ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ได้อัปเกรดตำแหน่งเป็นหัวหน้ากับเขาบ้าง เรามันก็เจ้าคนนายคนท่านหนึ่ง เตรียมตัวมาพร้อม ซ้อมมาอย่างดี แต่ลืมไปน่ะสิว่านี่ไม่ใช่สนามเดิมที่เราเคยผ่านมาก่อน หากเป็นตำแหน่งใหม่ในที่เดิมคงไปต่อได้ไว พอเป็นที่ทำงานใหม่ ไม่ว่าจะเข้าไปด้วยตำแหน่งใหญ่แค่ไหน เราก็ยังถือเป็นคนนอกอยู่ดี แบบนี้จะวางตัวยังไงดีนะ
ตำแหน่งหัวหน้า ไม่ว่าจะทีมเล็กทีมใหญ่ นับว่าเป็นหนึ่งขั้นความสำเร็จเมื่อเราได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไป หากเป็นพื้นที่เดิมที่เคยผ่านมา เราคงมองไปข้างหน้าโดยไม่ต้องกังวลอะไร เพื่อนร่วมงานเดิมที่คุ้นเคยกันดี เพื่อนซี้ที่กินข้าวกลางวันด้วยกัน ระบบการทำงานที่แทบจะหลับตาทำได้ ยิ่งเสริมให้ตำแหน่งของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในที่ทำงานนี้ ต่อให้มีอะไรรออยู่ข้างหน้าก็ยังเป็นสนามเดิมที่เคยซ้อมมาแล้ว
แต่หากเป็นพื้นที่อื่น แม้จะมีตำแหน่งสูงกว่าเป็นถึงหัวหน้าทีม หัวหน้าฝ่าย คุณสมบัติติ๊กถูกทุกข้อ ก็ยังนับว่าเป็นคนใหม่อยู่ดี หน้าที่ต้องคอยกำกับดูแลทีมให้เป็นไปตามทิศทางนโยบายขององค์กร แต่ยังไม่คุ้นเคยกับอะไรเลยสักอย่าง ทั้งผู้คน ใครเก่งอะไร เป็นคนแบบไหน รูปแบบการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร เหมือนกับต้องมาเรียนรู้ใหม่แต่เริ่ม
เรื่องทักษะ ความสามารถ กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย เมื่อก้าวเข้ามาได้แล้ว แปลว่าคุณสมบัติผ่านแล้วนี่ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการปรับตัวแล้วล่ะ
นึกถึงตอนเราเองเริ่มงานครั้งแรก เปลี่ยนงานใหม่ในฐานะพนักงานธรรมดาคนหนึ่ง ยังมีเรื่องให้คิดมากมายเต็มไปหมด แต่ตอนนี้ไปเป็นหัวหน้าเขาอีกที มีทีมที่ต้องบริหารอยู่ในมือ ความคาดหวังมันก็ต่างกันพอสมควร มีหรือจะวางความกังวลลงได้ วางตัวแบบไหนดีนะ สนิทสนมได้หรือเปล่า เข้าเรื่องงานได้เลยไหม ไหนจะศึกษารูปแบบการทำงาน ดูทิศทางลมการเมืองในออฟฟิศ
แน่นอนว่าอะไรเหล่านี้ค่อนข้างใช้เวลา และไม่ใช่เรื่องสำเร็จรูปที่จะปรับกันได้ปุบปับ แต่เมื่อก้าวเท้าก้าวแรกเข้าไปในพื้นที่ใหม่แล้ว สมมติว่าจะต้องทำความรู้จักกันวันแรก ต้องประชุมด้วยกันพร้อมหน้า หัวหน้ามาใหม่จะใช้วิธีไหนในการปรับตัวเบื้องต้นได้บ้างนะ
เราลองมาฟังคำแนะนำจาก แคลร์ หลิว (Claire Lew) CEO จาก Canopy แอปพลิเคชั่นให้คำแนะนำด้านการบริหาร เรียกว่าคำแนะนำมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้แบบตรงจุดกันดีกว่า
สร้างความเชื่อใจ เก็บของไว้ค่อยโชว์
