สำหรับคอหนังทั้งหลาย เคยสังเกตไหมว่า หนังหลายๆ เรื่อง ใช้เวลาเล่านานกว่าปกติ บางทีก็แอบขัดใจ กว่าจะรู้เบื้องหลังตัวละคร หรือเฉลยปมสำคัญของหนัง ก็ปาไปครึ่งค่อนเรื่องแล้ว ถึงอย่างนั้น เราก็หยุดดูไม่ได้ นั่งติดจอรอชมจนจบว่าท้ายสุดแล้วเรื่องจะจบลงอย่างไร
หากใครชอบดูหนัง แถมยังชอบสไตล์การเล่าเรื่องแบบไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป เหมือนกำลังนั่งดูอะไรบางอย่างค่อยๆ คลี่ออกต่อหน้า ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่า กำลังโดนตกเข้าสู้ด้อมคนรักหนังแนว Slow Burn เข้าให้แล้ว
คำคำนี้เป็นคำที่ปรากฏอยู่ในหลากหลายวงการที่เกี่ยวข้องกับการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการภาพยนตร์และวงการหนังสือ ทว่าครั้งนี้เราจะขอเจาะลึกไปที่วงการหนัง เพื่อพาทุกคนไปดูกันว่า แท้จริงแล้ว หนัง Slow Burn มันคืออะไร และมันมีสูตรสำเร็จหรือไม่
แล้วหากเราจะนำสูตรสำเร็จของหนังเรื่องนี้ไปปรับใช้กับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเราจะทำได้ไหม และทำอย่างไรได้บ้าง
หนัง Slow Burn คืออะไร?
ก่อนจะไปลองปรับสูตรมาใช้กับชีวิต ลองมาทำความรู้จักกันสักหน่อยว่า หนังสไตล์นี้จริง ๆ แล้วเป็นแบบไหน เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยดูผ่านตาอยู่บ้าง เพียงแต่อาจไม่รู้ว่าหนังที่ตัวเองชอบ ก็มีชื่อเรียกเฉพาะด้วยเหมือนกัน
ถ้าจะพูดถึงนิยามของหนัง Slow Burn ก็ต้องขอหยิบยกมาจากผู้ที่อยู่ในแวดวงภาพยนตร์ อย่าง เจสัน เฮลเลอร์แมน (Jason Hellerman) นักเขียนบทภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ได้ให้ความหมายมันไว้ว่า หนัง Slow Burn คือหนังที่เล่าเรื่องราวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินไปตามจังหวะของตัวหนัง ไม่รีบร้อน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา ตัวบท หรือกระทั่งอุปสรรคต่างๆ ก็จะค่อยๆ ใช้เวลาพัฒนา กว่าจะเผยให้เห็นถึงความเข้มข้นและมิติที่แท้จริงภายหลัง

อย่างไรก็ดี เจสันชี้ให้เห็นว่า คำนิยามทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการอธิบายระดับภาพรวม ทว่าในความเป็นจริง วิธีการเล่าเรื่องสไตล์ Slow Burn ก็อาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกมาตามแต่ละประเภทของหนัง ตัวอย่างเช่น หนังตลก (Comedy) ก็อาจมีสิ่งที่เรียกว่า ‘slow-burn joke’ หรือมุกตลกที่ไม่ได้ทำให้เราขำตั้งแต่แรก แต่ต้องอาศัยเนื้อเรื่องที่ค่อยๆ สะสมจังหวะ และถึงปล่อยจุดที่ผู้ชมจะเข้าใจว่า สิ่งที่ตัวละครนั้นทำในตอนแรกมันตลกอย่างไร
นอกจากนี้ ความเป็น Slow Burn ในหนัง อาจไม่ได้สอดแทรกผ่านแค่เนื้อเรื่องเท่านั้น หากแต่ยังสามารถใส่มาผ่านตัวละครภายในเรื่องได้ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น ในความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอก ในตอนแรกอาจยังไม่ได้มีเคมีที่ชัดเจน แต่ตัวหนังจะค่อยๆ สร้างเรื่องราวให้ผู้ชมได้เห็นถึงเคมีและความเข้ากันของพระนางมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายสุด เราก็จะเชื่ออย่างสนิทใจว่าทั้งคู่รักกันจริงๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากต้องถอดความเป็น Slow Burn ออกมาเป็นสูตรสำเร็จได้ 4 ข้อ ดังนี้
