แม้ว่า DNA ของมนุษย์เราจะตรงกันถึง 99.9% แต่เศษเสี้ยวที่ไม่ถึง 1% นั้นทำให้แต่ละคนต่างกัน และลึกลงไปในความต่างทางกายภาพนั้น แต่ละคนก็มีบุคลิก นิสัย ท่าทาง ที่ต่างกันออกไปอีกมาก บางคนมีนิสัยชอบความเรียบง่าย ไม่ชอบทำอะไรซับซ้อน บางคนชอบความละเอียดรอบคอบ บุคลิกเหล่านี้มีทั้งที่เข้ากันได้ หรือแค่กลางๆ ไม่เข้ากันแต่ก็ไม่ขัดกัน ไปจนถึงขัดแย้งกัน เลยทำให้เรามักจะเลือกคนรอบข้างหรือเลือกให้ตัวเองไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ไม่ขัดแย้งกับนิสัยของเรา
เราสามารถเลือกเพื่อน คนรัก คนรอบตัวที่นิสัยคล้ายกันได้ หากมันอยู่ในช่วงเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว แต่พอเราก้าวเข้าไปในเวลาทำงาน เราเลือกไม่ได้ว่าจะมีเจ้านายที่เข้ากันกับเรา ไม่สามารถเลือกเพื่อนในทีมแค่เฉพาะคนที่ทำงานสอดคล้องกัน หรือเลือกเพื่อนนั่งโต๊ะข้างๆ ที่นิสัยไม่ขัดแย้งกัน ข้อจำกัดของการเลือกทำให้เราต้องเจอผู้คนที่มีนิสัยสลับซับซ้อนและแตกต่างกันออกไป มีทั้งตรงกัน ขัดกัน—ซึ่งก็เป็นปกติในการชีวิตการทำงาน
ปกติตัวนิสัยก็ดูจะไม่ส่งผลอะไรกับการทำงาน เพราะล้วนเป็นนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน วิชัยชอบดื่มกาแฟก่อนเริ่มงานทุกครั้ง ไม่งั้นไม่เป็นอันทำอะไร โฟกัสชอบเข้าออกงานตรงเวลาทุกครั้ง ธนชาติชอบออกไปเดินยืดเส้นยืดสายตอนบ่าย แน่นอนว่านิสัยเหล่านั้นมักไม่ส่งผลกับการทำงานหรือภาพรวมของงาน แต่ถ้าเป็นนิสัยในการทำงานล่ะ? เช่น การมองผลลัพธ์ของงานมากกว่าวิธีการ การใส่ใจในทุกขั้นตอน พอเป็นนิสัยในการทำงานก็มีความเป็นไปได้ว่าจะขัดกัน
หลายคนอาจรู้สึกว่า เอ มันไม่เกี่ยวสักหน่อย นิสัยส่วนนิสัยสิ จะมาเกี่ยวกับการทำงานได้ไง จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะนิสัยที่เรากำลังพูดถึงนั้นหมายถึงนิสัยที่ใช้ในการทำงาน เป็นนิสัยที่จะส่งผลต่อวิธีการทำงานนั่นแหละ อย่างความละเอียดรอบคอบ ความหละหลวม การชอบแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หรือชอบแก้ทีละจุด นิสัยเหล่านี้ย่อมส่งผลกับการทำงานแน่นอน อย่างน้อยก็กำหนดรูปแบบวิธีการทำงาน วิธีการแก้ปัญหา หากมีมุมมองต่างกัน อาจทำให้ทำงานร่วมกันลำบากไปด้วย
หากรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ จะรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่นิสัยต่างกันอย่างไรดีนะ?
