รัฐบาลเพื่อไทยประสบกับภาวะวิกฤต นับตั้งแต่กรณีการปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา จนเกิดกระแสเรียกร้องให้แพทองธาร ‘ลาออก’ จากตำแหน่งนายกฯ เพื่อเป็นการรับผิดชอบทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (29 สิงหาคม) ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธาร ‘พ้นเก้าอี้นายกฯ ทันที’ เท่ากับว่าหลังจากนี้สภาผู้แทนราษฎรต้องประชุมเพื่อลงมติ ‘เลือกนายกฯ คนใหม่’ ซึ่งการโหวตเลือก ต้องเลือกจากแคนดิเดตนายกฯ ที่มีทั้งหมด 5 คน ไม่ใช่ 6 คน ดังต่อไปนี้

เท่ากับว่าผู้ที่อาจจะมาทำหน้าที่แทนแพทองธาร จะมีทั้งหมด 5 คน ไม่ใช่ 6 คน เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐ มี สส. เหลือไม่ถึง 25 คน จึงไม่สามารถเสนอบุคคลในบัญชีรายชื่อคือ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ ได้ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 กำหนดไว้ว่า ในการโหวตเลือกผู้นำของประเทศคนใหม่ พรรคการเมืองของแคนดิเดตต้องมี สส.ไม่น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ของ สส.ทั้งหมดที่มีของสภา หรือ 25 คนขึ้นไป
โดยชื่อที่ถูกเสนอจะต้องมี สส.ยกมือรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ สส.ที่มีอยู่ของสภาฯ หรือ 50 คน และจะต้องมีการลงมติเห็นชอบโดยเปิดเผย และหลังจากได้นายกฯ คนที่ 32 การจัดตั้งรัฐบาลหรือการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะใช้เวลาไม่นาน
ก่อนจะเลือกนายกฯ คนใหม่ ก่อนหน้า ‘แพทองธาร’ มีทางเลือกอะไรบ้าง
- ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แม้ว่าแพทองธารจะออกมาแถลงขอโทษประชาชนต่อกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แต่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญว่า นายกฯ แพทองธารมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ ด้วยเหตุนี้แพทองธารถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม จวบจนวันนี้ (29 สิงหาคม) เธอตัดสินใจไม่ลาออก ก่อนที่ศาลฯ จะตัดสินชะตาเก้าอี้นายกฯ หากผลวินิจฉัยออกมาว่าแพทองธาร ‘รอด’ เธอก็จะดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไป แต่ในอนาคตเธออาจจะสละตำแหน่งก็ได้
ทั้งนี้ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นกับเราในกรณีที่แพทองธาร ‘รอด’ จากการตัดสิน และสามารถดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไปได้ ว่าเธอต้องรับมือกับอะไรบ้าง
“สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาผมคิดว่าในทางการเมืองคุณแพทองธารต่อให้รอดในคราวนี้ ก็ยังมีมรสุมต้องฝ่าไปต่อ อาจจะทั้งเรื่องของนิติสงครามในเรื่องต่อๆ ไป เช่น เรื่องที่มีคนไปร้องแล้วว่า ‘ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144’ มีคนไปร้อง ป.ป.ช.แล้ว อันนี้ก็จะเจอคดีต่อไป หรือว่าเรื่องของการแสดงออกของประชาชนซึ่งไม่พอใจกับคุณแพทองธาร แล้วก็รอดูศาลว่าจะตัดสินอย่างไร เขาก็คงจะมีท่าทีอะไรต่อไป”
ดังนั้น หากนายกฯ คนที่ 31 ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดเดิมต้องอยู่รักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ สภาฯ ต้องประชุมเลือกนายกฯ จากแคนดิเดตทั้ง 5 คน (ตามรายชื่อข้างต้น) โดยผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ ต้องมีคะแนนเห็นชอบมากกว่า 248 เสียง จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งหมด 495 คน
- ยุบสภา
หากนายกฯ เลือกยุบสภา สภาผู้แทนราษฎรจะสิ้นสุดลง สส.ทุกคนพ้นจากตำแหน่ง แต่คณะรัฐมนตรีจะรักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ ฉะนั้นขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นหลังจากการยุบสภาคือ ‘การเลือกตั้ง’ โดยคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน และหลังจากประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งเสร็จสิ้น กกต.มีเวลาในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง 60 วัน และค่อยนำไปสู่กระบวนการเลือกนายกฯ และจัดตั้ง ครม.
