นักการเมืองลวนลาม-ข่มขืนผู้อื่น อธิการบดีถ่ายรูปพนักงานตอนรับบนเครื่องบินแล้วโพสต์ข้อความว่า ‘น้ำลายไหล’ พระที่มีเพศสัมพันธ์อย่างสมยอมกับสีกาแต่กลับออกมาบอกว่า ทำไปเพราะผู้หญิงยั่ว หรือแม้แต่ประเด็นล่าสุด เมื่อผู้มีอำนาจในหน่วยงานที่ต้องช่วยเหลือเด็ก กลับกลายเป็นคนใช้อำนาจบังคับเด็กให้ขายบริการทางเพศ
ข่าวเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น แต่ยังทำให้สังคมตั้งคำถามกับบุคคลที่ดูเป็น ‘คนดี’ ในสังคมอีกด้วย เพราะอาชีพการงานของผู้กระทำเหล่านี้ ล้วนเป็นอาชีพที่ถูกมองว่ามีหน้ามีตาในสังคมและมักได้รับความเคารพนับถืออยู่เสมอ
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาในสังคมไทยก็มักจะมี ‘คำสอน’ ให้กับผู้หญิง ซึ่งมักเป็นผู้เสียหายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคำสอนว่าต้องรักนวลสงวนตัว ไม่เดินในที่เปลี่ยว ไม่แต่งตัวล่อแหลม และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ในทางตรงกันข้าม กลับไม่ค่อยมี ‘คำสอน’ ไปถึงผู้ที่ก่อกระทำผิดเสียเท่าไหร่
เราเลยมาลองแต่งคำคมสอนใจผู้ก่อเหตุ เพื่อให้เห็นว่า ปัญหาของการเรื่องเหล่านี้คืออะไรกันแน่?
จะถ่ายรูปใคร ให้ขออนุญาต อย่าให้ต้องฟาด เพราะละเมิดสิทธิ์คนอื่น
จากกรณีของ ชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ถ่ายรูปพนักงานต้อนรับบทเครื่องบิน โดยไม่ได้ข้ออนุญาต และนำไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล ซึ่งแม้ว่าตอนนี้ ชัยชาญจะออกมาแถลงขอลาออกจากตำแหน่งแล้ว แต่ทางกลุ่มประชาคมศิลปากรเพื่อประชาธิปไตยก็เข้ายื่นหนังสือต่อสภามหาวิทยาลัยเพื่อขอให้ยับยั้งการอนุมัติการลาออกนี้ไว้ก่อน เพื่อให้อธิการบดีได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนและลงโทษถึงความผิดที่เกิดขึ้นจนกว่าจะมีผลการสอบสวนวินิจฉัยความผิด ชี้แจงต่อสาธารณชนอย่างละเอียดและโปร่งใส
ถ่ายรูปคนอื่นแล้วบอกน้ำลายไหล คุณพี่คิดหน่อยไหมว่ามันคุกคาม
ประเด็นที่ตามมาต่อจากการถ่ายรูปโดยไม่ข้ออนุญาตก็คือ แคปชั่นที่ประกอบภาพถ่ายเหล่านั้น ซึ่งระบุว่า “เอาไปฝากน้องๆ ให้เขาน้ำลายไหล” ซึ่งสะท้อนถึงการคุกคามทางเพศ และทำให้นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรทำแคมเปญผ่าน change.org เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยดำเนินการสอบสวนอธิการบดี เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าผิดจรรยาบรรณบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา
มาพูดว่าผู้หญิงมันยั่ว แต่อย่ามามั่วเพราะมันคือ victim blaming
สำหรับสังคมไทยที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาทแล้ว การที่พระมีเพศสัมพันธ์สีกานับเป็นเรื่องที่ยอมรับกันไม่ได้ แต่ประเด็นที่เรามองว่า สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ คำให้สัมภาษณ์ของอดีตพระกาโตะ หรือพงศกร จันทร์แก้ว ที่กล่าวว่า เพราะผู้หญิงยั่ว เลยเผลอใจไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย
ปัญหาของคำพูดนี้ สะท้อนถึงเรื่องของ victim blaming หรือการโทษผู้เสียหาย (แม้ว่าในเรื่องนี้จะสมยอมกันสองฝ่าย) แต่คำว่า ‘ผู้หญิงยั่ว’ ก็เป็นคำที่ถูกใช้บ่อยๆ ในการล่วงละเมิด และเป็นการโยนความผิดให้ฝ่ายหญิงแทนที่จะตั้งคำถามกับผู้กระทำ
มีอำนาจบาตรใหญ่ไม่ใช่ข้ออ้าง ที่มาหาทางล่วงละเมิดทางเพศคนอื่น
ปัญหาหลักของการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ทางเพศ แต่เป็นเรื่องของอำนาจที่อีกฝ่ายหนึ่งจะใช้กดอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนออกมาจากข่าว ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ล่วงละเมิดทางเพศและทำอนาจารผู้อื่น โดยใช้ตำแหน่งและอาชีพของตัวเองข่มไม่ให้ผู้เสียหายออกมาร้องทุกข์
รวมถึง คดีเครือข่ายค้ามนุษย์บังคับค้าประเวณีเด็กและผู้ใช้บริการ ซึ่งมีผู้ต้องหาเป็นประธานสหกรณ์ออมทรัพย์, รองประธานสภา อบต., ข้าราชการครู, นายแพทย์, ทหาร และลูกอดีตนักการเมือง นอกจากนี้ข้าราชการระดับรองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ยังโทรศัพท์เข้าไปสั่งการหัวหน้าบ้านพักเด็กฯ ให้เกลี้ยกล่อมเด็กไม่ให้บอกชื่อผู้ต้องหาด้วย ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจข่มขู่ และคุกคามชีวิตของผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่าอย่างชัดเจน