การลงนามคำสั่งต่างๆ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กำลังพาอเมริกาไปสู่ ‘ยุคทอง’ – นี่คือสิ่งที่ทำเนียบขาวภายใต้ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ พยายามจะสื่อสาร
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง คำสั่งหรือนโยบายนับไม่ถ้วนของรัฐบาลทรัมป์ได้ส่งผลต่อทั้งการเมืองสหรัฐฯ และการเมืองโลกเป็นวงกว้าง รวมทั้งเป็นที่จับตาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกำแพงภาษี ตั้งกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) ที่นำโดย อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เลย์ออฟเจ้าหน้าที่รัฐในหลากหลายหน่วยงาน พยายามจะปิด USAID สั่งปิดสำนักข่าว Voice of America (VOA) และล่าสุดคือ การลงนามคำสั่งเดินหน้าแผนยุบกระทรวงศึกษาธิการ
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้คนอย่าง ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ หม่อมปลื้ม อดีตพิธีกรรายการ The Daily Dose ทางช่องวอยซ์ทีวี ซึ่งปัจจุบันผันตัวเป็นนักวิเคราะห์การเมืองอิสระ ผู้เคยประกาศตัวว่าเป็น ‘คนที่จะมาอธิบายแทนทรัมป์’ ในช่วงก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา กลับต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทรัมป์อย่างทุกวันนี้
“ที่ผมเคยพูดดีๆ เกี่ยวกับทรัมป์ ผมรู้สึกว่าไม่น่าเลย” เขาว่า “รอบนี้ ผมรู้สึกว่า ผมมีส่วนร่วมที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะก่อนเลือกตั้ง ผมยังมีหน้าที่เป็นคนอธิบายแทนทรัมป์ (Trump explainer) ให้กับคนไทย
“พอผมอธิบายไปเสร็จสรรพ เลือกตั้งเสร็จ ทรัมป์ชนะ ก็ดูเหมือนว่าหมดหน้าที่แล้ว … แต่จู่ๆ พอทรัมป์เข้ามาดํารงตําแหน่ง ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา มันเป็นความปั่นป่วน ความโกลาหล ในแบบที่ไม่มีใครเขารับได้ เขาทําในสิ่งที่ไม่ใช่นโยบายซึ่งเขาหาเสียงไว้ แต่ทําเกินเลยหลุดโลกไปเลย”
อเมริกากำลังเดินหน้าไปสู่ ‘ยุคทอง’ แบบไหน? The MATTER พูดคุยกับ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
จากเรื่องราวทั้งหมด ยังนิยามตนเองว่าเป็นรีพับลิกัน (Republican) อยู่ไหม
ผมไม่เคยเป็นรีพับลิกันจริงๆ และไม่ได้เคยเป็นเดโมแครตจริงๆ เอาตามข้อเท็จจริง ผมไม่เคยใช้สิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ แต่ผมพยายามที่จะให้ข้อมูลแนวขวางโลกอยู่เสมอ
เวลาคุณติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองของสหรัฐฯ มันจะกลายเป็นเหมือนกับว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในประเทศไหน พรรครีพับลิกันจะถูกมองว่า เป็นพรรคซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้าย นี่คือวิธีการรายงานข่าวของสื่อกระแสหลักโดยส่วนใหญ่ ที่ใส่สีกับค่านิยม ซึ่งเป็นค่านิยมอนุรักษนิยมของพรรครีพับลิกัน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่ไม่ต้องการให้พลเมืองต่างด้าวย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ นโยบายในอดีต ซึ่งอาจจะต่อต้านการแต่งงานของคนซึ่งเป็นเกย์ หรือการไม่ให้สิทธิของผู้หญิงในการทําแท้ง
