นอกจากว่าประเทศเราจะขึ้นชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม เมืองคนน้ำใจงามแล้ว ชื่อเสียงอีกด้านที่ไม่แพ้ชาติใดในโลกของเราคือ ไทยเป็นประเทศที่มีคดียาเสพติดข้ามชาติเยอะมาก โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีคดียาเสพติดที่กลายเป็นข่าวใหญ่ว่าถูกส่งออกจากไทยไปสู่ประเทศอื่นอย่างน้อย 4 คดี
แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจำทำงานอย่างแข็งขัน สามารถยับยั้งการส่งออกยาเสพติดล็อตใหญ่ได้หลายครั้งหลายครา ทั้งกรณียาเค 300 กิโลกรัมที่ตรวจในโกดังย่านนนทบุรี (ไม่ขอเอ่ยถึงกรณียาเคกว่า 11 ตันที่จับผิด..) หรือย้อนกลับไปกรณีของ ไซซานะ แก้วพิมพา เจ้าพ่อเครือข่ายยาเสพติดชาวลาวที่ใช้ไทยเป็นเส้นทางลำเลียงยาบ้ากว่า 3.5 ล้านเม็ดเพื่อกระจายในพื้นที่ภาคใต้ของไทยและมาเลเซีย
The MATTER รวบรวม 6 คดียาเสพติดที่มีข่าวว่าส่งออกจากประเทศไทยทั้งในช่วงที่ผ่านมาและอดีต และถึงแม้บางคดีอาจไม่มีคนไทยเกี่ยวข้องโดยตรง แต่หากเมื่อยาเสพติดผ่านพรมแดนของเราแล้ว จะบอกบ่ายปัดความรับผิดชอบทั้งหมดก็คงไม่ถูกนัก
- เกาหลีใต้จับกุมชาวไทยขนยาไอซ์ 4 กิโลกรัม
คดีที่หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจของเกาหลีใต้ ได้แถลงการณ์จับกุมชาวไทยรายหนึ่ง ซึ่งไปรับยาไอซ์น้ำหนัก 4 กิโลกรัม มูลค่าราว 377 ล้านบาท ที่ถูกขนส่งมาจากบริการรับส่งสินค้าทางอากาศ
ไม่เพียงเท่านั้น ต่อมาเจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้ยังขยายผลการจับกุมและตั้งข้อหาเพิ่มชาวไทย 5 รายและชาวเกาหลีใต้ 2 คน ในข้อหาลักลอบขนสารต้องห้ามหลากหลายประเภท อาทิ ยาไอซ์ 170 กรัม, ยาบ้า 1,576 เม็ด, ยาเค 97 กรัม, ยาอี 55 เม็ด และยาแอลเอสดี 190 ชิ้น เข้าสู่เกาหลีใต้ผ่านการส่งพัสดุจากต่างประเทศ ตลอดช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ โดยตลอด 16 ปีที่ผ่านมา มียาไอซ์ถูกลักลอบนำเข้าสู่เกาหลีใต้เฉลี่ย 33 กิโลกรัม/ปี ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้สามารถยึดได้จากชาวไทยถึงร้อยละ 12
ทั้งนี้ ศาลเกาหลีใต้เพิ่งนัดไต่สวนชาวไทยผู้ลักลอบคนยาไอซ์ 4 กิโลกรัมไปเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา และต้องติดตามความคืบหน้าคดีต่อไป
- ออสเตรเลียตรวจเรือจากไทย พบยาไอซ์ 316 กิโลกรัม
ผ่านไปไม่ถึงสองอาทิตย์ คดีที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 โดยเจ้าหน้าที่กองกำลังชายแดนออสเตรเลียถึงกับตกใจ เมื่อยึดยาไอซ์น้ำหนักรวมกว่า 316 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าราว 2,400 ล้านบาท ได้จากเรือขนสินค้าสัญชาติจีน ที่ถูกส่งมาจากท่าเรือแหลมฉบังในประเทศไทย
โดยเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียสังเกตเห็นความผิดปกติจากสินค้า จึงตรวจค้นเรือลำหนึ่ง และพบว่าภายในมีเครื่องใช้ไฟฟ้าประกอบด้วย เตาปิ้งย่างและกาน้ำร้อนไฟฟ้ารวม 62 กล่อง ก่อนผงะอีกครั้งเมื่อพบว่าภายในบรรจุยาไอซ์น้ำหนักรวมกันมากถึง 316 กิโลกรัม
โดยล่าสุด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดของไทยได้ประสานขอข้อมูลจากทางการออสเตรเลียแล้ว และเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดยืนยันว่า ขณะนี้ทางการไทยได้ข้อมูลบริษัทที่ส่งออกสินค้าผ่านทางเรือไปยังออสเตรเลียแล้ว แต่กำลังอยู่ในช่วงรวบรวมพยานหลักฐาน หาความเชื่อมโยงว่าบริษัทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคดีนี้จริงหรือไม่ หรือแค่ถูกไหว้วานมาอีกที
- ฮ่องกงพบไอซ์ 9 กิโลกรัมซ่อนอยู่ในกรอบรูป ที่ส่งจากท่าเรือไทย
