สีน้ำแสนแพง ตอนนี้ถูกวางระเกะระกะจนฝุ่นจับ
กีต้าร์ใหม่เอี่ยม ตอนนี้เป็นแค่ของตกแต่งห้อง
ลู่วิ่งที่เคยตั้งใจว่าจะวิ่งให้ได้ทุกวัน ตอนนี้กลายเป็นราวตากผ้า
เมื่อมองไปรอบห้อง เราเห็นหลักฐานเชิงประจักษ์มากมายที่บอกว่าตัวเองเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ มากแค่ไหน วันที่อากาศสดใส จู่ๆ สมองก็แล่นฉิว ไอเดียมากมายผุดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อยากทำนั่นทำนี่เต็มไปหมด กว่าจะรู้ตัวเราก็อยู่ท่ามกลางโปรเจ็กต์นับสิบ แต่ถามว่ามีชิ้นไหนที่เป็นรูปเป็นร่างบ้างไหม ตอบได้คำเดียวเลยว่า ‘ไม่’
ใครบางคนอาจเคยบอกว่าการเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ยาก เราขอปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะสิ่งที่ยากกว่าจริงๆ คือการสานต่อให้จนจบต่างหาก แม้โปรเจ็กต์ส่วนตัวที่เราเริ่มไว้จะน่าสนุกแค่ไหน แต่พอถึงเวลาที่ต้องใช้งานเป็นจริงเป็นจัง กลับไม่เข้าขั้นที่จะเอาไปโชว์ใครได้ ตั้งใจดิบดีว่าจะทำให้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกกลางคัน ความตื่นเต้นที่เคยก่อนหน้านี้หายไปไหนหมดนะ แล้วจะมีทางไหนที่ ทำให้เราสานต่อสิ่งที่คั่งค้างให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจได้บ้าง

สิ่งที่ยากกว่าการเริ่มต้นคือการทำให้เสร็จ
มองไปทางไหนก็เห็นคนทำสิ่งที่รักจนสำเร็จ มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ขณะที่เรายังไปไม่ถึงไหน แถมยังล้มเลิกกลางคันอีก ทำกันนะเราถึงไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรได้นานๆ เลย
อันที่จริงเหตุการณ์นี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และอาจไม่ใช่เรื่องแปลกนัก หากเราเริ่มลงมือทำอะไรแล้ว แต่ไม่สามารถสานต่อจนสำเร็จ เพราะสิ่งนี้ใช้ความพยายามมากกว่าที่คิด
โรซาเบธ คันเธอร์ (Rosabeth Moss Kanter) ศาสตราจารย์และผู้เขียน Confidence: How Winning Streaks and Losing Streaks Begin and End เปรียบเทียบว่าโปรเจ็กต์หนึ่งประกอบไปด้วยจุดเริ่มต้น ตรงกลาง และจุดสิ้นสุด ซึ่งส่วนที่ยากที่สุดคือตรงกลาง เพราะมักเป็นช่วงที่เราเริ่มเผชิญหน้ากับความจริง และอาจรู้สึกถึงความล้มเหลวได้มากกว่าช่วงอื่นๆ เมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้นที่เรายังมีความตื่นเต้น หรือช่วงสิ้นสุดที่เรามักรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำให้สำเร็จลุล่วง
สิ่งที่ทำให้ช่วงระหว่างทางยากกว่าส่วนอื่นๆ เป็นผลมาจาก ‘planning fallacy’ หรือเหตุผลวิบัติในการวางแผน หมายถึงการที่เรามักประเมินเวลาที่ใช้ทำงาน ค่าใช้จ่าย หรือความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะโฟกัสกับสถานการณ์ที่ราบรื่นมากเกินไป จนลืมคิดถึงอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เราวางแผนผิดพลาดมีหลายข้อ เช่น เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองเกินจริง จนลืมบทเรียนจากอดีตไปว่าเราอาจจะทำไม่ได้อย่างที่คิด มองข้ามความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เข้ามาแทรกได้ทุกเมื่อ การยึดติดกับแผนการเดิมจนไม่ได้ปรับแผนให้เข้ากับสถานการณ์ หรือแรงกดดันจากสังคม ที่ทำให้เราเชื่อว่าตัวเองต้องทำให้ได้แบบคนอื่นๆ
สำหรับคนที่มีโปรเจ็กต์นับสิบแต่ทำไม่สำเร็จอย่างเราเข้าใจสถานการณ์นี้ดี เพราะมักเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยๆ อย่างครั้งหนึ่งที่เราตั้งใจจะลดน้ำหนักด้วยการวิ่ง อุตส่าห์ซื้อลู่วิ่งเสร็จสรรพ แพลนไว้อย่างดีว่าจะกลับมาวิ่งให้ได้หลังเลิกงานทุกวัน ซึ่งความตั้งใจเกินร้อยแบบนี้ยังไงเราก็ต้องทำได้แน่ๆ ไม่กี่สัปดาห์ชัวร์คงได้ผลอย่างที่ตั้งใจ
แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเราอาจลืมนึกไปว่าบางวันเราอาจรู้สึกเหนื่อยจากงาน จนไม่อยากวิ่ง หรือมีนัดกินข้าวกับเพื่อนกะทันหัน จนไม่สามารถวิ่งทุกเย็นไปได้ตลอด จนสุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะวิ่งทุกเย็นไป และการวางแผนที่ผิดพลาดนี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนทิ้งโปรเจ็กต์กลางคัน
ไม่ใช่เพียงแค่การมองโลกที่ดีเกินจริงที่ทำให้เราทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จเท่านั้น แต่บางคนยังอาจรู้สึกกังวลที่ต้องทำให้สำเร็จด้วย บทความจาก Fast Company สื่อด้านธุรกิจและการทำงาน อธิบายว่าความรู้สึกวิตกกังวลในการปิดจบงาน (Completion Anxiety) ก็อาจทำให้หลายคนไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ เพราะกลัวว่างานจะไม่สำเร็จ หรือทำได้ไม่ได้อย่างที่คิด จึงเลือกที่จะล้มเลิกกลางคัน จนกลายเป็นวงจรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดีพอ และไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ต่อไปเรื่อยๆ