มองหาจุดที่ต่างและทำความเข้าใจ
เหมือนกับในทุกครั้งที่เกิดปัญหา เราต้องมองหาต้นตอ หาสาเหตุของให้เจอก่อน ก่อนอื่นเราต้องหาก่อนว่านิสัยที่ทำให้การทำงานไม่ราบรื่นนั้นคืออะไร ไม่ใช่แค่ของเขาเท่านั้น แต่หมายถึงของเราเองด้วย ทั้งเราและเขามีนิสัยส่วนใดที่กำลังขัดกันอยู่ ใครสักคนกำลังจู้จี้เกินไป ใครสักคนกำลังหละหลวม ไม่รอบคอบอยู่หรือเปล่า
เมื่อเจอในจุดที่ต่างแล้ว อย่าเพิ่งวิ่งเข้าไปบวก ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ไม่งั้นอาจโดนสวนได้ ว่าทำไมเราถึงมีนิสัยที่ขัดกับเขาเช่นกัน เจอจุดต่างแล้วทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อน (ไม่ใช่ยอมรับแต่โดยดีแล้วปล่อยปัญหาทิ้งไป) ว่านี่คือนิสัย คือวิธีการทำงานของแต่ละคน เช่นเดียวกับนิสัยของเราที่เป็นแบบนี้ อาจจะเป็นนิสัยที่ดีแล้ว เหมาะแล้วในสายตาของเรา แต่มันอาจจะไม่ถูกใจใครสักคน เหมือนที่เรากำลังไม่ถูกใจคนอื่นอยู่ก็ได้ ดังนั้น หาจุดต่างให้เจอ และทำความเข้าใจว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่เราก็มีธรรมชาติของเรา
รับฟังความเห็นของกันและกัน
หากเราเป็นคนรอบคอบ เราอาจมั่นใจและชื่นชอบในวิธีการทำงานของเรา ว่ามันจะทำให้งานออกมาถูกต้อง แต่ถ้าหากเราเป็นคนหละหลวม เราอาจชอบมองไปที่ผลลัพธ์ ว่าทำยังไงก็ได้ทั้งนั้น ให้งานออกมาดี ไม่จำเป็นต้องไปจุกจิกระหว่างทาง แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่มีทางเป็นคนคนเดียวกัน และไม่มีทางทำงานด้วยกันอย่างราบรื่น
แต่ถ้าหากสองคนที่นิสัยการทำงานต่างกัน จำเป็นต้องทำงานร่วมกัน การเข้าใจธรรมชาติ หาจุดร่วมของกันและกัน และยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย เพื่อหาว่าการทำงานของแต่ละคนนั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไร จากคนในทีมทั้งหมด ไม่ใช่แค่สองคนที่มีข้อโต้แย้งกัน เพราะไม่มีวิธีการใดที่ถูกต้องหรือถูกใจทั้งหมด การรับฟังข้อดีและข้อเสียของกันและกัน อาจทำให้เราได้ถอยออกมามองตัวเองในอีกมุมที่คนอื่นกำลังมองเราอยู่
หาคนกลางไกล่เกลี่ย
ถ้าหากคุยก็แล้ว พูดก็แล้วฟังก็แล้ว ยังไม่มีอะไรดีขึ้นเสียที การถกเถียงกันไปเรื่อยๆ ว่าใครเป็นฝ่ายถูกของคนสองคนที่ขัดแย้งกัน ก็ไม่ได้ช่วยให้เรือลำนั้นหลุดออกมาจากอ่างวงกลมนั้นเสียที หาคนกลางที่มีความน่าเชื่อถือสักคน (ถ้าคิดไม่ออกก็ต้องหัวหน้าทีมไว้ก่อน) คอยรับฟังปัญหาของทั้งสองฝ่าย ว่ากำลังมีปัญหากับอีกฝ่ายอย่างไร และต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไร ผู้ไกล่เกลี่ยเองก็ต้องมีความเป็นกลางมากพอที่จะรับฟังและประเมินสถานการณ์ด้วย
ไม่เก็บเรื่องนี้มาเป็นปัญหาส่วนตัว
ปัญหาที่เรากำลังถกอยู่นี้ คือ นิสัยที่กำลังส่งผลต่อการทำงาน เป็นวิธีการทำงานของแต่ละคน นั่นหมายความว่า มันไม่ได้ถือเป็นปัญหาส่วนตัวเสียทีเดียว สิ่งนี้ยังคงเป็นปัญหาในการทำงานที่ต่างคนต่างมีวิธีต่างกัน และต้องหาทางออกร่วมกันเท่านั้นเอง หากสามารถหาทางออกได้แล้ว ตกลงกันได้ (หรือต่อให้ไม่ได้ก็ตาม) ก็ไม่ควรจะนำเรื่องนี้มาถือเป็นปัญหาส่วนตัว ว่าฉันกับเธอเคยมีปัญหากันนะ มีแผลต่อกันมาแล้วนะ เพราะนั่นหมายความว่า สิ่งที่กำลังไม่ถูกใจนั้น คือความไม่ถูกใจส่วนตัว มากกว่าการมองถึงการทำงานเป็นสำคัญ
เพราะการดับเครื่องชน ไม่ใช่คำตอบของทุกความขัดแย้งเสมอไป แม้ว่าจะมีนิสัยที่ส่งผลให้วิธีการทำงานขัดแย้งกันแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วความต้องการของทั้งคู่ คือ ต้องการให้งานออกมาสำเร็จสมบูรณ์ แม้จะด้วยวิธีที่ต่างกันก็ตาม
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Krittaporn Tochan