คดีที่สามเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 เมื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรฮ่องกงแถลงการตรวจยึดยาไอซ์น้ำหนัก 9 กิโลกรัมที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในกรอบรูป ที่ถูกซ่อนมาในตู้คอนเทนเนอร์จากเรือที่ถูกส่งออกจากท่าเรือของไทย ก่อนทำการจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นชาวจีน-ฮ่องกงจำนวน 2 ราย
หลังจากนั้นวันที่ 29 พฤษภาคม ทางการไทยก็ได้สืบทราบมาว่าจะมีการส่งยาไอซ์ในลักษณะนี้ไปฮ่องกงอีกครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่ประสานกำลังตรวจสอบสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ที่เตรียมส่งไปฮ่องกง ก่อนพบกรอบรูปจำนวน 5 กรอบ ซึ่งภายในบรรจุยาไอซ์ใส่เป็นถุง ถุงละ 1 กิโลกรัม รวมจำนวน 9 กิโลกรัม นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ไทยยังขยายผลไปตรวจค้นบริษัทขนส่งสินค้าแห่งหนึ่งในย่านเพชรบุรี และตรวจพบยาไอซ์ 2 กิโลกรัมซุกซ่อนอยู่ในลำโพง เตรียมส่งไปประเทศฟิลลิปปินส์ต่อไป
ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ไทยและฮ่องกงกำลังทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อขยายผลการจับกุมและทำลายขบวนการยาเสพติดข้ามชาติ
- พบเฮโรอีน 23.5 กก. ซ่อนในเครื่องใช้ไฟฟ้าจากท่าเรือไทย
ไม่รู้ว่าจะชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ฮ่องกง หรือตำหนิเจ้าหน้าที่ไทยดี เมื่อสดร้อนๆ วันที่ 30 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ศุลกากรฮ่องกงได้แถลงพบเฮโรอีน 23.5 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 906 ล้านบาท ถูกซุกอยู่ในตู้สินค้าที่ส่งมากับเรือที่ออกจากท่าเรือของไทย
โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรฮ่องกงได้ทำการตรวจค้นเรือสินค้าลำหนึ่งที่เดินทางมาจากท่าเรือในประเทศไทย พบว่าบรรจุเครื่องกรองน้ำ 13 เครื่อง เครื่องชงกาแฟ 9 เครื่อง และมากไปกว่านั้นคือ เฮโรอีนน้ำหนัก 23.5 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในกล่องเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าว ก่อนจะจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวจีน 2 คนที่คาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับคดีนี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พล.ต.ท.มนตรี ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ก็ได้เปิดเผยความคืบหน้าคดีว่า ขณะนี้ทางไทยได้ประสานขอข้อมูลจากทางการฮ่องกงแล้ว และคาดว่าผู้ต้องสงสัยชาวจีนทั้ง 2 รายจะเกี่ยวข้องกับคดียาไอซ์หนัก 9 กิโลกรัมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม
- ชาวออสฯ ลอบขนไอซ์และเฮโรอีนจำนวนมากจากไทยกลับบ้านเกิด
คดีที่ 5 เราพาย้อนกลับไปในวันที่ 7 มิถุนายน 2562 เมื่อทางการออสเตรเลียได้แถลงการยึดยาไอซ์น้ำหนัก 1.5 ตัน และเฮโรอีนอีก 37 กิโลกรัม มูลค่า 2.6 หมื่นล้านบาท ได้จากท่าเรือในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยตรวจพบว่าซ่อนอยู่ในลำโพง ที่ขนส่งมาโดยเรือสินค้าจากประเทศไทย
ถึงแม้กรณีนี้ เจ้าหน้าที่กองกำลังชายแดนออสเตรเลียจะแถลงการณ์จับกุมชาวออสเตรเลีย 3 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ (ทั้ง 3 คนเป็นเจ้าหน้าที่อัตราจ้างของภาครัฐออสเตรเลีย) และศาลออสเตรเลียมีคำตัดสินจำคุกตลอดชีวิตพวกเขาทั้งสามไปแล้ว แต่ก็เป็นกรณีหนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนกได้ไม่น้อย ทั้งในความห้าวหาญของผู้กระทำความผิด และความละเอียดในการทำงานของเจ้าหน้าที่ไทย
- มันคือแป้ง!