- เรื่องค่อยๆ ดำเนินไปอย่างช้าๆ : หนังสไตล์ Slow Burn จะเน้นการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า เพื่อให้ผู้ชมค่อยๆ ซึมซับความรู้สึก บรรยากาศ หรือกระทั่งอารมณ์ของตัวละคร
- สะสมความตึงเครียดทีละเล็กน้อย: หนังหลายเรื่องในสไตล์นี้ มักจะเพิ่มความตึงเครียดให้ตัวละครภายในเรื่องทีละเล็กทีละน้อย ให้ตัวละครค่อยๆ แบกรับมันไปเรื่อยๆ จนผู้ชมอย่างเราสัมผัสได้ว่า ตัวละครเหล่านี้ต้องมีระเบิดอารมณ์ออกมาแน่นอน
- โฟกัสที่รายละเอียดเล็กๆ : ด้วยความเป็น Slow Burn ตัวหนังก็มักจะสอดแทรกรายละเอียดเล็กๆ มาระหว่างที่เรื่องดำเนินไปอย่างเชื่องช้า หลายครั้งเราก็อาจไม่ได้สังเกตหรือให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่นัก หากแต่ในตอนท้ายรายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้จะค่อยมาประกอบร่างเป็นคำตอบที่เราตามหาตลอดทั้งเรื่อง
- มีจุดพีคของเรื่อง: การที่หนังค่อยๆ ดำเนินเรื่อง ทำให้เมื่อถึงจุดหนึ่งหนังจะมีจุดพีคที่ขมวดทุกปม รวบทุกรายละเอียด เพื่อเฉลยคำตอบของหนังให้กับคนดู
มีภาพยนตร์หลากหลายเรื่องที่เลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ Slow Burn พร้อมใช้สูตรสำเร็จข้างต้นนี้ในการพาผู้ชมอย่างเราไปสำรวจเรื่องราวภายในเรื่อง ตัวอย่างเช่น The Shining (1980) ภาพยนตร์แนวจิตวิทยาสยองขวัญ ที่ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า ที่พาผู้ชมอย่างเราค่อยๆ สัมผัสถึงบรรยากาศอันแสนตึงเครียด ไม่เพียงแค่ตัวละครหลักที่ค่อยๆ เสียสติ หากแต่ผู้ชมอย่างเราก็ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความอึดอัด โดยไม่รู้เลยว่าปลายทางของเรื่องจะมีอะไรรอเราอยู่
หรืออีกตัวอย่าง คือ Mulholland Drive (2001) ภาพยนตร์แนวลึกลับเหนือจริง กับเรื่องราวของ 2 หญิงสาวจากฮอลลีวูด ที่ออกเดินทางเพื่อทำภารกิจบางอย่างร่วมกัน โดยตัวหนังได้นำสูตรสำเร็จของความเป็น Slow Burn มาใช้ ผ่านการค่อยๆ เปิดเผยความลับและความสัมพันธ์ของตัวละครภายในเรื่อง พร้อมกับใช้บรรยากาศของหนัง สร้างความสับสนให้ผู้ชม จนกระทั่งมาถึงจุดหนึ่ง หนังก็พรั่งพรู่ทั้งคำตอบของปริศนาและแรงจูงใจเบื้องหลังตัวละครออกมาทั้งหมด
อย่างไรก็ดี สูตรสำเร็จเหล่านี้ก็อาจถูกปรับหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกลวิธีของหนังแต่ละเรื่อง เพื่อให้มันสามารถนำเสนอเรื่องราวได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ ตลอดจนเข้าถึงผู้ชมได้อย่างเต็มที่

ถ้าอยากใช้ชีวิตแบบหนัง Slow Burn ต้องทำอย่างไรบ้าง
เมื่อถอดสูตรสำเร็จความเป็นหนัง Slow Burn ออกมา ก็จะเห็นได้ว่า ในแต่ละข้อนั้นสามารถนำมาปรับใช้กับไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของเราได้ทั้งนั้นเลย แต่จะปรับใช้อย่างไรได้บ้างนั้น ลองทำตามวิธีเหล่านี้ดูได้เลย
- ใช้ชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป: ทุกวันนี้สิ่งรอบตัวต่างบีบบังคับให้เราต้องเร่งรีบ ทว่าการทำทุกสิ่งอย่างรีบเร่งก็อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดเสมอไป เพราะปลายทางมันอาจไม่ได้มอบความยั่งยืนให้กับเรา เพราะฉะนั้น ตัวเราก็อาจลองใช้ชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำความเข้าใจตัวเองและสิ่งรอบตัว ไม่ต้องรีบร้อน ปล่อยให้เวลาพาเราเติบโต
