อย่างที่ทราบกันว่า ในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา หนึ่งในมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดของรัฐบาล คือการสั่งให้ร้านอาหารต้องปิดตัวชั่วคราว และไม่อนุญาตให้ลูกค้านั่งกินในร้านได้ แน่นอนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ร้านอาหารขาดรายได้ จนหลายแห่งต้องปิดตัวลง
แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ร้านอาหารทั่วไปได้รับการผ่อนปรน รวมไปถึงหลายกิจการได้กลับมาเปิดตามปกติ แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือกลุ่มร้านอาหารกึ่งผับบาร์ แม้ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ศบค. ก็ได้ประกาศผ่อนปรนให้สามารถเล่นดนตรีในร้านอาหารได้ รวมถึงขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป แต่กลุ่มร้านอาหารกึ่งผับบาร์ ก็ยังไม่สามารถดำเนินกิจการและจำหน่ายแอลกอฮอล์ได้เช่นเดิม แถมไม่มีสัญญาณใดๆ จากรัฐบาลเลยว่าจะได้กลับมาเปิดเมื่อไร
เกิดเป็นคำถามว่า เหตุผลที่ทำให้ร้านอาหารเหล่านี้ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ เป็นเพราะการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ทั้งๆ ที่มาตรการจำกัดการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับต่างๆ ออกมาเป็นระยะ ตั้งแต่ปีที่แล้วที่มีการระบาดใหม่ๆ จนผู้ประกอบการได้รับผลกระทบอย่างหนักไปแล้วก็ตาม
เหล่าผู้ประกอบการร้านอาหารกึ่งผับบาร์ที่ได้รับผลกระทบอย่าง ณิกษ์ อนุมานราชธน เจ้าของบาร์ Teens of Thailand, พ.อ.ดร.วิชิต ซ้ายเกล้า เจ้าของ CHIT BEER แบรนด์คราฟต์เบียร์ไทยบนเกาะเกร็ด, สุกฤษฎิ์ ผ่องคาพันธ์ เจ้าของร้าน JIM’s Burgers & Beers, ภาสกร แสงรักษาเกียรติ เจ้าของร้าน Prumplum Umeshu Bar และ ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของร้าน Penguin Eat Shabu จึงได้นัดรวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นนี้ใน Clubhouse เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา
The MATTER ชวนไปฟังเสียงของเหล่าผู้ประกอบการร้านอาหารกึ่งผับบาร์เหล่านี้ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ในวันที่สถานการณ์ของผู้ติดเชื้อยังคงอยู่ในหลักหมื่น และมาตรการผ่อนปรนที่ยังไม่ชัดเจน เพราะไม่แน่ว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ อาจจะกลายเป็นทางรอดสุดท้ายที่ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนด้วยตนเองกันต่อไป
ผลกระทบที่ (รัฐ) มองไม่เห็น
หากมองย้อนกลับไป ตั้งแต่มีมาตรการล็อคดาวน์สั่งปิดร้านอาหารอย่างจริงจังเมื่อปีที่แล้วที่มีการระบาดใหม่ๆ มีการสั่งเปิดและปิดต่อเนื่องกันหลายต่อหลายครั้ง แน่นอนว่าทุกครั้งที่มีการสั่งปิด ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ประกอบการหรือเจ้าของร้านอาหารทุกครั้ง
การปรับตัวเพื่อลดค่าใช้จ่ายหรือเพื่อหารายได้จากช่องทางอื่น จึงเป็นทางเลือกที่สามารถเยียวยาได้ด้วยตนเอง “พอเกิดโควิด เราก็ปรับตัว กลายเป็นว่าต้องขายอาหารอย่างเดียวโดยการเดลิเวอรี่ ก็ยังถือว่าโชคดีที่เรายังมีแฟนๆ ตอบรับให้โอกาสพวกเรา แต่ส่วนของคราฟต์เบียร์ก็แทบจะเป็นศูนย์เลย ซึ่งเราก็มีความเสียหายจากการขายตรงนี้เยอะมาก” สุกฤษฎิ์ เจ้าของร้าน JIM’s Burgers & Beers แชร์ถึงผลกระทบ แม้ว่าร้านจะมีการปรับตัวแล้วก็ตาม
เช่นเดียวกับภาสกร เจ้าของร้าน Prumplum Umeshu Bar ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเช่นเดียวกัน “โครงสร้างของร้าน Prumplum มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 70% อาหาร 30% ทีนี้พอมีการห้ามขาย แน่นอนว่ารายได้เราก็หายไปเลย 70% ช่วงแรกเราปรับตัวเหมือนร้านอาหาร พยายามดึงเมนูต่างๆ ของทางร้านมาส่งเดลิเวอรี่ แต่ก็พอทำได้สักพักหนึ่ง ก็รู้ตัวว่าเราไม่น่าจะสู้กับเจ้าที่เป็นร้านอาหารจริงๆ ได้ เราก็เลยหยุดไป”
อย่างที่ทราบกันว่า ภาพรวมของร้านอาหารกึ่งผับบาร์ คือการขายบรรยากาศและประสบการณ์ในการมานั่งดื่มที่ร้านของลูกค้า เมื่อมีมาตรการห้ามนั่งดื่มที่่ร้าน ก็ไม่ต่างอะไรกับการตัดเส้นเลือดหัวใจใหญ่ของธุรกิจออกไป การปรับตัวด้วยการขายเดลิเวอรี่อาจไม่ใช่ทางออกเสมอไป “การดื่มคราฟต์เบียร์ นอกจากการดื่มน้ำเบียร์แล้ว ยังดื่มเรื่องราวของเบียร์ และบรรยากาศด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมานี้ ถือว่าลำบากสุดๆ” วิชิต เจ้าของ CHIT BEER ให้ความเห็น
แอลกอฮอล์คือผู้ร้าย?