แต่ถ้าคุณติดตามข่าวสารของสํานักข่าวทั่วไป ชุดค่านิยมนี้สะท้อนสิ่งที่เคยมีอยู่ในอดีต แต่ไม่ใช่สิ่งที่พลเมืองในยุคปัจจุบันต้องการ เพราะฉะนั้น ผมจะวิเคราะห์การเมืองให้ฟังแนวขวางโลกอยู่แล้ว ผมก็จะคล้ายๆ กับว่า สวมหมวกของคนซึ่งอาจจะนิยมรีพับลิกันหรือพรรคฝ่ายขวาในยุโรป และพยายามอธิบายว่า เอ๊ะ ทําไมพลเมืองในสหรัฐฯ หรือพลเมืองในยุโรป ต้องการพรรคฝ่ายขวา เพื่อเป็นการถ่ายทอดข้อมูลมาให้คนไทยได้เข้าใจ
แต่เอาจริงๆ ถ้าคุณถามถึงค่านิยมในตัวตนของผมส่วนบุคคล หลายกรณีตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมพยายามที่จะแสดงออกไป แต่ว่าผมเป็นนักแสดง (performer) ไง ผมเป็น news entertainer คือผมเอาข่าวคราวมาเป็นส่วนผสมในการแสดง (perform) ผมจะสวมวิญญาณของสิ่งที่ผมพูดอยู่ ณ เวลานั้น มันคืออารมณ์จริง แต่มันเป็นอารมณ์ซึ่งสวมบทบาท
บางทีผมมีอารมณ์ขวางโลก กวนประสาทแบบนี้แหละ ในการนําเสนอข่าว เอาจริงๆ ถ้าผมได้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ ผมก็คงเลือกคนอย่าง บารัก โอบามา (Barack Obama) แหละ
เพราะฉะนั้น บางทีมันเป็นการแสดง (performance) เมื่อรีพับลิกันถูกมองว่าเป็นฝ่ายอธรรมอยู่ตลอดเวลา ผมก็ต้องพยายามนําประเด็นมาอธิบายให้คนไทยเข้าใจว่า ทําไมคนอเมริกันอาจจะชอบเลือกรีพับลิกัน แต่มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผม ตัวตนที่แท้จริงของผมพัฒนาอยู่ตลอดเวลา มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวี่ทุกวัน

โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์ ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 (Brendan Smialowski/AFP)
แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่าจะหันมาวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาของรัฐบาลทรัมป์แทน
บังเอิญรอบนี้ ผมรู้สึกว่า ผมมีส่วนร่วมที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะก่อนเลือกตั้ง ผมยังมีหน้าที่เป็นคนอธิบายแทนทรัมป์ (Trump explainer) ให้กับคนไทย ผมก็สวมบทบาทด้วยการอาสา เวลาผมให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆ อธิบายให้คนไทยเข้าใจว่า ทําไมคนอเมริกันอยากเลือกทรัมป์ในรอบนี้
พอผมอธิบายไปเสร็จสรรพ เลือกตั้งเสร็จ ทรัมป์ชนะ ก็ดูเหมือนว่าหมดหน้าที่แล้ว มันหมดหน้าที่ ถ้าเกิดทรัมป์ทําเฉพาะในประเด็นซึ่งหาเสียงไว้ และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ตามที่ตนเองสัญญา แก้ไขปัญหาผู้อพยพ (immigration) ได้ในระดับที่มีความพอดีตามที่ตนเองสัญญา และทําไปแต่ละเรื่องซึ่งมีความสร้างสรรค์ เช่น ยุติสงครามยูเครนได้สําเร็จ
แต่จู่ๆ พอทรัมป์เข้ามาดํารงตําแหน่ง ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา มันเป็นความปั่นป่วน ความโกลาหล ในแบบที่ไม่มีใครเขารับได้ เขาทําในสิ่งที่ไม่ใช่นโยบายซึ่งเขาหาเสียงไว้ แต่ทําเกินเลยหลุดโลกไปเลย โดยที่ไม่ได้เป็นสิ่งที่คนอเมริกัน แม้กระทั่งคนที่เลือกเขา ต้องการ และไม่ได้เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกนั้นต้องการด้วย
