เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ได้เปิดรายงานการลักลอบค้ายาเสพติดในปี 2020 ท่ามกลางวิกฤตการระบาดของไวรัส COVID-19 และพบว่าในภาพรวมตลาดยาเสพติดได้รับผลกระทบจากการระบาดอยู่ไม่น้อย ยกเว้นในภูมิภาคอาเซียนที่พ่อค้ายาปรับตัว แถมยังมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณยาเสพติด
ในไทยเอง ตั้งแต่ต้นปี 2564 มีข่าวเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดล็อตใหญ่จากไทยสู่ต่างประเทศอยู่ไม่น้อย ไม่ว่ากรณีออสเตรเลียพบไอซ์กว่า 316 กิโลกรัมซุกในเรือขนส่งสินค้่าจากไทย หรือกรมศุลกากรฮ่องกงพบเฮโรอีน 23.6 กิโลกรัมซ่อนในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกส่งจากท่าเรือไทย
มองคร่าวๆ การจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่สะท้อนทั้งการทำงานที่แข็งขันและงานข่าวที่เป็นระบบมากขึ้นขององค์กรต่อสู้ยาเสพติดทั่วโลก แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็สะท้อนถึงความเข้มแข็งของฐานผลิตยาเสพติดในอาเซียนเช่นกัน
The MATTER อยากชวนเปิดรายงานฉบันนี้ของ UNODC และชวนวิเคราะห์ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อโลกพ้นจากวิกฤตการระบาดของไวรัส COVID-19 แล้ว เรากำลังมีความท้าทายอะไรอยู่ และควรรับมืออย่างไรต่อปัญหายาเสพติด
รายงานของ UNODC
ในรายงานของ UNODC เรียกได้ว่าภาพรวมตลอดปี 2020 ตลาดยาเสพติดทั่วโลกคึกคักน้อยลง เนื่องจากมาตรการตอบโต้ COVID-19 ของรัฐบาลแต่ละประเทศทำให้การผลิต นำเข้า ส่งออก ตั้งแต่ต้นสายยันปลายน้ำของสารธารยาเสพติดมีปัญหา ด้านพ่อค้ายากำลังปรับตัวเปลี่ยนวิธีการผลิตและขนส่งยาเสพติด ขณะที่ผู้เสพเองก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป
ในอัฟกานิสถาน เกษตรกรต้นฝิ่นขาดแรงงานเก็บเกี่ยวผลผลิตทำให้พวกมันแห้งตายและไม่ถูกส่งไปผลิตเป็นยาเสพติดต่อเพราะนโยบายควบคุมการคมนาคมของรัฐบาล ต้นฝิ่นจำนวนมากในอัฟกานิสถานจะออกดอกระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน มันถูกใช้เป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดหลายประเภทโดยเฉพาะ ผงขาวหรือเฮโรอีน (Heronin)
ในเม็กซิโก แม้ต้นโคเคนจะขึ้นทั้งปีและมีแรงงานเหลือเฟือในการเก็บเกี่ยว แต่การขนส่งยาเสพติดเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดสำคัญ อย่างสหรัฐฯ ก็ลำบากขึ้น เพราะมาตรการตอบโต้ COVID-19 ที่เคร่งครัด