ประเด็นคลัสเตอร์ทองหล่อ คือกรณีที่สังคมให้ความสนใจ ถึงต้นตอของปัญหาว่าเกิดจากสถานบันเทิงที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนจะโยงไปสู่ร้านอาหารกึ่งผับบาร์ที่จำหน่ายทั้งหมด นำไปสู่การสั่งปิดชนิดไร้การเยียวยาจากภาครัฐ ก็ยิ่งทำให้สังคมเปรียบเปรยว่า แอลกอฮอล์คือผู้ร้ายที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดหรือไม่
“สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ที่สุด น่าจะเป็นการที่เราถูกมองว่าเป็นต้นตอของปัญหา ทั้งๆ ที่ผมอยากจะให้คนเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว แอลกอฮอล์มันเป็นแค่สินค้า ไม่ใช่สาเหตุของการแพร่ระบาด การแพร่ระบาดเกิดจากลักษณะของพฤติกรรมมากกว่า ถ้าลองย้อนกลับไปดูความจริง การปิดผับบาร์มาขนาดนี้ ถ้ามันได้ผลจริงๆ ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ควรจะเป็นแบบนี้ แปลว่ามันอาจมีคลัสเตอร์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลยหรือเปล่า แต่กลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ต้องปิดนานที่สุด” ณิกษ์ เจ้าของบาร์ Teens of Thailand ตั้งคำถามถึงการที่ร้านอาหารที่ขายแอลกอฮอล์มักตกเป็นจำเลยของสังคมเสมอ
ขณะเดียวกัน สุกฤษฎิ์ก็ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ยอมรับว่าถ้าเราดื่มแอลกอฮอล์จนเกินเหตุไปก็อาจทำให้ขาดสติและหลงลืมในเรื่องของกฎระเบียบต่างๆ แต่ผมก็ยังมองว่าร้านของผมเอง เป็นร้านที่ลูกค้ามาดื่มกัน โดยพฤติกรรมเขาไม่ได้มาดื่มเพื่อต้องการเมาหัวราน้ำ เพราะสภาวะเช่นนี้คนทุกคนก็กลัวที่จะติดโควิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาก็ดื่มอย่างมีสติ ดื่มอย่างยับยั้งชั่งใจ แล้วก็กลับบ้าน ผมก็เลยต้องถามกลับไปว่าจริงๆ แล้ว ร้านกาแฟกับร้านคราฟต์เบียร์มันต่างกันตรงไหน ก็แทบไม่ต่างเลย ทุกอย่างเหมือนกันหมด ต่างกันแค่เสิร์ฟเป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งเราก็มีกฎชัดเจนอยู่แล้วว่าให้ดื่มแค่พอเหมาะ ดื่มอย่างมีสติ”
ด้านภาสกรก็มีมุมมองคล้ายๆ กันถึงผลลัพธ์จากมาตรการที่บังคับใช้ ว่าได้ผลจริงหรือไม่ “การสั่งปิดครั้งแรกเราเข้าใจได้ อาจเป็นการตอบสนองของรัฐที่ต้องคิดถึงศีลธรรมอันดี หรือติดภาพจำว่าแอลกอฮอล์เป็นความเสี่ยงของเรื่องต่างๆ แต่พอเข้าสู่การปิดรอบที่ 2 ที่ 3 ผลลัพธ์เริ่มเห็นว่ามันไม่สอดคล้องกัน ทำไมปิดแล้ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อถึงไม่ลดลง คิดว่าตอนนี้ภาครัฐคงประเมินแล้วแหละ ว่าปิดกิจการล็อกดาวน์ต่อไป เศรษฐกิจก็เริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว”
มุุมมองของผู้ประกอบการ มองว่าการแพร่ระบาดเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของผู้ดื่มเอง การแก้ปัญหาด้วยการสั่งไม่ให้จำหน่ายอาจเป็นการแก้ที่ปลายทาง โดยที่ผลลัพธ์อาจไม่ใช่การที่ผู้ติดเชื้อลดลง แต่กลับเป็นรายได้ของผู้ประกอบการที่ลดลงไปแทน และสุดท้ายภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศก็อาจได้รับผลกระทบระยะยาวต่อไป
ข้อเรียกร้องที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
จากผลกระทบที่เกิดขึ้น กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารกึ่งผับบาร์ก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ ถึงขั้นร่างมาตรการเพื่อนำไปเสนอกับหน่วยงานภาครัฐเลยทีเดียว
