ฮามาสระดมยิงฝูงจรวดเพื่อเปิดทางให้สมาชิกติดอาวุธแทรกซึมเข้าไปในอิสราเอล บางส่วนเข้าไปในชุมชนใกล้ฉนวนกาซา สังหารประชาชนหรือจับพวกเขาเป็นตัวประกัน
อิสราเอลประกาศเข้าสู่ ‘ภาวะสงคราม’ เรียบร้อยแล้ว หลังจากฮามาส (Hamas) กลุ่มติดอาวุธ บุกเข้าโจมตีอิสราเอล ทว่ากองทัพอิสราเอลก็ตอบโต้กลับอย่างดุเดือดไม่แพ้กัน ซึ่งถือเป็นความขัดแย้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ทำให้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทั่วทั้งโลกต่างจับจ้องเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
อย่างไรก็ดี ชนวนความขัดแย้งของเรื่องนี้ เกิดมาจากข้อพิพาทในเรื่องดินแดนระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอลที่กินระยะเวลามาหลายสิบปี หรือจะตีเป็นหลายพันปีก็ยังได้ โดยชาติอาหรับในภูมิภาคและชาติมหาอำนาจโลกก็มีส่วนร่วมในความขัดแย้งนี้มาตลอด
หลายคนคาดสงครามระลอกใหม่ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสมีแนวโน้มยืดเยื้อ และยังส่งแรงกระเพื่อมต่อความสัมพันธ์ในตะวันออกกลางอย่างเลี่ยงไม่ได้ The MATTER จึงชวนทุกคนมาดูภูมิศาสตร์การเมือง ‘อิสราเอล-เพื่อนบ้าน’ เพื่อให้เห็นภาพว่ามีท่าทีหรือจุดยืนอย่างไรกันบ้าง
นอกจากนี้ เราจะเสริมว่าองค์กรระหว่างประเทศ (UN) และประเทศมหาอำนาจตะวันตกมีบทบาทอย่างไรต่อความขัดแย้งครั้งล่าสุดอีกด้วย
พื้นเพความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นราว 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อชาวฮีบรู (Hebrew) หรือชาวยิว (Jews) ได้อพยพมาจากเมโสโปเตเมียเข้ามาในดินแดนคานาอัน (Canaan) หรือดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promise Land) ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานพรให้พวกเขา แต่ถัดมาอีกประมาณ 500 ปี ชาวฮีบรูจำเป็นต้องอพยพไปอียิปต์ เนื่องจากภัยพิบัติธรรมชาติ
ราว 1,300 ปีก่อนคริสตกาล โมเสส (Moses) ได้ช่วยเหลือและอพยพชาวฮีบรูออกจากอียิปต์กลับไปที่คานาอัน แต่ดินแดนนี้ได้ตกเป็นของชาวฟิลลิสไตน์ (Philistine) หรือ ชาวปาเลสไตน์ (Palestine) ไปแล้ว ดังนั้นทั้งสองจึงทำสงครามกัน ซึ่งชาวฮิบรูชนะศึกครั้งนี้ จนเกิดการสถาปนาอาณาจักรอิสราเอล
อย่างไรก็ดี เราขอข้ามมาในช่วงปี 131-135 เลย เพราะเป็นเวลาที่ชาวยิวจำนวนมากเริ่มอพยพไปทั่วยุโรป เนื่องจากไม่สามารถต้านทานอำนาจของโรมันได้ และถัดมาเมื่อประมาณศตวรรษ 1500 ชาวยิวที่เหลือก็จำเป็นต้องอพยพหนี เพราะจักรวรรดิไบแซนไทน์มีการปราบปรามชาวยิวครั้งใหญ่
เมื่อประมาณศตวรรษ 1700 ดินแดนอิสราเอลตกอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิอิสลาม และดินแดนอิสราเอลก็เริ่มถูกเรียกชื่อเป็นดินแดนปาเลสไตน์แทน ทั้งนี้ ในช่วงศตวรรษ 1500-1900 ชาวยิวที่อยู่กระจัดกระจายทั่วโลกรู้สึกว่า ตัวเองอยู่อย่างเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่ง และยังเป็นที่รังเกียจของชาวยุโรป
ดังนั้นหลังจากพวกเขาต้องร่อนเร่ไปทั่วกว่าพันปี ชาวยิวบางกลุ่มจึงต้องการเดินทางกลับมายังดินแดนอิสราเอล ที่กลายเป็นของชาวปาเลสไตน์ไปแล้วโดยชาวออสเตรียเชื้อสายยิวนามว่า ธีโอดอร์ เฮิร์ตเซิล (Theodor Herzl) ได้ก่อตั้งขบวนการไซออนิสต์ (Zionist) องค์กรที่มีเป้าหมายสำคัญในการก่อตั้งรัฐของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์
ในช่วงปี 1918 ดินแดนปาเลสไตน์ถูกอยู่ภายใต้การปกครองในสถานะรัฐอารักขาของอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ซึ่งสนับสนุนขบวนการไซออนิสต์ ดังนั้นช่วงทศวรรษ 1920 ชาวยิวเริ่มอพยพเข้าไปในดินแดนปาเลสไตน์ ก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกับชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านั้น
ถัดมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในทวีปยุโรปถูกจับเข้าค่ายกักกันและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) โดยนาซีเยอรมัน ซึ่งมีชาวยิวล้มตายมากกว่า 6 ล้านคน และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ชาวยิวนับล้านคนที่รอดชีวิตตัดสินใจเดินทางเข้าไปในปาเลสไตน์

การอพยพของชาวยิวสู่ปาเลสไตน์ cr. My Jewish Learning
การมีส่วนร่วมของเหล่าประเทศอาหรับ
อังกฤษ ผู้กุมอำนาจปาเลสไตน์ขณะนั้น ไม่สามารถยุติความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายได้ อังกฤษจึงถอนตัวออกจากปาเลสไตน์ และนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อทางสหประชาชาติ (UN) จนท้ายที่สุดแล้ว ก็มีมติให้แบ่งดินแดนของปาเลสไตน์ออกเป็น 2 ส่วนคือ ดินแดนของชาวยิวกับดินแดนของชาวปาเลสไตน์ โดยกรุงเยรูซาเล็มจะอยู่ภายใต้การดูแลของ UN
ทว่าการก่อตั้งประเทศอิสราเอลได้สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากให้กับกลุ่มประเทศอาหรับ ดังนั้น อียิปต์, อิรัก, เลบานอน, ซาอุดีอาระเบีย, ซีเรีย และจอร์แดน จึงร่วมกันก่อตั้งสันนิบาตอาหรับ (Arab League) เพื่อต่อต้านอิสราเอล เมื่อ 22 มีนาคม 1945
นับจากนี้เป็นต้นไป จะเกิดความขัดแย้งระหว่างอาหรับ-อิสราเอล (Arab-Israeli conflict) ที่ขัดแย้งทั้งทางการเมือง ทางทหาร และข้อพิพาทอื่นๆ ซึ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่พอเข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ความรุนแรงจะลดน้อยลง
เมื่อปี 1948-1949 สันนิบาตอาหรับส่งกองทัพบุกโจมตีอิสราเอล เกิดเป็นสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งที่ 1 แต่อิสราเอลสามารถเอาชนะศึกครั้งนี้ได้ เนื่องจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ ทว่าสันนิบาตฯ สามารถยึดครองดินแดนบางส่วนอิสราเอลได้ ซึ่งประกอบไปด้วย ฉนวนกาซา (Gaza Strip), เวสต์แบงค์ (West Bank) แต่กรุงเยรูซาเล็มถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เยรูซาเล็มตะวันตกเป็นอิสราเอล และ เยรูซาเล็มตะวันออกเป็นของจอร์แดน ซึ่งสงครามในครั้งนี้ทำให้ชาวปาเลสไตน์นับแสนคนต้องอพยพไปดินแดนอาหรับรอบๆ แทน
เมื่อปี 1956 เกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งที่ 2 หรือถูกเรียกอีกชื่อว่า วิกฤตการณ์คลองสุเอซ (Suez Crisis) โดยอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลในการต่อสู้กับอียิปต์ อย่างไรก็ดี ชัยชนะครั้งนี้ตกเป็นของอียิปต์ หนึ่งในสมาชิกสันนิบาตอาหรับ
หลังจากนั้น ยัสเซอร์ อัล-อาราฟัต (Yasser al-Arafat) ผู้นำของชาวปาเลสไตน์ก่อตั้งองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล และทวงคืนดินแดนปาเลสไตน์จากชาวยิว จนเกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งที่ 3 หรือ สงครามหกวัน (Six Day War) ซึ่งครั้งนี้อิสราเอลกลับมาเป็นฝ่ายชนะสงครามอีกครั้ง และทำการยึดครองฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์จากฝ่ายอาหรับ ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำการยึดครองแหลมไซนาย (Sinai) ดินแดนของอียิปต์และเยรูซาเล็มตะวันออกอีกด้วย
เมื่อปี 1973 เกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งที่ 4 หรือ สงครามยมคิปปูร์ (Yom Kippur War) ซึ่งครั้งนี้อิสราเอลก็เป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง และยังสามารถยึดดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ แต่ 5 ปีต่อมา อิสราเอลและอียิปต์ทำข้อตกลงสันติภาพแคมป์เดวิด (Camp David Accord) ร่วมกัน โดยมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลาง
ในช่วงต้นศตวรรษ 1980 อิสราเอลส่งกองทัพเข้าไปในเลบานอนเพื่อกวาดล้างกลุ่ม PLO ที่ซ่อนตัวอยู่ในประเทศ ซึ่งทำให้ชาวเลบานอนบางส่วนจึงจัดตั้งกลุ่มติดอาวุธอิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปี ก็สามารถขับไล่กองทัพอิสราเอลไปได้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1988 ยัสเซอร์ อัล-อาราฟัต (Yasser Arafat) ประกาศก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ (State of Palestine) และสั่งยุติกลุ่ม PLO รวมทั้งจะใช้สันติสิธีเพื่อเจรจากับอิสราเอล จึงเกิดกลุ่มที่ชื่อว่า ฟะตะห์ (Fatah) ที่เน้นต่อสู้แบบสันติวิธี แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ก็เกิดกลุ่มที่ชื่อว่า ฮามาส (Hamas) ที่เน้นใช้ความรุนแรงในการต่อสู้
แม้จะทำสัญญาสันติภาพหลายครั้ง แต่ความขัดแย้งก็ไม่จบลง

ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ถือป้ายที่แสดงแผนที่ของปาเลสไตน์อดีต-ช่วงปัจจุบัน (ซ้ายไปขวา)
เมื่อปี 1993 อิสราเอลและปาเลสไตน์ทำสนธิสัญญาสันติภาพออสโล (Oslo Accord) ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลางอีกครั้ง อย่างไรก็ดี การเจรจาครั้งนี้ได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนใหม่ โดยให้ฉนวนกาซ่าและเวสต์แบงก์เป็นของปาเลสไตน์
ทว่าทั้งสองประเทศก็ยังต่อสู้กันเพื่อยึดครองดินแดน ซึ่งที่ผ่านมาฝั่งปาเลสไตน์จะเสียเปรียบมากกว่า ไม่เพียงเท่านั้น ภายในปาเลสไตน์ก็เกิดความแตกแยกกันเองเช่นกัน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มฮามาสครองฉนวนกาซ่า ส่วนบริเวณเวสต์แบงก์เป็นของกลุ่มฟะตะห์ (Fatah) รัฐบาลของปาเลสไตน์
ปัจจุบันนี้สันนิบาตแห่งรัฐอาหรับมีสมาชิกทั้งสิ้น 22 ประเทศ จากเดิม 6 ประเทศ ที่เน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคม และยังร่วมมือกันเพื่อป้องกันและต่อสู้เมื่อเกิดการรุกรานประเทศในสมาชิกอีกด้วย
นอกจากนี้ เมื่อปี 2020 มี 28 รัฐสมาชิกของสหประชาชาติ (UN) ไม่รับรองอิสราเอล ได้แก่
- 15 สมาชิกของสันนิบาตอาหรับ ซึ่งมี แอลจีเรีย คอโมโรส จิบูตี อิรัก คูเวต เลบานอน ลิเบีย มอริเตเนีย โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบียโซมาเลีย ซีเรีย ตูนิเซีย และเยเมน
- 10 ประเทศจากองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ได้แก่ อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ บรูไน อินโดนีเซีย อิหร่าน มาเลเซีย มัลดีฟส์ มาลี ไนเจอร์ และปากีสถาน นอกจากนี้ ยังมีคิวบา เกาหลีเหนือ และเวเนซุเอลา
ต่อมาเราชวนมาดูว่า ‘จุดยืน’ ของประเทศแทบอาหรับและใกล้เคียงต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง
ฝ่ายต้องการให้ความรุนแรงยุติลง
- อียิปต์ เป็นชาติอาหรับชาติแรกที่ยอมสงบศึกกับอิสราเอล พร้อมกับรับหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง พร้อมเน้นให้นานาชาติฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพอาหรับ-อิสราเอล
- จอร์แดน ได้ลงนามสนธิสัญญาสันติภาพกับอิสราเอล และขณะนี้จอร์แดนก็เรียกร้องให้ผู้นำ EU หาวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้
- ตุรกี ประณามการกระทำที่รุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันพร้อมจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์เท่าที่จะทำได้
- โอมาน เรียกร้องให้ปาเลสไตน์และอิสราเอลหยุดใช้ความรุนแรง แม้ว่าจะไม่ได้ยอมรับรัฐอิสราเอล
- กาตาร์ พยายามเจรจากับกลุ่มฮามาสเพื่อยุติความรุนแรง แม้จะระบุว่าอิสราเอลเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบ เพราะอิสราเอลละเมิดสิทธิของประชาชนปาเลสไตน์มาอย่างยาวนาน
ฝ่ายที่มีท่าทีไม่สนับสนุนอิสราเอล
- ปาเลสไตน์ ขัดแย้งกับอิสราเอลเรื่องดินแดน ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่เข้าสู่ภาวะสงครามกันอยู่ เนื่องจาก ‘ฮามาส’ กลุ่มกองกำลังติดอาวุธ บุกโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่
- เลบานอน ‘เฮซบอลเลาะห์’ กลุ่มติดอาวุธ บุกโจมตีอิสราเอลทางตอนเหนือเพื่อสนับสนุนกลุ่มฮามาส ทว่ารัฐฯ ไม่ได้เห็นด้วย โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา อิสราเอลถูกโจมตีด้วยจรวดขนาดเล็กหลายครั้งจากเลบานอน ซึ่งอิสราเอลก็โจมตีตอบโต้
- ซีเรีย ไม่เคยยอมรับว่าอิสราเอลเป็นรัฐที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทั้งคู่มีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด เนื่องจากตั้งแต่สงครามกลางเมืองปะทุขึ้นในซีเรียปี 2012 ประเทศนี้ได้กลายเป็นสงครามตัวแทนระหว่างอิหร่านและอิสราเอลทันที
- คูเวต ตำหนิอิสราเอลว่าเป็นต้นเหตุ แต่ก็เรียกร้องให้ UN รับผิดชอบ
- เยเมน ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศตึงเครียด และเยเมนถูกกำหนดให้เป็น ‘รัฐศัตรู’ เพราะสนับสนุนความเป็นรัฐปาเลสไตน์ในทุกทาง
- แอลจีเรีย ประณามการโจมตีทางอากาศอันโหดร้ายของกองกำลังอิสราเอลในฉนวนกาซา
- ลิเบีย ถือเป็นปรปักษ์กับอิสราเอลเพราะสนับสนุนปาเลสไตน์
- ซาอุดีอาระเบีย ตำหนิอิสราเอลว่าเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งนี้
- อิหร่าน สนับสนุนการโจมตีของกลุ่มฮามาสและนักสู้ชาวปาเลสไตน์ เนื่องจากที่ผ่านมา อิหร่านกับอิสราเอลเป็นปรปักษ์กันหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่อิสราเอลพยายามขัดขว้างโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน
- อิรัก ประกาศจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์และสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขา
- อัฟกานิสถาน ทั้งคู่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต และอัฟกานิสถานไม่เคยยอมรับรัฐอิสราเอล
- ตูนิเซีย คิดว่าชาวปาเลสไตน์มีสิทธิที่จะเรียกคืนที่ดินที่ถูกยึดครอง และประณามการโจมตีของอิสราเอล
ทั้งนี้ UN ได้เรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ ใช้ความอดกลั้นและปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรง ส่วนสหรัฐฯ และ ประเทศฝ่ายตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน และยูเครน ได้สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล พร้อมทั้งประณามการกระทำของกลุ่มฮามาส เพราะพวกเขามุ่งเป้าไปยังประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งอังกฤษและเยอรมนีสนับสนุนสิทธิการป้องกันตนเองของรัฐบาลและประชาชนอิสราเอล เนื่องจากกำลังเผชิญกับลัทธิก่อการร้าย
ประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ก็ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหยุดโจมตีกัน เพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมส่งเสริมการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์อิสระ และเร่งรัดให้ประชาคมโลกฟื้นฟูสันติภาพระหว่างสองประเทศโดยเร็ว นอกจากนี้ รัสเซียก็เรียกร้องให้อิสราเอลและปาเลสไตน์หยุดใช้ความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม จากการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างอิสราเอสและกลุ่มฮามาสตลอดหลายวันที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากทั้ง 2 ฝ่ายอย่างน้อย 1,500 คน และบาดเจ็บอีกหลายพันคน มิหนำซ้ำยอดผู้เสียชีวิตชาวไทยเพิ่มอีก รวมเป็น 18 ราย (ข้อมูลยังไม่เป็นทางการ) ในเวลาเดียวกันนี้ คนไทยแสดงความจำนงอยากกลับไทยกว่า 3,000 คน ซึ่งทางการไทยพยายามให้ความช่วยเหลือ โดยคนไทยชุดแรกจะได้เดินทางกลับไทยในวันที่ 12 ตุลาคมนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ความล้มเหลวของอิสราเอลในการป้องกันภัยคุกคามจากกลุ่มฮามาส เป็นสัญญาณว่าการปิดล้อมเขตกาซาไม่สามารถรับประกันความมั่นคงได้ สงครามระลอกใหม่ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสมีแนวโน้มยืดเยื้อและขยายตัวเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น และยังส่งแรงกระเพื่อมต่อความสัมพันธ์ในตะวันออกกลางอย่างเลี่ยงไม่ได้
อ้างอิงจาก