อาจารย์นิติศาสตร์พูดถึงกรณี ‘การยุบสภา’ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งจากแพทองธารและนายกฯ ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งแทนว่า “ที่แน่ๆ ต่อให้แพทองธารรอด สภานี้ก็ไม่ครบวาระหรอก ยังไงก็ไม่ช้านาน ก็คงต้องมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ เพียงแต่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงต้องการจะยืดเวลาไปให้นานที่สุด เพราะว่าตั้งแต่มีเรื่องคลิปหลุดออกมา คะแนนนิยมของพรรคก็ลดน้อยถอยลงไปมาก จนแม้กระทั่งอาจจะถ้าเลือกตั้งเร็วๆ นี้ อาจแพ้พรรคภูมิใจไทยด้วยซ้ำไป”
เขากล่าวอีกว่า แต่ถ้าแพทองธารไม่รอด นายกฯ ที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยการโหวตจากสภาก็มีสิทธิยุบสภาหลังจากนั้นเช่นเดียวกัน “ถ้าหากคุณชัยเกษมสู้คุณอนุทินไม่ได้ ก็ต้องคิดว่าหรือจะเป็นคนอื่น คุณพีระพันธุ์หรือใคร เพราะว่าตามแนวทางคุณทักษิณคือจะต้องเป็นรัฐบาลให้นานที่สุด แล้วก็ควรจะเป็นคนยุบสภาเอง เป็นรัฐบาลรักษาการในช่วงเลือกตั้ง อย่างน้อยแม้จะกลับมาเป็นที่หนึ่งไม่ได้ แต่รักษาที่สองไว้ได้ ชิงความได้เปรียบกับพรรคภูมิใจไทย แล้วถ้าพอดีพอร้ายเกิดสามารถสร้างผลงานบางอย่าง เศรษฐกิจฟื้นมาได้ ก็อาจจะกลับมาชิงแชมป์กับพรรคประชาชนได้ หรือพรรคประชาชนเกิดภาพลักษณ์อะไรขึ้นมา”

- พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว
หากพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว จะทำให้รัฐบาลแพทองธารเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยทันที เพราะตอนนี้มีเสียงในสภา 261 เสียง หรือเกินกึ่งหนึ่งของสภาเพียง 13 เสียง ส่วนของ ครม. ที่เหลืออยู่ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ และอาจมีการเกลี่ยโควตา รมต. กันใหม่ให้สอดคล้องกับองค์ประกอบและสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไป
ผศ.ดร.ปริญญาแสดงความเห็นเรื่องพรรคร่วมรัฐบาลไว้ว่า “คำถามคือคุณทักษิณสามารถทำให้เสียง สส.ที่มีประมาณ 260 มายกมือให้ได้หมดไหม ให้คุณชัยเกษมเป็นต่อได้ไหม เพราะสถานการณ์มันไม่เหมือนตอนที่คุณเศรษฐาพ้นตำแหน่ง แล้วก็มีการประชุมโหวตเลือกคุณแพทองธาร ตอนนี้พอภูมิใจไทยถอนตัวออกไป เสียงของรัฐบาลก็เกินครึ่งมาแค่ประมาณ 10 เสียง ความหมายคือว่า ถ้าหากมีพรรคร่วมรัฐบาลเพียงพรรคเดียว พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียงเป็นต้น พรรคประชาธิปัตย์ เป็น 25 เสียงเป็นต้น หรือซีกหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ 18 เสียงเป็นต้น ย้ายมาโหวตอีกข้างหนึ่ง พรรคเพื่อไทยก็เป็นฝ่ายค้านเลยนะ ความหมายคือ คุณทักษิณเขาจะประเมินว่า คุณชัยเกษมสู้คุณอนุทินได้ไหม”
- นายกฯ ดำรงตำแหน่งต่อไป
หากแพทองธารเลือกอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป เธออาจเผชิญกับการชุมนุมของประชาชนที่ต้องการให้เธอลงจากเก้าอี้ รวมถึงการเผชิญหน้ากับคดีอีกมากมาย ไม่ว่าจะจาก กกต., คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยข้อกล่าวหาตรงกันคือ
แพทองธารมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่ สืบเนื่องจากกรณีคลิปเสียง ระหว่างแพทองธาร กับ ฮุน เซน
“ถ้ารอด คุณแพทองธารก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเดิม ถ้ามาในทางนี้ในส่วนของคุณทักษิณก็เหลือแค่เรื่อง 9 กันยายน คดีชั้น 14 ว่าจะเป็นยังไงต่อ แต่ว่าแน่นอนแหละว่าถ้าออกมาตามแนวทางนี้ มันก็จะเป็นแนวทางที่เรียกว่า ‘ไม่ตรงกับความคาดหวังของคนจำนวนมาก’ เพราะคนก็รู้สึกตั้งแต่เกิดเรื่องคลิปเสียงหลุดว่า ถ้าไม่ลาออกก็ต้องยุบสภา อย่างหนึ่งอย่างใด”
“สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาผมคิดว่าในทางการเมืองคุณแพทองธารต่อให้รอดในคราวนี้ ก็ยังมีมรสุมต้องฝ่าไปต่อ อาจจะทั้งเรื่องของนิติสงครามในเรื่องต่อๆ ไป เช่น เรื่องที่มีคนไปร้องแล้วว่า “ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144” มีคนไปร้อง ป.ป.ช.แล้ว อันนี้ก็จะเจอคดีต่อไป” อาจารย์นิติศาสตร์ กล่าวปิดท้าย
อ้างอิงจาก