ในมุมหนึ่ง มันเหมือนกับว่า การเลือกตั้งในหลายประเทศรวมทั้งในสหรัฐฯ เป็นเรื่องซึ่งบ่อยครั้งไม่ได้มีความหมายอะไรมาก เพราะนโยบายไม่ได้สวิงมาก นักการเมืองจะไม่ทำป่วนเละเทะจนความนิยมที่ตนเองได้รับตกฮวบ แต่ในกรณีนี้ ความที่ทรัมป์หลุดโลกและเพี้ยนไปจริงๆ ผลการเลือกตั้งเลยทําให้ทุกอย่างพัง
มีประเด็นอะไรบ้างที่มองว่าทรัมป์ทำเกินนโยบายหาเสียง
ยกตัวอย่าง ทรัมป์มีอาณัติ (mandate) ซึ่งจะเข้ามาสกัดไม่ให้จีนมาเป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ ทางด้านการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ คอมพิวเตอร์ชิป และการค้าขาย ทรัมป์ต้องใช้ทุกวิถีทางที่มีในการสกัดจีนและแข่งขันกับจีน เพราะฉะนั้น ถ้าทรัมป์มีภาษีนําเข้า (tariffs) ซึ่งจะเอาไว้ใช้ลงโทษจีน คนอเมริกันสนับสนุนอย่างแน่นอน เพราะคนอเมริกัน รวมทั้งคนทั่วโลก เข้าใจว่าจีนคือคู่แข่งประเทศใหม่ของสหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวซึ่งแข่งกับสหรัฐฯ ได้จริงๆ ในระยะยาว
แต่จู่ๆ ทรัมป์เข้ามา แล้วก็ชกประเทศอื่นหมดเลย ซึ่งเป็นพันธมิตร ที่ร่วมรบ ร่วมตาย เสียสละร่วมกันมา ทรัมป์หันไปขึ้นภาษีกับแคนาดา สหภาพยุโรป แม้กระทั่งอังกฤษ เม็กซิโก ทุกประเทศโดนเล่นกันหมด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทําอะไรเลยกับสหรัฐฯ ซึ่งไม่เคยเป็นนโยบายในการหาเสียง และไม่มีใครเรียกร้อง ภาคธุรกิจในสหรัฐฯ ไม่ได้เรียกร้องสิ่งนี้เลย
มันเป็นอุดมการณ์ชุดเดิมที่ทรัมป์มี โดยเชื่อว่า มันจะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ผมคิดว่ามันเป็นตัณหาทางอุดมการณ์ ด้วยความเชื่อผิดๆ ของตัวเองที่ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ว่า จะนำภาษีนําเข้ามาขึ้นกับประเทศที่เป็นมิตรประเทศ ที่ค้าขายกันอย่างเสรี มีข้อตกลงการค้าเสรีด้วยกัน เพื่อให้จู่ๆ โรงงานกลับมาเปิดในสหรัฐฯ หมดเลย โรงงานผลิตปุ๋ย โรงงานผลิตรถยนต์ โรงงานถลุงเหล็ก

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอ Tesla และ SpaceX ชูมือระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 (Angela Weiss/AFP)
กรณีของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มีบทบาทอะไรอยู่ในรัฐบาลตอนนี้ และบทบาทนี้ส่งผลอย่างไรบ้าง
เรื่องซึ่งไม่มีใครเขารับได้ก็คือ ไม่มีใครเขาเลือก อีลอน มัสก์ การที่ อีลอน มัสก์ บริจาคเงินระดับ 270 ล้านดอลลาร์ โดยที่เป็นการให้โดยตรง และสามารถเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ และยังเข้าไปทํางานในหน่วยงานของรัฐได้ โดยที่ไม่ต้องได้รับการรับรองโดยสมาชิกวุฒิสภา เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น
