หลายคนคงได้ติดตามภาพประวัติศาสตร์ การจับมือและร่วมประชุมของ ‘คิม-ทรัมป์’ คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือและโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่กว่าจะมาเป็นวันนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับไม่ได้ราบรื่น โรยด้วยกลีบกุหลาบ เป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกัน แต่เหมือนกับพล็อตนิยาย หนังเกาหลี ที่พระเอก-นางเอก เป็นคู่กัด บาดหมาง มีเรื่องราวให้ไม่ชอบหน้ากันมาก่อน
The MATTER จึงขอสรุปไทม์ไลน์ความสัมพันธ์รักๆ ร้ายๆ ของคิม และทรัมป์ ที่กว่าทั้งคู่จะหากันจนเจอในการประชุมนั้น มีเรื่องราวอะไรให้บาดหมาง และเส้นทางมีตแอนด์กรี๊ดนั้นเป็นไปมาอย่างไร
มกราคม 2017
ความสัมพันธ์ของทรัมป์ และคิม เปิดฉากเริ่มต้นขึ้นก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เสียอีก โดยหลังจากที่คิมได้ประกาศว่าเกาหลีเหนือกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบขีปนาวุธที่ยิงไปไกลถึงสหรัฐฯทรัมป์ก็ได้ออกโรงทวีตว่า จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
กุมภาพันธ์ 2017
ในเดือนกุมภาพันธ์ เกาหลีเหนือก็เริ่มทดสอบขีปนาวุธ ยิงลงทะเลจีนใต้ ใกล้ญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2017 และถือเป็นการประเดิมตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งไม่ถึงเดือน
กรกฎาคม 2017
หลังการทดสอบครั้งแรก เกาหลีเหนือก็ทดสอบยิงขีปนาวุธอีกบ่อยครั้ง ติดกันทุกๆ เดือน จนในเดือนกรกฎาคม ทรัมป์ก็ออกมาทวีตถึงเกาหลีเหนืออีกครั้งว่า “เกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งแล้ว ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ในชีวิตทำหรอ ?”
ในปลายเดือน ทางฝั่งเกาหลีเหนือเองก็ไม่ยอมให้ใครมาข่มท่านผู้นำ ได้เตือนสหรัฐฯ กลับไปว่า ถ้าต้องการกำจัดผู้นำของเรา เราจะยิงมิสไซล์ที่ทรงพลัง แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปยังใจกลางของสหรัฐฯ
สิงหาคม 2017
หลังเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธบ่อยครั้ง และยิงข้ามทวีปถึง 2 ครั้ง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN) ได้มีมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือครั้งใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น โดยจำกัดการส่งออกและการลงทุนอย่างเข้มงวด
ซึ่งทางด้านเกาหลีเหนือ ก็ไม่ยอม ขู่สหรัฐฯ กลับว่าสหรัฐฯ ต้องชดใช้ 1,000 เท่า สำหรับสิ่งที่ทำต่อประเทศ และคนในประเทศของเรา
ทางด้านโดนัลด์ ทรัมป์ก็ไม่ยอมให้เกาหลีเหนือขู่อยู่ฝ่ายเดียว ก็ได้ตอบกลับไปว่า ถ้าคิมยังไม่หยุดขู่สหรัฐฯ อีกจะเจอกับ ‘ไฟและความเกรี้ยวกราด’ (Fire and Fury) แบบที่โลกไม่เคยเจอมาก่อนเลยด้วย
กันยายน 2017
เดือนนี้ เรียกได้ว่าเป็นเดือนเดือดของความสัมพันธ์ทั้งคู่ ที่มีการโต้ตอบกันออกมาถี่ๆ และร้อนแรง โดยเริ่มจากเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือ ประจำสหประชาชาติ รายงานว่าการคว่ำบาตรครั้งล่าสุดนั้น ผิดกฎหมาย ทั้งยังเตือนว่าสหรัฐฯ จะต้องเจอกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