แต่อีกซีกโลกหนึ่ง ตลาดยาเสพติดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับยังคึกคักสวนกระแสภูมิภาคอื่นของโลก รายงานของ UNODC ชี้ว่า การค้าขายยาเสพติดในภูมิภาคอาเซียนเผชิญกับภาวะถดถอยแค่ชั่วครู่ และกลับมาเติบโตมากขึ้นกว่าเดิมหลังช่วงไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว
ข้อมูลของหน่วยงานต่อต้านยาเสพติดของอาเซียนชี้ว่า ในปี 2020 พวกเขาสามารถยึด meth หรือไอซ์ได้เกือบ 170 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 19% และเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ยึดได้ในปี 2017 เกือบสองเท่า
UNODC วิเคราะห์สรุปแนวโน้มว่า นโยบายควบคุมการเดินทางในช่วง COVID-19 ทำให้ขนส่งยาเสพติดลำบากจนพวกมันขาดตลาด มีราคาสูงขึ้น และผู้เสพสามารถหายาเสพติดที่มีคุณภาพบริสุทธิ์ได้ยากขึ้น ทำให้พวกเขาอาจเปลี่ยนไปใช้สารตัวอื่นที่หาได้แทน อาทิ จากเฮโรอีนเป็นสารสังเคราะห์ด้วยฝิ่นชนิดอื่น
ในอีกด้านหนึ่ง มีแนวโน้มว่าพ่อค้ายาเสพติดสต็อกสินค้าตัวเองไว้อย่างดีในโกดัง และเมื่อสิ้นสุดวิกฤต ยาเสพติดเกรด A อาจทะลักเข้าสู่ตลาด จนกลายเป็นสิ่งที่มีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
เพราะความจนและขบวนการยาเสพติดทำงานร่วมกันอย่างแยกไม่ออก แนวโน้มการทะลักของยาเสพติดคู่กับการถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลก จึงน่าเป็นกังวลว่าจะมีผู้ที่หันมาใช้สู่ยาเสพติดมากขึ้น รวมถึงบางส่วนอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติด
สามเหลี่ยมทองคำและคลื่นยักษ์ของยาเสพติด
ถ้ามองตามแนวโน้มของ UNODC คำถามต่อมาคือ ‘ทำไมถึงน่ากังวลว่าไทยจะเป็นประเทศที่ยาเสพติดทะลักเข้ามาจำนวนมาก?’
คำตอบสำคัญคือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ มีเรื่องเล่าสนุกปากปนความจริงว่า ในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานของไทยสามารถหายาบ้าได้ในราคาเม็ดละหนึ่งบาท หรือคำติดปากฝรั่งว่าประเทศไทยเป็นเมืองคนบาป (Sin City) และเรื่องเล่าอีกมากเกี่ยวกับยาเสพติดในประเทศไทย และถ้าจะบอกว่าทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ ‘สามเหลี่ยมทองคำ (Golden Triangle)’ คงไม่ผิดนัก
สามเหลี่ยมทองคำคือพื้นที่บริเวณจังหวัดตอนเหนือของไทยที่มีอาณาเขตติดกับรัฐชานของเมียนมา และทางตะวันออกของลาว โดยมันเป็นศูนย์กลางการผลิตยาเสพติดชนิดแอมเฟตามีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ควบคู่ไปกับการผลิตเฮโรอีนในพื้นที่พระจันทร์เสี้ยวของภูมิภาคตะวันออกกลาง และโคเคน ในเม็กซิโกและโคลอมเบีย
แล้วภูมิภาคนี้ผลิตยาเสพติดมหาศาลขนาดไหน?