สื่อในสหรัฐฯ ทั้งหมดทุกสํานักก็รายงานตรงกัน ก็คือประมาณ 270 ล้านดอลลาร์ คุณต้องเข้าใจ 270 ล้านดอลลาร์ มันมหาศาล และเขาให้โดยตรงเพื่อให้ทรัมป์ใช้ในการหาเสียงได้ ซึ่งมันคือการซื้อตัวประธานาธิบดีเลย ซื้อการเข้าถึง (access) ในแบบที่คนอื่นก็ทํา บริษัทต่างๆ ก็บริจาค 1-2 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่มีนะ คนเดียวให้เลยเกือบ 300 ล้านดอลลาร์
เพราะฉะนั้น มันเป็นความสัมพันธ์แบบยื่นหมูยื่นแมว (transactional) อย่างชัดเจนมาก พูดง่ายๆ อีลอน มัสก์ ต้องการบทบาทในการเข้าไปตรวจสอบดูหน่วยงานของรัฐต่างๆ และต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินด้วยว่าหน่วยงานรัฐหน่วยงานไหนจะมีหรือไม่มี
ที่วันนี้ที่ผมพูดประเด็นนี้อีกรอบ เพราะคนเขาเลือกทรัมป์ให้เป็นประธานาธิบดี แปลว่าเป็นคนที่ใหญ่ที่สุด ไม่ใช่ให้ฟัง อีลอน มัสก์ นําเสนอในการไล่คนออกจากหน่วยงานทุกหน่วยงาน วันละเป็นหมื่นๆ คน จนต้องไปร้องศาลกันหมด เขาเลือกให้ไปลดงบประมาณที่ไม่จําเป็น ซึ่งควรทํา และมีวิธีการทํา แต่ไม่ใช่วิธีการที่มัสก์ทําอยู่
เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งไม่มีที่ไหนเขาทํากัน ทุกประเทศในโลก นายทุนของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองจะอยู่เบื้องหลัง และไม่ไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับคนซึ่งใช้สิทธิ
ทุกคนยินดีที่จะเข้าใจว่า นักการเมืองต้องใช้เงิน ผมก็เข้าใจ แต่ไม่ใช่ว่า คนซึ่งให้เงินนักการเมืองมากกว่าคนอื่น 10 เท่า จะเข้าไปเดินเพ่นพ่านในทําเนียบขาวได้ตลอดเวลา มันหยามเกียรติยศของประธานาธิบดีมากเกินไป คุณอาจจะคุมประธานาธิบดีได้ แต่คุณไม่ต้องไปโชว์ว่าคุณคุมได้ แต่นี่ประธานาธิบดียินยอมพร้อมใจให้คนเห็นว่าคุมได้ด้วย

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
นำมาสู่ประเด็นเรื่องการตัดงบ และการเลย์ออฟเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งดูจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับรัฐบาลชุดนี้?
มันมีแนวความคิดที่เป็นจิตวิญญาณคนอเมริกันอยู่แล้วว่า จะต้องประหยัดภาษีประชาชน ประเด็นก็คือว่า คุณเห็นหน่วยงานซึ่งโดนตัดเป็นองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (United States Agency for International Development หรือ USAID) ที่เป็นซอฟท์พาวเวอร์อเมริกัน ที่ทําให้ทั่วโลกนั้นศรัทธา เป็นงานดีๆ ที่อเมริกาทําแล้วไม่ได้ใช้งบประมาณมากสักเท่าไหร่ ประมาณ 0.6% ของงบประมาณโดยรวม แค่ประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่เยอะสําหรับสหรัฐฯ
และคุณไล่ทหารผ่านศึกออกจากกระทรวงการทหารผ่านศึกสหรัฐฯ (United States Department of Veterans Affairs หรือ VA) คุณลดเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการลงครึ่งหนึ่ง พวกที่โดนไล่ออกต้องไปร้องเรียนกับศาล บางคนได้กลับมาทํางาน บางคนก็ไม่ได้ คุณตัดเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร (Internal Revenue Service หรือ IRS) เยอะมาก ในแบบที่เขายังงงกันอยู่ว่าจะเก็บภาษีกันได้ทันอย่างไร
