เคยตกอยู่ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อแบบนี้กันไหม เวลาเรามีความคิดของตัวเองที่ต่างจากคนรอบข้าง แต่พอพูดปุ๊บคนอื่นก็หาว่าเราแรงไปบ้าง ขวางโลกไปบ้าง ทำตัวไม่น่ารัก แต่ครั้นจะเงียบทุกคนก็เข้าใจผิดว่าเราโอเค
ปัญหาของการยอมคนจนตัวเองเสียเปรียบ รวมถึง พูดตรงจนคนอื่นแบน ยิ่งถ้าพูดออกสื่อโซเชียล บางทีจะเจอคนที่ไม่รู้จักมาร่วมก่นด่าปาหินใส่ด้วยในช่องคอมเมนต์อีกด้วย เจอดราม่าหนักๆ หลายคนก็คงอาจจะท้อ และเข้าโหมด ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมแล้วล่ะก็ ถึงกับ ‘อยู่เป็น’ ไปตามๆ กัน
Adam Galinsky นักจิตวิทยาสังคมได้กล่าวไว้ใน TED Talk (ดูได้ที่นี่) ว่าคนไม่กล้าพูดความในใจเพราะเขาขาดความมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจมันไม่สามารถสร้างขึ้นมาจากตัวเองโดดๆ ได้ง่ายๆ ได้ถ้าคนอื่นรอบตัวไม่ยอมรับ
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องลำดับขั้นความต้องการ (hierarchy of needs) ของ Abraham Maslow ที่มีอยู่ 5 ขั้นด้วยกันมาบ้าง (ตามรูปที่เห็นข้างล่าง) เราไม่สามารถมีความสุขแบบปลายยอดของพีระมิดจากการเป็นตัวของตัวเองได้จริง ถ้าคนอื่นไม่ยอมรับเราเสียก่อนในขั้นที่ 4
แต่นี่ล่ะคือตัวปัญหาเลย เพราะจู่ๆ การยอมรับที่คนอื่นจะยอมรับเรา ขึ้นอยู่กับ ‘อำนาจ’ ของเราที่มีต่อคนอื่นด้วยน่ะสิ เหมือนในเพลง ‘เพื่อนหายเพราะขายอ้อม’ ที่อุ๋ย Buddha Bless ร้องว่า “รวยแล้วฉันจะดังพูดอะไรใครก็ฟัง ถ้าไม่มีตังค์หุบปากไป” Adam Galinsky ได้นำเสนอแนวคิดดังกล่าวออกมาเป็นแผนภาพข้างล่างนี้
พื้นที่สีเขียวที่เห็นคือ safe zone ที่พูดแล้วคนรอบตัวยอมรับ ฝั่งซ้ายคือพลังของการพูดซอฟท์ๆ แล้วคนรับฟัง ส่วนฝั่งขวาคือพลังของการพูดอย่างเด็ดเดี่ยวโดยที่คนอื่นยังโอเค ทฤษฎีของ Galinsky ได้สรุปไว้ชัดเจนว่า ถ้าคุณมีอำนาจมาก ต่อให้คุณพูดจานอบน้อมถ่อมตน หรือแข็งกร้าวดุดัน คนก็ยังยอมรับฟังอยู่ดี (แต่ยอมรับด้วยเหตุผลว่าเคารพหรือกลัวค่อยว่ากันต่อ) ขณะเดียวกันถ้าคุณมีอำนาจน้อยกว่าอีกฝั่ง จะพูดบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น หรือจะขวานผ่าซากมีค่าเท่ากัน คือโน้มน้าวใครไม่ได้
ก็เพราะแบบนี้คนที่อาจถูกมองว่ามีสถานะทางสังคมต่ำกว่าหรือด้อยอาวุโสกว่า พอกล้าพูด กล้าคิดเข้าหน่อย คนที่มีอำนาจมากกว่าก็เลยของขึ้นกันเป็นพิเศษ แปะป้ายว่า ก้าวร้าวบ้าง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบ้าง ปรากฏการณ์นี้ ทางจิตวิทยาเรียกกันว่า The Low-Power Double Bind หรือการหนีเสือปะจระเข้ของผู้มีอำนาจน้อยนี่เอง
แล้วเราจะเพิ่มอำนาจที่จะพูดตรงกับใจได้อย่างไรล่ะ? ต้องเริ่มจากให้อำนาจคนอื่นก่อน การยอมรับอีกฝ่ายหรือแสดงตัวเองเป็นผู้ให้ ช่วยสร้างพลังให้เราได้มากขึ้น อันนี้เรียกว่า Mama Bear Effect ลองนึกถึงภาพแม่หมีที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกน้อยของเธอ
แต่หลายคนอาจจะแย้งว่า ถ้าเราไปให้ใจกับอีกฝ่ายที่ตัวเองไม่เห็นด้วย มันก็ยิ่งไปเชียร์ให้อีกฝ่ายทำสิ่งที่เราไม่ชอบมากขึ้นไปอีกน่ะสิ แต่มันก็อาจจะไม่ใช่เสมอไปนะ
“ถ้าเราสามารถมองในมุมของคนอื่น และเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร อีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะให้สิ่งที่เราต้องการ”
Adam Galinsky
นี่คือหัวใจของสร้างพลังอำนาจเวลาสื่อสารขึ้นมา แต่เราจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรได้ยังไง ก็ต้องมาจากการ ‘ฟังอย่างลึกซึ้ง’ ซึ่งนั่นพูดง่ายแต่ทำยากชะมัด เพราะมันไม่ได้ฟังแล้วจับใจความ แต่มันคือการฟังเพื่อสัมผัสความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยไม่เอาความคิดตัวเองไปตัดสิน