ช่วงแรก เราไม่จำเป็นต้องเน้นหนักไปที่การโชว์วิสัยทัศน์นัก ความสามารถ ทักษะ จะปรากฏตามมาแน่นอนหลังจากเราลงมือลุยงานจริง ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรให้น้ำหนักคือการสร้างความเชื่อใจให้กับทีม แสดงให้ทีมเห็นว่าคุณสามารถไว้ใจได้นะ และพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ที่นี่ด้วย
แม้มันจะดูอ้อมค้อม ถ่อมตน อาจไปขัดกับนิสัยของบางคนไปบ้าง แต่เราต้องอย่าลืมว่า เราเป็นหน้าใหม่ที่นี่ คนที่นั่งตรงหน้าเรานี้มีสิ่งที่พวกเขารู้มากกว่าเราเสียอีก เป็นเราด้วยซ้ำที่ต้องเรียนรู้จากพวกเขา ให้เขามองเห็นเราในแง่บวกไว้ก่อนอาจช่วยให้หนทางราบรื่นกว่า
ทำความรู้จักกันด้วยตัวตนไม่ใช่ตำแหน่ง
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว แล้วเราจะทำยังไงให้ได้รับความเชื่อใจจากทีมดีล่ะ? ลองเริ่มทำความรู้จักกันด้วยการเปิดเผยตัวตนสิ แบไต๋เลยว่าเราเป็นคนยังไง ทำงานด้วยแนวทางไหน แลกเปลี่ยนกันด้วยตัวตนของเราจริงๆ และหลีกเลี่ยงการยกตนข่มท่าน แม้อีกฝ่ายจะตำแหน่งต่ำกว่าเราก็ตาม แต่การให้อีกฝ่ายซึมซับว่าเราเป็นผู้นำเท่านั้น อาจเป็นกำแพงที่ทำให้เราไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกันและกันอีกต่อไป
ทำความเข้าใจ ใครเป็นใครแบบรายคน
แม้เราอยู่ในตำแหน่งที่ดูภาพรวมของทีม แต่ในหน่วยย่อยของทีมก็ต้องขับเคลื่อนด้วยฟันเฟืองอย่างพนักงานตัวจ้อย อย่าพลาดที่จะทำความรู้จักแต่ละคนว่าใครเป็นแบบไหน ควรเข้าหาพูดคุยอย่างไร เก่งด้านไหน พึ่งพาอะไรได้ ยิ่งเรารู้จักพวกเขาเร็วเท่าไหร่ การทำงานที่ใหม่ยิ่งเข้ามือมากเท่านั้น เพราะนั่นหมายความว่าเรารู้จักเครื่องมือของเราเป็นอย่างดี และยิ่งพัฒนาความสัมพันธ์ได้ดีตามไปด้วย
เรากำลังอยู่ในขั้นเรียนรู้
ไม่ต้องอายที่จะบอกว่าเราไม่รู้อะไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนมาใหม่จะมีเรื่องที่ไม่รู้ หรืออยู่ดีๆ ก็เกิดนิมิตมีความรู้เท่ากับคนที่อยู่มานาน ยิ่งเราแสดงออกว่าเรากำลังเปิดรับการเรียนรู้เท่าไหร่ อาจช่วยให้คนรอบข้างที่เราร่วมงานด้วย เข้าใจในความติดขัดบางอย่าง ยินดีช่วยเหลือเรามากขึ้นด้วย
เตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ตึงมือ
ใครหน้าใหม่มาก็อาจโดนรับน้องได้ทุกตำแหน่ง อาจมาในรูปแบบคำถามกึ่งยิงกึ่งผ่าน ถามความคิดเห็นในเรื่องยากๆ หรือโยนปัญหาเรื้อรังมานานมาให้แก้ไข แม้จะเป็นเรื่องที่ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่นี่คือสิ่งที่เราต้องเจอในอนาคตในฐานะหัวหน้า ที่ต้องคอยแก้ไขปัญหาให้กับทีม
ไม่ว่าเราจะเป็นหัวหน้าหรือลูกทีม เมื่อก้าวเข้าไปใหม่ย่อมถูกจับตามองและแปะความคาดหวังไว้ทั้งนั้น คนเก่งแค่ไหนก็อาจจะต้องสู้จนหลังชนฝา แต่คนที่ปรับตัวได้ต่างหากที่จะเอาตัวรอดได้ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอยู่ที่ไหนก็ตาม
อ้างอิงจาก