แต่ถึงแม้จะทะเลาะกับฝั่งเกาหลีเหนือ แต่ทรัมป์ก็มีสัมพันธ์อันดีกับเกาหลีใต้ และได้พบปะกับ มุน แจอิน ปธน.ฝั่งใต้ ซึ่งหลังจากนั้น ทรัมป์ก็ได้มาทวีตเรียกคิม ว่า ‘มนุษย์จรวด’ (Rocket man) และในวันต่อมา ยังกล่าวสุนทรพจน์กับสมัชชาสหประชาชาติว่าจะทำลายเกาหลีเหนือ และสิ่งที่คิมทำคือภารกิจฆ่าตัวตายด้วย
เกาหลีเหนือก็ไม่ยอม ตอบโต้กลับว่าสุนทรพจน์ของทรัมป์เป็นเหมือน ‘เสียงสุนัขเห่า’ (Barking dog) โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของเกาหลีเหนือบอกกับสำนักข่าวว่า “มันก็เป็นเหมือนความฝันของสุนัข ถ้าเขาตั้งใจจะทำให้พวกเรากลัวด้วยเสียงเห่า”
หลังจากนั้น ทรัมป์ก็ออกมาทวีตถึงคิมว่า เป็น ‘คนบ้า’ (Mad man) ที่ไม่สนใจว่าประชาชนจะหิวโหย หรือถูกฆ่าตาย ซึ่งคิมก็ไม่ยอม ออกมาเรียกทรัมป์กลับว่าเป็น ‘คนปัญญาอ่อน ไม่อยู่กับร่องกับรอย’ (mentally deranged U.S. dotard)
พฤศจิกายน 2017
ในเดือนนี้ ก็ยังคงเกิดสงครามน้ำลายย่อยของทั้งคู่ ที่ยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือพาดพิงทรัมป์อีกว่าเป็น ‘คนแก่เลอะเลือน’ (Old lunatic) ซึ่งทรัมป์ก็ออกมาโต้กลับว่า “คิม มาเรียกผมว่าแก่ทำไม ในเมื่อผมเองยังไม่เคยเรียกคิมว่า ‘อ้วนและเตี้ย’ เลย”
มกราคม 2018
เริ่มปีใหม่มา คิมก็เริ่มเปิดฉากทะเลาะอีก เมื่อวันที่ 2 มกราคม ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ปีใหม่ คิม กล่าวถึงสหรัฐฯ ว่า “อเมริกาจะไม่สามารถเริ่มต้นสงครามกับเกาหลีเหนือได้ ในขณะนี้ที่ประเทศของเขาพัฒนาความสามารถในการโจมตีแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดของสหรัฐฯ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งยังเสริมอีกว่า ‘ปุ่มกดนิวเคลียร์พร้อมอยู่บนโต๊ะของฉันเสมอ’”
แต่ก็ใช่ว่าทรัมป์จะหวาดกลัวคำขู่ เพราะทรัมป์ก็ได้ตอบกลับอย่างเร็วว่า ปุ่มกดนิวเคลียร์ของตนใหญ่ และทรงพลังกว่าของคิมมาก
มีนาคม 2018
แต่แล้ว สถานการณ์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ดูตึงเครียด ก็กลับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หลังเกาหลีเหนือ ส่งนักกีฬา และทีมงานเข้าร่วมโอลิมปิกฤดูหนาว ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ และคิม จองอึนในฐานะผู้นำเกาหลีเหนือ และมุน แจอิน ปธน. เกาหลีใต้มีแผนที่จะพบปะ เจรจา และอาจยุติสงครามกัน ทั้งคิม ยังได้สนใจที่จะเข้าพบทรัมป์ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งทรัมป์เองก็ได้ทวีตตอบรับว่าการที่คิม เจรจายุติการทดสอบนิวเคลียร์เป็นการพัฒนาที่ดี และจะวางแผนที่จะเจอกับคิมต่อไปด้วย
เมษายน 2018
จะได้เจอกันแล้ว ในเดือนมิถุนายน ก็ต้องชื่นชมกันหน่อย ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า การเจรจากับคิม จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และคิดว่าจะเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งยังชมว่าคิมเป็นคนเปิดกว้าง และเป็นคนที่มีเกียรติ