Daniel Yankelovich นักสังคมศาสตร์ได้อธิบายไว้ว่า ปกติเวลาคนเรามีข้อขัดแย้งกัน เวลาอีกฝ่ายพูด เรามักจะไม่ได้ฟังเขาจริงๆ แต่เราฟังเพื่อหา ‘จุดอ่อน’ ในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพื่อให้เราเอาชนะอีกฝ่ายด้วยเหตุผลทันที
แต่นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดานี่? คนเราเถียงกัน สุดท้ายคนที่เหตุผลดีกว่า มีข้อมูลมาสนับสนุนมากกว่า อีกฝ่ายก็ต้องยอมรับดิ แต่ทำไมหนอหลายต่อหลายครั้ง อีกฝ่ายถึงไม่ยอมรับล่ะ ไม่เห็นแฟร์เลย
เพราะสิ่งที่พูดไปมันอาจ ‘ถูกต้อง’ แต่ยัง ‘ไม่ถูกใจ’ ไงล่ะ เนื่องจากอีกฝ่ายยังไม่ได้รู้สึกว่าเรามองในมุมของเขามากพอ โดยเฉพาะรับฟังเขามากพอ ในระดับความรู้สึก
“อารมณ์คือขุมพลังแห่งชีวิต”
นี่คือคำพูดของ Anthony Robbins นักเขียนด้านจิตวิทยาแห่งความสำเร็จกล่าวเอาไว้ เผ่าพันธุ์โฮโม เซเปียน เซเปียน อย่างเราๆ ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล
ตัวอย่าง่ายๆ ที่เราขอยกชีวิตตัวเองมาเล่า คือการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก (ซึ่งเราเชื่อว่ามันคือปัญหาคลาสสิคของคนทั้งโลก / พูดให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงนิดนึง 555) เดือนมกราคมซื้อรองเท้าวิ่งซะดิบดี เขียน New Year Resolution ว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ สุดท้ายเดินผ่านตู้ไอศกรีมหรือร้านเค้ก/ปังเย็น/บิงซู ก็ตบะแตกกินทุกที
เรื่องนี้ ดรัณ วิเศษจินดา ผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาให้คำตอบว่า “ถึงแม้สมองเราจะมีร้อยแปดเหตุผล เช่นแม้ว่าเราจะมีเหตุผลให้ไม่กินไอติม… สุดท้ายแล้วเหตุผลของเราจะแพ้ต่ออารมณ์ทุกที เพราะว่าอารมณ์ที่เราที่เรารู้สึกว่า เราจินตนาการว่าถ้าเรากินไอติมเรามีความสุข” (ซึ่งแน่นอนว่าความสุขจากการวิ่งแล้วน้ำหนักลดไม่เกิดทันที แต่ไอศกรีมเข้าปากปุ๊บฟินปั๊บ)
ด้วยเหตุนี้ โอกาสที่เราจะโน้มน้าวอีกฝั่งสำเร็จนี่แทบจะริบหรี่สุดๆ ถ้าไม่ได้ทำให้อีกฝั่งหนึ่งรู้สึกว่า “คุณโอเคนะ ที่จะรู้สึกหรือเชื่อแบบที่คุณคิดในตอนนี้ แม้จะไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิดก็ตาม” เพราะสมองมนุษย์ทุกคนมีส่วนที่เรียกว่า right amygdala ส่วนนี้จะรับสารต่างๆ ด้วยอารมณ์ และอารมณ์อะไรที่ขับเคลื่อนสมองของเรามากที่สุด? มันคือ ‘ความกลัว’ และคนเรากลัวอะไร ‘กลัวการเปลี่ยนแปลง’
และจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่กลัวล่ะ มันก็กลับมายังสิ่งที่ Adam Galinsky นำเสนอคือเราต้องยอมรับคนอื่น และมองในมุมอีกฝั่งให้ได้ ซึ่งถ้าเราทำ 2 อย่างนี้สำเร็จ เขาก็จะรู้สึกเป็นพวกเดียวกับเรา และโอกาสที่ข้อเสนอที่เราต้องการถูกรับฟัง และก็อีกฝั่งก็จะคล้อยตามความคิดเราได้ง่ายขึ้นด้วย
Andy Cohen พิธีกรที่อเมริกา ใช้เทคนิคดังกล่าวได้เวิร์คมากๆ เขาจัดทอล์กโชว์ ที่มีจุดขายคือแขกรับเชิญมักจะเล่าวีรกรรมจัญไรของตัวเองออกมาในรายการได้หน้าตาเฉย ทางเว็บไซต์ Business Insider ก็เลยมาขอสอบถามเคล็ดลับ Andy ว่าทำอย่างไรให้เหล่าเซเล็บกล้าเล่าเรื่องส่วนตัวดาร์คๆ โดยไม่กลัวเสียภาพลักษณ์ พิธีกรหนุ่มตอบว่า
“ทำให้คน นั้นรู้ว่าคุณกับผมเป็นพวกเดียวกัน ด้วยการแสดงออกในทุกๆ ทาง ให้เห็นว่าผมมีแพสชั่น ผมสนใจ และกระตือรือร้นในเรื่องของพวกเขา”
จะให้คนอื่นที่คิดต่างรับฟังเราไม่ง่าย ยิ่งจะเปลี่ยนความคิดให้เชื่อแบบเรายิ่งยากคูณร้อยคูณพัน บางทีความเห็นต่าง ไม่จำเป็นต้องสู้กันให้เห็นผลแพ้-ชนะเสมอไป ลองรับฟังคนอื่นให้ลึกขึ้น เข้าใจความคิดกันมากขึ้น และทำให้ทุกคนชนะไปด้วยกันไม่ดีกว่าเหรอ?
อ้างอิงข้อมูลจาก
facebook.com/Darranhappyuniverse