ประเด็นก็คือว่า การจะยุบวิทยุเสียงอเมริกา (Voice of America หรือ VOA) เรดิโอฟรีเอเชีย (Radio Free Asia) เรดิโอฟรียุโรป (Radio Free Europe) มันเป็นวาระที่ทําลายสิ่งดีๆ ที่อเมริกามี
ด้านดีของสหรัฐฯ คืองานการกุศล งานซอฟต์พาวเวอร์
งานเอาเงินไปช่วยเอ็นจีโอ (NGO) ในประเทศอื่น รวมทั้งในไทย ที่ไม่ได้เงินจากประเทศของตนเอง นี่ไม่ใช่การแทรกแซงทางการเมือง USAID คืองานการกุศล ช่วยค่ายผู้ลี้ภัยคนเมียนมาในไทย ช่วยรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชนในยุโรปตะวันออก แจกวัคซีน จัดงบด้านสาธารณสุขในหลายประเทศยากจนในทวีปแอฟริกา
พอทรัมป์แสดงออกถึงความขี้เหนียวในโครงการต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นการประหยัดงบประมาณในจุดที่จริงๆ แล้วใช้เงินไม่มาก แทนที่คุณจะประหยัดงบประมาณด้านอื่นซึ่งเฉือนงบได้ ซึ่งอันนั้นควรทํา กระทรวงกลาโหมงบบานเยอะแยะมากมาย ตัดได้หลายเรื่อง ดันมาตัดในโครงการดีๆ ที่เป็นการเผยแพร่ประชาธิปไตยในรูปแบบที่ทําให้สหรัฐฯ นั้นเป็นที่ชื่นชมของเอ็นจีโอทั่วโลก

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชูคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ที่กำหนดแผนการยุบกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2025 (Roberto Schmidt/AFP)
จนถึงตอนนี้ มองการเมืองมหาอำนาจ ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อย่างไร
ที่มันสุดยอดคืออะไรรู้ไหม ไม่มีอะไรเลยเรื่องจีนเลยตอนนี้ เขาป่วนจนในที่สุดไม่ว่าเขาจะทําอะไรกับจีน มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประเด็นแล้ว เพราะเขาไปเริ่มสงครามการค้ากับประเทศอีกเกือบ 10 ประเทศที่ไม่ได้ทําอะไรกับเขา
ถ้าย้อนกลับไปสมัยแรก ทรัมป์เพิ่มภาษีนําเข้ากับจีน ถ้ารัฐบาลของทรัมป์เป็นรัฐบาลปกติแบบที่ผ่านมา มันจะเป็นคําถามนั้นคําถามเดียว มันจะไม่มีเมื่อกี้นี้เลย มันไม่ต้องมีประเด็นกรีนแลนด์ แคนาดา การละเมิดข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (United States-Mexico-Canada Agreement หรือ USMCA) ซึ่งทรัมป์เซ็นเอง การที่แทบจะปิด USAID เกือบจะยุบกระทรวงศึกษาธิการ
พูดตามตรง ต่อให้ทรัมป์ขึ้นภาษีนําเข้ากับจีน ตอนที่เขามารับตําแหน่ง แต่มันก็เป็นเรื่องซึ่งคนคาดการณ์ไว้แล้ว ถ้าคุณทําในสิ่งที่คนคาดการณ์ไว้แล้ว มันไม่ป่วน คนคาดการณ์ไว้ว่า ทรัมป์จะมีภาษีนําเข้ากับจีน จีนก็ คาดการณ์ไว้แล้ว และเตรียมการแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ส่งออกเขาก็ตั้งราคา (price in) เข้าไปในสินค้าเขาแล้ว และส่วนใหญ่เขาก็ประเมินว่า เขาก็ยังสามารถแข่งขันได้ ก็คือมันไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว
ฟังจากเมื่อสักครู่ ดูเหมือนว่า สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ทำส่งผลอย่างกว้างขวาง ภูมิทัศน์การเมืองและสังคมโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป
ผมคิดว่าปัญหาคือ มีเด็กรุ่นใหม่ซึ่งมีค่านิยม อยากจะลอกเลียนแบบสิ่งที่เขาเห็น และกลายเป็นว่าจะมีเด็กทั่วโลก รวมทั้งในไทยด้วย ที่มองว่าผู้นําสไตล์อย่างทรัมป์เท่ดี คือยังไม่ได้รู้พอที่ว่า พอคนอย่างนี้ขึ้นมาบริหารแล้ว จะสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก และทําให้หลายประเทศจะต้องมานั่งสะสมอาวุธ
จู่ๆ คุณจะมีโปแลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส ที่พร้อมมีขีปนาวุธ หัวรบนิวเคลียร์ มันมีข้ออ้างขึ้นมาโดยทันที ให้ประเทศโปแลนด์ เซอร์เบีย ฮังการี อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่นในอนาคต มันจะมีข้ออ้างขึ้นมาโดยทันทีเลยว่า เมื่อสหรัฐฯ เป็นประเทศซึ่งเป็นที่พึ่งไม่ได้ทางด้านความมั่นคง ประเทศเราจะต้องจัดสรรงบประมาณกระทรวงกลาโหมเยอะกว่าเดิม และต้องผลิตอาวุธนิวเคลียร์ด้วย คุณจะเห็นวาทกรรมแบบนี้จากทุกประเทศ รวมไปถึงอินเดีย ปากีสถาน เพราะฉะนั้น นี่คืออะไรซึ่งท็อกซิก (toxic) ที่สุด
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สหรัฐฯ เป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า มหาอํานาจหนึ่งเดียวในโลก (hegemonic power) ที่ยิ่งใหญ่ก็คือว่า สหรัฐฯ ให้ร่มเงาทางด้านความมั่นคง (security umbrella) หรือเขาเรียกว่า ผ้าห่มแห่งความมั่นคง (security blanket) สหรัฐฯ เป็นมหาอํานาจที่ผูกขาดการใช้กําลัง และมีอาวุธนิวเคลียร์เยอะกว่าประเทศอื่น มันเป็นประโยชน์โดยที่ว่า สหรัฐฯ มีหน้าที่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ไปรุกรานชาวบ้าน และเป็นที่พึ่งได้ ถ้าเกิดประเทศอื่นถูกรุกราน
ในเมื่อสหรัฐฯ ประกาศในยุคทรัมป์ว่า ไม่เล่นบทบาทนั้นแล้ว มันจะทําให้ประเทศอื่นหันกลับมา และอ้างว่า ฝ่ายความมั่นคงจะต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่ม

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
ปัญหาคือความท็อกซิกสร้างฝ่ายขวาที่มีความเป็นเหยี่ยวมากขึ้นในทุกประเทศทั่วโลกหมดเลย ฝ่ายความมั่นคง ทหาร กระทรวงกลาโหมของทุกประเทศ ก็จะมีสายเหยี่ยว ซึ่งหาเสียงทางการเมือง และเข้ามาบอกว่าเราพึ่งพาสหรัฐฯ ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น เดี๋ยวเราจะผลิตอาวุธเองเยอะๆ
คุณเริ่มเห็น เอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) ทําสิ่งนี้แล้ว คุณเริ่มเห็น ฟรีดริช แมร์ซ (Friedrich Merz) นายกรัฐมนตรีเยอรมันคนใหม่ทําสิ่งนี้แล้ว เขาอุตส่าห์ชนะสงครามโลกที่ 2 เพื่อให้ยุโรปไม่เป็นยุโรปแบบที่เคยเป็นในอดีต นี่คือพิษร้ายกาจที่สุดจากสิ่งที่ทรัมป์ทําในรอบนี้ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ผมว่ามันมีสองเรื่องนี้แหละ นอกเหนือไปจากประเด็นที่ว่า เยาวชนคนรุ่นใหม่จะกลายเป็นอนุรักษนิยมใหม่ และมองว่า นิสัยแบบนี้ดี โตมาจะได้เป็นนักการเมืองแบบนี้ในประเทศของเราบ้าง ความท็อกซิกอีกเรื่องที่ชัดเจนก็คือ การมองการให้ท้ายการใช้อํานาจรุกรานประเทศอื่นเป็นเรื่องที่ปกติ เพราะฉะนั้น ประเทศตนเองต้องสะสมอาวุธให้ทัน เผื่อจะโดนรุกรานเหมือนกัน
แสดงว่า ระเบียบโลกแบบเสรีนิยม (liberal international order) กำลังจะล่มสลาย?