“เรามีการทำมาตรการเสนอไปทางสาธารณสุขหลายรอบเลย แต่ทุกครั้งที่ทำไปก็จะถูกปัดตก ไม่ว่าจะเสนออะไรไป ตั้งแต่การคำนวณว่าร้านมีขนาดกี่ตารางเมตร นั่งได้กี่คน แต่ละคนควรจะมีพื้นที่เท่าไร กำหนดเวลาไม่ควรเกินกี่ชั่วโมง หรือว่าไม่ควรดื่มเกินกี่แก้ว เราก็มีข้อตกลงร่วมกัน” ณิกษ์แชร์ถึงไอเดียข้อเสนอที่เคยร่างไว้อย่างละเอียด
“มาตรการหลายๆ อย่าง เราก็ดูมาจากต่างประเทศ ว่าผับบาร์เขาเปิดกันยังไง เช่น ห้ามมีการชนแก้ว ห้ามเดินไปมา หรือการเสิร์ฟเบียร์ ก็ต้องให้เฉพาะพนักงานมาเสิร์ฟเท่านั้น พยายามจำกัดให้ได้มากที่สุด เราทำเต็มที่ตามกลไกของประชาธิปไตยเพื่อเรียกร้องรัฐบาล เพราะว่าผู้ประกอบการทุกคนปรับตัวกันจนแทบไม่เป็นตัวเองแล้ว ปรับได้ทุกอย่าง เปลี่ยนได้ทุกอย่าง เท่าที่จะทำให้เราอยู่รอดได้” สุกฤษฎิ์กล่าวจริงจังถึงการพยายามเรียกร้องและการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
ยังไม่นับรวมข้อเรียกร้องของสมาคมคราฟต์เบียร์แห่งประเทศไทย ที่เคยยื่นหนังสือต่อ ศบค. เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ขอให้ยกเลิกห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริโภคภายในร้านอาหารและบาร์ ซึ่งแน่นอนว่าไร้การตอบรับหรือการผ่อนปรนเช่นเดิม
ทางรอดที่ต้องเลือก
ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสถานการณ์ของการแพร่ระบาดจะอยู่กับชีวิตเราไปอีกนานเท่าไร มาตรการต่างๆ ของภาครัฐก็ยังไร้ซึ่งความชัดเจน แม้ ศบค. จะมีมติผ่อนปรนมาตรการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป แต่ก็เป็นเพียงแค่การอนุญาตให้เล่นดนตรีในร้านอาหารได้เท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องของการจำหน่ายแอลกอฮอล์ก็ยังคงไร้วี่แววใดๆ
“Worst Case Scenario ใกล้เข้ามาแล้ว สิ้นปีเราก็คงจะเห็น ทางออกสองทางที่จะเป็นไปได้ ทางที่หนึ่งก็คือปิดกิจการ น้อยมากที่กิจการใดๆ จะสำรองเงินสดอุ้มกิจการแบบไม่มีรายได้มากถึง 1 ปีได้ กับทางที่สองคือไปในทางต้องแอบขายแล้ว ถ้าพูดกันตรงๆ การละเมิดข้อกฎหมายก็อาจเกิดขึ้นได้ง่ายและมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น เพราะภาพรวมไม่ได้กระทบในแค่ระดับปัจเจก หรือระดับธุรกิจอย่างเดียว มันกระทบเรื่องวัฒนธรรมที่ยังไม่มีการประเมินมูลค่าทางการท่องเที่ยวอย่างชัดเจนด้วย ฉะนั้นการที่ทำให้ร้านเหล่านี้หยุดไปเลยหรือเปลี่ยนอาชีพไปเลย มีความเสียหายที่ตามมาเยอะมาก” ภาสกรให้ความเห็นถึงทางออก แม้ไม่ใช่ทางออกหรือข้อเสนอแนะที่ดีที่สุด แต่อาจเป็นหนทางสุดท้ายที่ผู้ประกอบการต้องเลือก
สุกฤษฎิ์ทิ้งท้ายในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบการที่เรียกร้องจากภาครัฐว่า “วันนี้ผมเอง ณิกษ์ พี่วิชิต คุณเทพ หรือว่าทุกคน จะไม่มาพูดเรื่องพวกนี้เลย ถ้ามีการเยียวยา ซึ่งคือหน้าที่ของผู้มีอำนาจอย่างรัฐฯ ผู้ประกอบการหลายคนแย่กว่าผมเยอะ หลายคนมีครอบครัวต้องดูแล หลายคนมีลูกน้อง ผมถามว่าเขาไม่ใช่ประชาชนในประเทศเหรอ”
“ถึงแม้ที่ผ่านมามันจะยากลำบาก แต่เราก็ยังยืนยันว่าจะทำในสิ่งที่ทำได้ ฝากไปถึงภาครัฐ หวังว่าคงจะได้ยินเสียงของเรา ไม่อย่างนั้นเราอาจจะตายกันจริงๆ”