24 พฤษภาคม 2018
ก่อนหน้านี้ ทั้งทรัมป์ และคิม ต่างก็ออกมาขู่จะยกเลิกการเจรจาบ่อยครั้ง เพราะความไม่พอใจกันและกัน แต่อยู่ๆ การประชุมที่หลายคนรอคอย กับถูกยกเลิกจริง ไม่ใช่การขู่ เมื่อทรัมป์ออกแถลงการณ์ขอยกเลิกการนัดหมาย โดยระบุว่าไม่พอใจที่คิม แสดงท่าที ‘โมโหโกรธาสุดๆ และไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย’ (tremendous anger and open hostility)
แต่ถึงทรัมป์จะยกเลิก แต่คิมเองกลับยังคงแสดงท่าทีว่าอยากให้การเจรจาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพบกับ มุน แจอินเป็นครั้งที่ 2 เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดประชุม และมุน ก็ยืนยันว่าจะขอเข้าร่วมด้วย เท่านั้นยังไม่พอยังมีการส่ง คิม ยองชอล รองประธานคณะกรรมการกลางพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ และที่ปรึกษาของคิม ไปเยือนสหรัฐฯ เข้าพบทรัมป์ และฝากจดหมายของคิม จากเกาหลีเหนือมาให้ทรัมป์ด้วย
1 มิถุนายน 2018
ซึ่งหลังจาก คิม ยองชอล ได้เข้าพบและฝากจดหมายไปให้ทรัมป์ก็เปลี่ยนใจจริงๆ ยอมจัดการเจรจาการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์อีกครั้ง !
12 มิถุนายน 2018
และแล้ว งานจับมือของคิมและทรัมป์ ก็เกิดขึ้น โดยในการเจรจาทั้งคู่ได้มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ประชุมวงใหญ่พูดคุยกับตัวแทน 5 คน และได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกัน โดยมีเนื้อหาว่า สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ จะฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน, ร่วมกันสร้างระบบการปกครองที่มั่นคงและยั่งยืนในคาบสมุทรเกาหลี, แลกเปลี่ยนนักโทษการเมืองระหว่างกัน และเกาหลีเหนือยืนยันว่าจะปฏิบัติตาม ‘แถลงการณ์ปันมุนจอม’ ที่ทำไว้กับเกาหลีใต้ ในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ และจบการประชุมด้วยการจับมือกันไปทั้งหมด 4 ครั้ง
ถึงแม้จะมีนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การประชุมนี้ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าไปกว่าการเจรจาของคิมกับมุน เมื่อ 2 เดือนก่อน แต่ทรัมป์และคิมก็ยืนยันว่า นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี โดยคิม กล่าวว่านี่เป็นบทโหมโรงไปสู่สันติภาพที่แท้จริง และด้านทรัมป์เองก็บอกว่า พร้อมจะเชิญคิมไปยังทำเนียบขาวด้วย ซึ่งเกาหลีเหนือก็มาคอนเฟิร์ม ตอบรับคำเชิญแล้ว
ดูท่าว่า ความสัมพันธ์ของทั่งคู่ จากที่เคยเหน็บแนม ทะเลาะเบาะแว้ง จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ต่อจากนี้ น่าติดตามว่า สันติภาพที่ทั้งคู่บอกว่าจะเกิดขึ้น จะเป็นอย่างไร และความสันพันธ์นี้จะก้าวหน้าไปถึงระดับไหน เราคงต้องติดตามผู้นำทั้งสองต่อไป
อ้างอิงจาก
https://globalnews.ca/