พูดถึงวลี ‘มันคือแป้ง!’ คงไม่ต้องเล่ากันให้มากความ เพราะหลายคนคงทราบดีว่าย้อนกลับไปราวเดือนเมษายนปี 2536 มนัส (ชื่อในเวลานั้น) หรือธรรมนัส พรหมเผ่า ได้เข้าไปพัวพันกับคดีการลักลอบเฮโรอีนน้ำหนัก 3.6 กิโลกรัม จากประเทศไทยเข้าสู่ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกับชาวออสเตรเลีย 2 ราย และชาวไทยอีก 1 ราย
จากคำยืนยันของสำนักข่าวซิดนีย์มอร์นิงเฮรัลด์ (Sydney Morning Herald) ซึ่งได้ตีพิมพ์บทความ ‘จากอาชญากรสู่รัฐมนตรี: เปิดโปงกรณีนักการเมืองต้องโทษจำคุกในคดีค้ายาเสพติด (From sinister to minister: politician’s drug trafficking jail time revealed)’ เป็นรายงานสอบสวนคดีของธรรมนัส และยืนยันว่า รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผู้นี้ถูกศาลออสเตรเลียจำคุก 4 ปีจริงๆ โดยได้รับการลดโทษจากการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ แต่เมื่อถูกคุมขังครบกำหนดระยะเวลาก็ถูกเนรเทศจากออสเตรเลียในทันที
ทางด้านธรรมนัสนั่นยืนยันว่าตัวเองไม่เคยลักลอบขนยาเสพติด และที่ถูกคุมขังก็เป็นเพราะตน “ผิดที่ ผิดเวลา” เท่านั้น..
และไม่เพียงแต่คำตัดสินของศาลออสเตรเลีย เพราะเมื่อ 5 พฤษภาคม ศาลรัฐธรรมนูญไทยได้ออกนั่งบัลลังก์ตามที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลจำนวน 54 รายชื่อ ยื่นเรื่องว่าธรรมนัสขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ จากกรณีลักลอบขนเฮโรอีนดังกล่าว ซึงสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็มีคำตัดสินชี้ขาดว่า ชายผู้ขนแป้งไม่ขาดคุณสมบัติ และสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและ ส.ส.ต่อได้
เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญยกขึ้นมาคือเรื่องอำนาจอธิปไตย อธิบายพอสังเขปได้ว่าทุกประเทศมีอำนาจอธิปไตยอันประกอบด้วย บริหาร, นิติบัญญัติ และตุลาการเป็นของตัวเอง และอำนาจอธิปไตยดังกล่าวมิอาจล่วงละเมิดได้ ดังนั้น คำตัดสินของศาลต่างประเทศจึงไม่เท่ากับคำตัดสินของศาลไทย
ทั้ง 6 คดีที่ The MATTER รวบรวมมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคดียาเสพติดที่เกี่ยวข้องกับไทยเท่านั้น ยังมีอีกหลายคดีมาก ทีต้องชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจและหลายฝ่ายว่าทำงานอย่างแข็งขันจนสามารถยับยั้งและจับกุมได้ก่อนที่จะมีการลักลอบส่งยาเสพติดออกไปนอกประเทศ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ การแก้ไขปัญหา ไม่ได้เท่ากับการป้องกันปัญหา เราอาจต้องกลับมามองว่าควรทำอย่างไรถึงจะหยุดยั้งการลักลอบขนยาเสพติดผ่านประเทศเราได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงกลางน้ำ เพื่อไม่ให้หลุดรอดสู่ปลายน้ำจนกลายเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งว่อนไปทั่วโลก
หรือบางทีเราควรตั้งคำถามใหม่ว่าเหตุใดถึงมีความต้องการยาเสพติดมากมาย เหตุใดอุปสงค์ถึงยังเพิ่มขึ้นอย่างต่ำเนื่อง หรือว่าทั้งหมดเกิดจากนโยบายยาเสพติดในภาพใหญ่ ที่ทุกฝ่ายพยายามใช้กำปั้นทุบให้แหลก หรือบางทีอาจมาจากเรื่องพื้นฐานกว่านั้นเช่น ความจน..
อ้างอิง: