพื้นที่ และเตรียมใจ เราอาจจะเตรียมอาหาร ผ้าห่ม สถานที่สำหรับปูผ้าและผ้าห่มนุ่มๆ ทว่าการดูดาวก็ยังทำให้เราได้เรียนรู้ถึงการล้มแผน หรือการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้ด้วย ถ้าโชคดีฟ้าก็อาจจะโปร่งจนสามารถดูดาวได้มากมาย แต่ถ้ามีฝนเราก็อาจต้องทำใจและหัวเราะไปกับมัน พร้อมกับเปลี่ยนแผนกันไป
หากเราเดตกับใครนานๆ และไปดูดาวด้วยกันหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเห็นดาวหรือไม่ก็ตาม ด้วยความผันแปร ความไม่แน่นอนของท้องฟ้าและอากาศ เราเองก็น่าจะมีโอกาสได้สร้างโมเมนต์หลายๆ แบบไว้เป็นความทรงจำ หรือถ้าโชคดีมากๆ เราก็อาจจะได้เห็นดาวตกหลายๆ ครั้ง ซ้อมไว้รอวันที่จะได้ดูดาวหางฮัลเลย์ด้วยกันในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
สุดท้ายนี้ การดูดาวไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนมีความรัก สำหรับคนที่อกหักหรือคนที่อยู่ตามลำพัง การได้ออกไปอยู่กับตัวเองเงียบๆ ได้ยืนอยู่ในความมืดมิดของยามค่ำคืน มีเพียงแสงดาวน้อยๆ เป็นเพื่อน ลักษณะความเงียบสงบเหล่านี้ ก็อาจทำให้เราได้รื้อฟื้นความทรงจำ หรือเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปได้
เราอาจจะเจ็บจากการเปิดปากแผล แต่ก็อาจค่อยๆ ได้เรียนรู้ความรู้สึกของความเงียบ และการอยู่เป็นส่วนเล็กๆ ที่เดียวดายในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ได้เหมือนกัน
อ้างอิงจาก
skyatnightmagazine.comspace.com