ตัวอย่างเช่น สังคมปัจจุบันที่มักรีบประสบความสำเร็จในชีวิตเพื่อเป้าประสงค์ต่างๆ ของแต่ละบุคคล ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งเหมือนกับคนอื่น เพียงแค่วางเป้าหมายเอาไว้ แล้วทำทุกอย่างให้เต็มที่ในแบบของตัวเอง ฝึกฝนตัวเองไปเรื่อยๆ พร้อมกับยอมรับว่า ความสำเร็จที่ยั่งยืนอาจไม่ได้เข้าหาเราภายใน 1-2 วัน - อย่าปล่อยให้ความตึงเครียดสะสม: ข้อนี้ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับความเป็น Slow Burn หากตัวหนังสะสมความตึงเครียดแล้วรอระเบิดทีเดียว เพราะการเก็บความรู้สึกด้านลบเอาไว้จนสะสมมากๆ อาจทำให้เกิดความเครียดท่วมท้นจนเกินไป การจัดการอารมณ์เป็นระยะๆ จึงจะช่วยให้เรารับมือกับปัญหาได้ง่ายมากขึ้น แถมยังช่วยรักษาสมดุลทางใจให้ชีวิตเดินไปอย่างราบรื่นด้วย
ลองสมมติว่าตัวเราเคร่งเครียดจากการทำงาน แทนที่จะเก็บสะสมไว้ แล้วต้องไปลุ้นว่ามันจะระเบิดใส่ใครสักคนรอบตัวหรือไม่ อาจลองหาเวลาพักผ่อน หรือหาวิธีการคลายเครียดที่เหมาะสมกับตัวเองดู ก็อาจช่วยให้ตัวเราไม่ต้องแบกรับความรู้สึกด้านลบนี้ไปตลอด แถมมันยังดีต่อสุขภาพจิตเรามากกว่าด้วย - ไม่ควรมองข้ามรายละเอียดเล็กๆ : หากอยากลองปรับไลฟ์สไตล์ตามหนัง Slow Burn การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ รอบตัวก็สำคัญเช่นกัน เพราะบางทีรายละเอียดยิบย่อยก็อาจพาเราให้ได้ไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งอาจมีประโยชน์กับเราในอนาคตได้ด้วย
ตัวอย่างเช่น เราอาจได้รับคำแนะนำเล็กๆ น้อยจากหัวหน้างาน แทนที่เราจะมองข้าม ก็อาจเลือกหยิบมันขึ้นมาพิจารณาดูว่าเหมาะสมกับตัวเราหรือไม่ หากประเมินแล้วคำแนะนำนั้นดูท่าทางจะเป็นประโยชน์ ก็อาจลองปรับตามดู หรือหากท้ายสุดมันไม่ได้ตอบตามความคาดหวังของเรา อย่างน้อยก็ถือว่าเราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน - เชื่อมั่นเสมอว่าเรามีจุดพีคในชีวิตของตัวเอง: หนังแนว Slow Burn มักพาผู้ชมอย่างเราไปพบกับจุดพีคหรือจุดพลิกผันของเรื่องในตอนท้าย ชีวิตเราเองก็เช่นเดียวกัน หากเรามีความเชื่อมั่นชีวิตของเรามีจุดพีคของตัวเอง สักวันหนึ่งวันนั้นก็จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน หากแต่ระหว่างนั้นก็อย่าลืมสะสมประสบการณ์และพัฒนาตัวเอง อาจช่วยให้เราเข้าใกล้จุดนั้นได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี วิธีนี้อาจเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดต่อชีวิตของเรา ลองนึกภาพว่า ในปัจจุบันเราอาจกำลังเผชิญกับปัญหา ก็ให้ลองปรับความคิดว่า ปัญหานี้จะไมได้อยู่กับเราตลอดไป วันใดวันหนึ่งมันปัญหาเหล่านั้นก็จะคลี่คลาย และมันอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ให้เราพบเจอกับเรื่องดีๆ มากขึ้นก็ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น เหล่านี้ก็เป็นเพียงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตหนึ่งเท่านั้น ท้ายสุดแล้ว ชีวิตก็คือชีวิต มีความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะเจออะไรบ้างในอนาคต การเตรียมตัวและใจให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ ก็อาจเป็นทำให้เราพร้อมลุยต่อได้อย่างมั่นคง
อ้างอิงจาก