เปลี่ยนล้มเลิกเป็นสำเร็จ
แม้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นวนลูปซ้ำๆ เริ่มจากกระโดดเข้าไปทำสิ่งที่น่าสนใจ ผุดแผนการมากมาย ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็ล้มเลิก แล้วมองหาสิ่งใหม่อีกครั้ง จนเหมือนเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถึงอย่างนั้นเราจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้จริงหรือ
ข่าวดีจากผู้เชี่ยวชาญคือ ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป เราเองก็สามารถเปลี่ยนตอนจบของเรื่องนี้ได้เหมือนกันนะ โดยอาจนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กับตัวเองกัน
ลองศึกษาจากตัวอย่าง: บางครั้งการที่เราทำอะไรบางอย่างได้ไม่สุดทาง อาจเป็นเพราะเราอยู่ในโลกของตัวเอง จนลืมทบทวนอดีตที่ผ่านมาก็ได้ เช่น เราอาจลืมคิดไปว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนชอบทำไปพักไป แต่ทุกครั้งที่ทำโปรเจ็กต์นั้นเรากลับบังคับตัวเองว่าต้องทำให้ครบเต็มเวลา แบบนี้ก็อาจทำให้เราไม่มีความสุขและล้มเลิกได้ง่ายๆ ทางที่ดีการสังเกตนิสัยตัวเอง หรือศึกษาจากคนอื่นว่าเขามีวิธีอย่างไร ก็อาจช่วยให้เราปรับกิจกรรมนั้นให้เหมาะกับตัวเองมากขึ้น
ตั้งกติกาเอง: ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้บรรทัดของคนอื่นมาวัดความสำเร็จของเราก็ได้นี่นา บางครั้งสิ่งที่คนอื่นมองว่าสำเร็จอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเสมอไป หากเป็นโปรเจ็กต์ส่วนตัวของตัวเอง เราก็สามารถออกแบบเป้าหมายเองได้เลย เช่น อยากอ่านหนังสือให้ได้ 10 เล่มใน 1 เดือน ในกองหนังสือนั้นก็ไม่เห็นต้องเป็นเล่มที่คนอื่นบอกว่าดีทั้งหมด แต่อาจจะรวมหนังสือภาพ หรือนิยายที่เราชอบเข้าไปด้วยก็ได้

แบ่งเป็นขั้นตอนเล็กๆ: วิธีที่จะช่วยให้เราทำให้เป้าหมายเป็นจริงง่ายขึ้น คือการแบ่งเป็นเป้าหมายย่อยๆ ระหว่างทาง เช่น ถ้าคิดว่าต้องพูดภาษาสเปนให้ได้แบบเจ้าของภาษาก็คงจะเป็นเรื่องยากเกินไป แถมยังต้องใช้เวลานานจนอยากล้มเลิกไปก่อนแน่ๆ เราอาจลองตั้งเป้าหมายเล็กๆ เช่น เริ่มต้นพูดแนะนำตัวให้ได้ก่อน ก่อนขยับไปที่ประโยคที่เอาไว้ใช้เวลาไปต่างประเทศ หรือพูดเรื่องในชีวิตประจำวัน วิธีนี้จะช่วยให้เรามีกำลังใจ สามารถทำได้เรื่อยๆ สุดท้ายก็อาจนำไปสู่เป้าหมายใหญ่โดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลยก็ได้
ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน: ถ้าแค่บอกว่าอยากวิ่งเก่ง ก็คงไม่รู้ว่าต้องวิ่งเท่าไหร่ถึงจะพอใจ หรืออยากวาดรูปให้เก่ง แต่ไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าเก่ง เราคงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสิ่งที่เราลงแรงไปคืบหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว และอาจทำให้เราท้อแท้ได้ง่ายๆ ดังนั้นอย่าลืมตั้งเป้าหมายให้ชัด เอาแบบให้เห็นภาพได้เลยว่าปลายทางแล้วเราอยากเห็นอะไร อยากวิ่งเก่ง เราต้องวิ่งให้ได้เพซไหน กี่นาที หรืออยากวาดรูปด้วยเทคนิคไหนให้ได้ วิธีนี้จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายโดยไม่หลงทางไปก่อน
แน่นอนว่าการมุ่งมั่นเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากเรามีเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง การลงทุนลงแรงวันนี้จะช่วยให้เราไม่เสียใจภายหลังได้ แต่หากท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เราตั้งใจไว้กลับใช้เวลานานกว่าที่คิด หรือความคืบหน้าแทบไม่ขยับเพิ่มขึ้นเลยก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลย
การทำไม่เสร็จก็มีเรื่องดีๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเราอาจได้ใช้เวลานี้สำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ปล่อยใจไปกับสิ่งที่เราเพิ่งค้นพบว่าตัวเองก็ทำสิ่งนี้ได้เหมือนกัน ได้ลองมองมุมอื่นๆ อย่างไม่รีบเร่ง ซึ่งอาจทำให้เราได้เห็นอะไรที่ลึกซึ้งขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องโฟกัสว่ามันต้องสำเร็จอย่างเดียวนี่นา
บางเรื่องหากไม่มีเดดไลน์ชัดเจน เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่เพราะทำไม่สำเร็จก็ได้ แค่เรามีความสุขระหว่างที่ทำก็พอแล้ว
อ้างอิงจาก