ASEAN Drug Monitoring Report 2019 รานงานว่าปี 2019 ไทยมีการลักลอบขนยาเสพติดอย่างน้อย 197,231 กรณี โดยเป็นเฮโรอีน 723 กิโลกรัม, ยาอี 261,188 เม็ด, โคเคน 42 กิโลกรัม, ยาไอซ์ 17,619 กิโลกรัม และยาบ้ามากถึง 395.5 ล้านเม็ด
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/06/Screen-Shot-2564-06-16-at-12.57.32.png)
ASEAN Drug Monitoring Report 2019
ในบทความของ กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงาน UN ประจำประเทศไทย ชี้ว่าในปี 2019 มีรายงานการยึดแอมเฟตามีนในภูมิภาคอาเซียนรวมกับเอเชียตะวันออกมากถึง 140 ตัน ประมาณการเป็นกำไรแก่กลุ่มค้ายาเสพติดอย่างน้อย 71,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.2 ล้านล้านบาท) ขณะที่เฉพาะแอมเฟตามีนอาจมากถึง 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.9 ล้านล้านบาท) โดยส่วนใหญ่ถูกผลิตขึ้นในรัฐฉานของเมียนมา
ขณะที่ในรายงานของ UNODC ปี 2019 ก็ชี้ว่า การเพิ่มขึ้นของยาเสพติดในภูมิภาคอาเซียนรวมกับเอเชียตะวันออกเพิ่มขึ้นชนิดปีต่อปี จนทำให้ราคาของยาเสพติดถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยในปี 2011 ราคาท้องตลาดของ methamphetamine หรือยาไอซ์ของไทยอยู่ที่ราว 11 ดอลลาร์ ขณะที่ในปี 2019 อยู่ระหว่าง 2-3 ดอลลาร์เท่านั้น สะท้อนปริมาณยาเสพติดที่เพิ่มมากขึ้นในตลาด และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
แสงและเงา ความจนและยาเสพติด
องค์กรสหประชาชาติยืนยันข้อมูลผลการวิจัยในปี 2008 ซึ่งเกิดวิกฤตซัพไพส์ หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอไปทั่วโลกว่ามีความสัมพันธ์กับการใช้ยาเสพติดที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากประเทศประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้คนตกงาน และภาครัฐมีเงินทุนในการต่อสู้กับยาเสพติดน้อยลง
เช่นเดียวกับในงานวิจัยของ Olga Khazan ที่ทำร่วมกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหัรฐฯ (National Bureau Economic Research) ที่พบข้อสรุปว่า อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากสารสกัดจากฝิ่นเพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซ็นต์ และมีจำนวนผู้ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินจากอาการโอเวอร์โดสเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์
และถ้างานวิจัยทั้งสองชิ้นนี้ทำนายความจริงได้ ประเทศไทยที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ Perfect Storm อาจกำลังเผชิญภาวะที่คนหันหน้าเข้าหายาเสพติด และธุรกิจมืดมากขึ้น
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/06/Screen-Shot-2564-06-16-at-12.08.14.png)
กองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สภาพัฒน์
จากรายงานของกองยุทธศาสตร์และการวางแผนมหภาคของสภาพัฒน์ ในปี 2562 เศรษฐกิจไทยหดตัวร้อยละ 2.4 ขณะที่ในปี 2563 และ 2564 มีการคาดการณ์ว่าจะหดตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 และ 3.5-4.5 ตามลำดับ
ขณะที่รายงาน ‘ผลกระทบโควิด 19 ต่อตลาดแรงงานไทย’ ในเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 คนไทยเกือบ 6 ล้านคนกำลังว่างงานหรือเสมือนว่างงาน (ทำงานน้อยกว่า 4 ชั่วโมง/ วัน)
