คนประเทศไหนขึ้นชื่อเรื่องการนอกใจมากที่สุด?
ภายในเวลาไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา เราเห็นข่าวการนอกใจไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่ใช่เฉพาะในแวดวงบันเทิงของไทย แต่ในต่างประเทศเองก็มีข่าวคราวเช่นนี้ให้ได้เห็นบ่อยๆ
ที่น่าสนใจคือแม้ว่าการนอกใจจะเป็นเรื่องที่หลายคนรับไม่ได้ ฝ่ายที่นอกใจย่อมได้รับผลตามมา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังเห็นข่าวคราวแบบนี้วนเวียนอยู่ไม่หายไปไหน จนอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรคือเบื้องหลังที่ส่งเสริมให้พฤติกรรมนี้ยังคงวนเวียนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคม
คงไม่ผิดหากจะบอกว่าการนอกใจเป็นเรื่องของสามัญสำนึกส่วนบุคคล แต่การที่เรายังคงเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นราวกับฉายวิดีโอม้วนเดิมซ้ำๆ ก็อาจเป็นไปได้ว่าบางวัฒนธรรมก็อาจมีส่วนไม่น้อยที่เอื้อให้พฤติกรรมการนอกใจกลายเป็นเรื่องปกติ
ก่อนที่จะไปถึงว่าวัฒนธรรมแบบไหนที่เอื้อให้เกิดการนอกใจบ้าง เราอยากชวนมาดูผลสำรวจประชากรของ World Population Review ว่ามีประเทศไหนบ้างที่ขึ้นแท่นเป็นประเทศแห่งการนอกใจมากที่สุด เพื่อให้เราเห็นภาพคร่าวๆ กัน
ผลที่ออกมาอาจทำให้เราเซอร์ไพรส์เล็กน้อย แต่ไม่เกินความคาดหมายเท่าไหร่ เพราะอันดับ 1 ตกเป็นของประเทศไทย ที่มีการนอกใจสูงถึง 51% ถือเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีคะแนนสูงที่สุดท่ามกลางประเทศฝั่งยุโรป อย่าง เดนมาร์ก 46% เยอรมนีและอิตาลี 45% และฝรั่งเศส 43%

ในผลสำรวจนี้ก็ชี้ให้เห็นว่าการนอกใจถือเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนก็ตาม เพราะความเชื่อใจเป็นสิ่งพื้นฐานในความสัมพันธ์ และการนอกใจ บางครั้งอาจหมายถึงการทำลายความเชื่อใจที่อีกฝ่ายมอบให้
โดยการนอกใจที่ว่าก็อาจเป็นได้ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น การแอบคุย แอบหว่านเสน่ห์ แอบมีความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอื่น หรือพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดสุดคือการไปมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่น จึงไม่แปลกหากการนอกใจจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลายความสัมพันธ์ต้องจบลง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าการนอกใจจะเป็นเรื่องผิดสำหรับทุกคน เพราะบางสังคมก็อาจมองเรื่องการนอกใจต่างออกไปจากมุมที่เราคุ้นเคย ในท้ายแบบสำรวจนี้ก็ได้อธิบายเพิ่มว่า หลายประเทศในยุโรปไม่ได้มองว่าการนอกใจเป็นเรื่องผิดเสมอไป คนบางกลุ่มก็เชื่อว่าการมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นนอกจากคู่ของตัวเอง ก็อาจเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาไม่ให้ชีวิตคู่ยังไม่จืดจางลงไป เช่น คนในฝรั่งเศสและฟินแลนด์ส่วนหนึ่งที่มองว่าการนอกใจเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเราจะพบการนอกใจได้บ่อยในประเทศแถบยุโรป
แต่สิ่งที่น่าตั้งคำถามต่อมาคือแล้วอะไรที่ทำให้ประเทศไทย ซึ่งไม่ได้เปิดกว้างเรื่องการนอกใจมากนัก กลายเป็นประเทศที่มีการนอกใจสูงเป็นอันดับ 1 ไปได้

อำนาจที่ไม่เท่ากันในความสัมพันธ์
ไม่เพียงแต่มุมมองที่ว่าการนอกใจเป็นเรื่องธรรมดาของคนบางกลุ่มแล้ว สิ่งที่ทำให้การนอกใจเกิดขึ้นได้หลายเหตุผล หนึ่งในนั้นยังเป็นเรื่องของความมั่นคงทางการเงิน และอำนาจในความสัมพันธ์ที่ไม่เท่ากันด้วย
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Sexual Behavior ในปี 2024 ได้ทำการทดลองและพบว่าพลวัตรอำนาจ หรือ Power Dynamics มีผลต่อพฤติกรรมการนอกใจของคู่รักสำหรับใครที่ยังไม่คุ้นกับคำว่า Power Dynamics สิ่งนี้หมายถึงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในความสัมพันธ์ เช่น มีคนยอมให้อีกฝ่ายตลอด หรืออีกฝ่ายสามารถคุมเกมได้ดั่งใจ ว่าอยากให้ความสัมพันธ์นี้ไปในทิศทางไหน
โดยงานนี้ได้ต่อยอดจากงานวิจัยเดิม ที่ชี้ให้เห็นว่าคนที่มีอำนาจมากกว่า มักรู้สึกมั่นใจ และคิดว่าตัวเองสมควรได้รับสิ่งต่างๆ ต่อมาผู้วิจัยก็ได้นำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับเรื่องความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก ซึ่งพบว่าคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่า มักมีแนวโน้มจะเลือกตัวเลือกอื่นๆ ที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง หรือพูดง่ายๆ ว่า คนเหล่านี้มักคิดว่าตัวเองสามารถนอกใจไปกับคนอื่นได้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
สิ่งที่ทำให้อำนาจในความสัมพันธ์ไม่เท่ากันที่เห็นได้ชัดสุดคงเป็นเรื่องการเงิน คริสติน มุนช์ (Christin L. Munsch) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัต อธิบายว่าในผู้ชาย หากพวกเขามีรายได้เกิน 70% ของครอบครัว โอกาสที่จะนอกใจเพิ่มสูงขึ้น จึงไม่แปลกใจหากเราจะเห็นคนดัง นักกีฬา หรือการเมือง มักมีข่าวเรื่องความสัมพันธ์ลับๆ อยู่บ่อยๆ

ไม่ใช่แค่เรื่องอำนาจที่ไม่เท่ากันเท่านั้น แต่วัฒนธรรมการไม่สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่มีส่วนทำให้การนอกใจเพิ่มขี้น จากข้อมูลของนักบําบัดคู่รัก นาโอมิ ไลท์ (Naomi Light) อธิบายว่าเหตุผลอันดับหนึ่งของคนนอกใจ คือ ความรู้สึกขาดการเชื่อมโยงกันและกัน โดยเฉพาะขาดการสื่อสารที่เหมาะสมซึ่งนําไปสู่ระยะห่าง เช่น เมื่อมีใครสักคนยุ่งกับการทำงานและการดูแลลูก จนไม่ได้ใช้เวลาด้วยกัน
เรื่องนี้ก็สอดคล้องกับ รายงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมการนอกใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดย Japan Today สำนักข่าวญี่ปุ่น ที่พบว่าแม้เรื่องแบบนี้จะไม่ได้รับการยอมรับในสังคม แต่ที่การนอกใจยังเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เพราะทัศนคติเรื่องการแต่งงานที่ถือว่าเป็นหน้าที่ ที่ต้องคอยอดทนแม้มีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ จึงทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ที่แท้จริง และยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว
ทั้งบทบาทและอำนาจที่ไม่สมดุลกัน จนถึงการมุมมองที่มีต่อการเผชิญหน้าเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะในสังคมของชาวเอเชีย ก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วัฒนธรรมการนอกใจยังคงเกิดขึ้นต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทำอย่างไรเมื่ออยู่ในวังวนแห่งการนอกใจ
แม้ว่าวัฒนธรรมบางอย่างจะส่งผลให้การนอกใจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการแอบไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นลับหลังเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะถึงอีกฝ่ายจะทำผิดแค่ไหน หรือเราจะแย่ยังไง ก็ไม่ควรมีใครสมควรโดนหักหลัง เนื่องจากบาดแผลที่ทิ้งในใจมักส่งผลกับเราในระยะยาว
ทางออกที่จะตัดวงจรไม่ให้การนอกใจเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง จึงอาจหมายถึงการปรับอำนาจในความสัมพันธ์ให้สมดุลกันอีกครั้ง เพื่อให้เราสามารถพูดคุยถึงปัญหาและความไม่สบายใจกันได้อย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่ต้องให้ใครแอบไปมีความลับต่อกันอีก
แต่เพราะอำนาจเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น บางครั้งจึงอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเริ่มต้นไม่ได้เลย Inner Balance Counseling บริษัทบำบัดและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต ได้ให้คำแนะนำเพื่อให้เรานำไปปรับใช้ในความสัมพันธ์ของตัวเอง ดังนี้
รักษาแผลใจในตัวเอง: เพราะบางครั้งปมหรือบาดแผลในใจวัยเด็กอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว เช่น การยอมอีกฝ่ายมีอิทธิพลเหนือเราทุกครั้ง หรือไม่กล้าเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ท็อกซิกนี้ เพราะไม่เคยเรียนรู้วิธีปกป้องตัวเองมาก่อน ดังนั้นก่อนเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่าลืมเยียวยาบาดแผลในตัวเอง เพื่อให้เราเข้มแข็งและปกป้องตัวเองได้อีกครั้ง
ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง: สิ่งหนึ่งที่เราและอีกฝ่ายเท่าเทียมกันในความสัมพันธ์ คือการกล้าบอกความรู้สึกตัวเอง หากเราไม่โอเคตรงไหนหรืออยากให้อีกฝ่ายทำอะไร ต้องบอกออกไป เพราะการสื่อสารบ่อยๆ จะช่วยให้เราและอีกฝ่ายสังเกตพฤติกรรมที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจตั้งแต่เนิ่นๆ และหยุดปัญหาก่อนจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ และอย่าลืมพูดคุยอย่างใจเย็นและมีเหตุผลด้วยนะ
ประนีประนอม: บางครั้งในความสัมพันธ์เราอาจไม่สามารถชี้ได้ว่าเรื่องไหนผิดหรือถูกได้ชัดเจน เพียงแค่คน 2 คนมีความต้องการไม่ตรงกันเท่านั้น ดังนั้นเราอาจจะต้องหาทางให้ความต้องการของแต่ละคนมาเจอกันตรงกลาง เช่น หากเราเป็นคนชอบแสดงความรักด้วยการสัมผัส แต่อีกฝ่ายมองว่าแสดงออกมากเกินไป ก็อาจตกลงกันว่าจะแสดงออกเฉพาะภายในบ้านที่อยู่ด้วยกัน 2 คนเท่านั้น เพื่อไม่ให้ใครต้องเสียสละมากเกินไป
นึกถึงคุณค่าของตัวเองเสมอ: ในความสัมพันธ์ที่เท่ากัน เราจะไม่มองว่าใครด้อยกว่าใคร เพราะต่างฝ่ายต่างมีคุณค่าและเติมเต็มกันและกันได้ ดังนั้นอย่าลืมว่าตัวเองก็มีคุณค่า เราสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง พูดสิ่งที่ตัวเองคิด และเป็นตัวของตัวเองได้เสมอ และถ้าหากอีกฝ่ายทำให้เรารู้สึกไม่ดีพอเมื่อไหร่ อย่าลืมกลับมาทบทวน และกล้าที่จะเดินออกจากความสัมพันธ์นี้ทันทีนะ
แม้พฤติกรรมนอกใจจะเกิดขึ้นได้บ่อย จนเราเห็นชินตา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องยอมรับได้ด้วยเสมอไป สิ่งสำคัญคือการเคารพความรู้สึกตัวเอง เพื่อไม่ให้มีใครมาทำร้ายความรู้สึกของเรา
อ้างอิงจาก