ใกล้เคียงกับข้อมูลที่ ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ แถลงเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมว่า ในไตรมาสแรกของปี 2564 มีแรงงานเกือบ 7 ล้านคนกำลังเผชิญภาวะว่างงานหรือเสมือนว่างงาน โดยคิดเป็นแรงงานไทยที่ประสบภาวะว่างงานราว 7.6 แสนคน ขณะที่นักศึกษาจบใหม่อีก 4.9 แสนคนกำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มเติม
หากนำตัวเลขการถดถอยทางเศรษฐกิจมามองคู่กับงานวิจัยของ Olga อาจทำนายได้ว่ายุคหลัง COVID-19 สังคมไทยกำลังเผชิญปัญหายาเสพติดขนาดใหญ่ ทั้งจำนวนผู้เสพ ผู้ค้ารายย่อย และผู้ที่ยอมเดินเข้าสู่ธุรกิจสีดำ เพราะอับจนหนทางจากความจนที่เพิ่มมากขึ้น
นโยบายยาเสพติดยุค Post Covid-19
น่าจะเป็นคำถามที่ดีว่า ในยุคหลัง COVID-19 สิ้นสุด เราจะรับมือกับยาเสพติดอย่างไรต่อไป เพราะถ้าไม่ทำอะไรกับโครงสร้างที่เป็นอยู่ จำนวนนักโทษคดียาเสพติดอาจเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
อันที่จริง ภาครัฐไทยก็เริ่มยอมรับแล้วว่านโยบายสงครามยาเสพติดแบบริชาร์ด นิกสันมันไม่เวิร์ค และเริ่มหันมาใช้โมเดลแบบโปรตุเกส หรือเนเธอร์แลนด์ที่พยายามเปลี่ยนท่อนเหล็กเป็นไม้นวม ควบคุมและมองว่าผู้ติดยาเสพติดเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่ผู้ร้ายที่ต้องกำจัดและพาตัวมาคุมขังแปลกแยกจากสังคม อย่างที่เห็นล่าสุดคือ การอนุญาตให้หันมาใช้กัญชาในเชิงการแพทย์ รวมถึงความพยายามปรับบทลงโทษทางอาญา (Decriminalize) สำหรับผู้เสพพืชกระท่อม ซึ่งถือว่าเป็นการปักธงที่ชัดเจนว่านโยบายยาเสพติดในภายภาคหน้าของไทยจะเป็นอย่างไร
แต่ยาเสพติดเปรียบดั่งวัชพืช ยิ่งถอนยิ่งขึ้น ยิ่งเกลียดกลัวยิ่งใกล้ตัว ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุให้ลอง ที่จะพูดก็คือมันเป็นไปได้ยากมากที่จะกำจัดยาเสพติดให้หมดไปโดยสิ้นเชิง
ทุกวันนี้ ในเฟซบุ๊กเต็มไปด้วยกลุ่มเกี่ยวกับยาเสพติด อาทิ กรุ๊ปยาเสพติดหลอนประสาทชนิด DMT, กรุ๊ปเห็ดเมา หรือกรุ๊ปยาเสพติดชนิด Psychadelic อื่นๆ รวมถึงยังมียาเสพติด (Drug) ชนิดอื่นๆ ที่เหลื่อมกับคำว่ายา (Medicine) อยู่มาก เช่น ยาแก้ไอ ที่ถูกใส่ลงในน้ำผสมสี่คูณร้อย ซึ่งล้วนเป็นยาเสพติดชนิดที่ตรวจไม่พบในปัสสาวะ
โทษของยาเสพติดมีแน่นอนและมีมากด้วย แต่การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน อาจต้องเริ่มจากการปรับมุมมองต่อมันเสียใหม่ ไม่ใช่ทำสงครามกำจัดให้สิ้นซาก แต่คือการเรียนรู้ ควบคุม และตามให้ทันขบวนค้ายา
เรากำลังพูดถึงการยกเครื่อง โล๊ะความเข้าใจเกี่ยวกับยาเสพติดเสียใหม่ ไม่ใช่การตั้งแง่ติดในมายาคติว่าคนเสพยาแล้วจะถือมีดจี้คอลูกเมียอย่างเดียว แต่คือการให้ความรู้ถึงผลกระทบทั้งด้านบวกและลบของยาเสพติด ตลอดไปจนควบคุมการผลิต จำหน่าย และอนุญาตซื้อขายโดยภาครัฐ
ความคิดดังกล่าวอาจดูก้าวหน้ากว่าความเป็นไปของสังคมไทยในปัจจุบันอยู่มาก แต่ก้าวหน้าไม่ใช่แปลว่าเป็นไปไม่ได้ หากเราค่อยๆ ปรับเลนส์และจูนกันเสียใหม่ถึงปัญหายาเสพติด เราอาจจะหาทางออกที่มีประสิทธิภาพกว่าและลดจำนวนผู้ต้องขังที่สูญเสียอนาคตเพราะยาเสพติดจำนวนเล็กน้อยในมือได้
แต่จะว่าไป ไทยเราก็มีพ่อค้าเฮโรอีนนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรฯ อยู่เหมือนกัน ดังนั้น จะว่าสังคมประเทศเราไม่ก้าวหน้าอาจไม่ถูกทั้งหมด ..
อ้างอิง:
unodc (2019)
thediplomat