คำว่า ระเบียบโลกแบบเสรีนิยมมันแปลได้หลายอย่างนะ ผมคิดว่า ความสัมพันธ์ข้ามมหาสุมทรแอตแลนติก (transatlantic relations) ที่มีอยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป พังชั่วคราวในยุคทรัมป์ ผมคิดว่า พอไม่ใช่ทรัมป์ ความสัมพันธ์จะกลับมาดี
สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจ อย่างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อย่างน้อยดีกว่ายุโรปเป็น อย่างที่ยุโรปเป็นในช่วงตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา ยุโรปเป็นแหล่งเพาะสงคราม (hotbed of war) ที่สหรัฐฯ เข้าใจว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น จะไม่มีผู้นำสหรัฐฯ คนไหนต้องการให้ยุโรปกลับมาสั่งสมอาวุธ
เมื่อประเทศในยุโรปเริ่มมีอุตสาหกรรม (industrial engine) สําหรับการผลิตรถถัง ผลิตเครื่องบิน เขามีประสิทธิภาพ และสิ่งนั้นหยุดไม่ได้ เมื่อเยอรมนี ฝรั่งเศส กลับมากระตือรือร้นในการสร้างอุตสาหกรรมทหาร (military industry) ขึ้นมาเหมือนกับสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มันเป็นความท็อกซิกใหม่ที่ต้องโทษทรัมป์เลย เพราะสหรัฐฯ มีไว้ก็เพื่อให้ยุโรปไม่เป็นอย่างที่เคยเป็น

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
มันท็อกซิกมากรอบนี้ ที่ผมเคยพูดดีๆ เกี่ยวกับทรัมป์ ผมรู้สึกว่าไม่น่าเลย
และพอยุโรปกลับมาเป็นใหญ่ และติดอาวุธ (militarize) ตนเอง มันไม่มีจบดี มันจะวนลูป กลับไปเหมือนศตวรรษที่ 20 ก็คือสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น ทรัมป์กำลังดื่มด่ำกับโมเมนต์ที่เป็นบ่อกําเนิดให้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใหม่อีกรอบ แต่โชคดีคุณและผมคงจะตายแล้ว ถึงเวลานั้น กว่ามันจะถึงจุดพีค มันไม่ใช่ปีนี้ มันอาจจะ 20 ปีก็ได้ คุณต้องมองเยอรมนีและฝรั่งเศสในอีก 20 ปี
จากการเมืองสหรัฐฯ สู่การเมืองไทย อะไรคือบทเรียนสำหรับประเทศไทย
มันเหมือนกับว่า มันมีความสุดขั้วไปในทางที่ไม่เหมือนกัน สหรัฐฯ เป็นประเทศซึ่งผมเรียกว่า เป็นเลือกตั้งนิยม ก็คือเลือกตั้งแทบจะทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นอัยการ ผู้พิพากษาในระดับมลรัฐก็มีการเลือกตั้ง บางมลรัฐมาจากการเลือกตั้ง หรือไม่ก็มาจากการแต่งตั้งโดยผู้ว่าการ เพราะฉะนั้น มันเป็นประเทศซึ่งการเมืองสูง ถึงเวลา ถ้ามาจากการเลือกตั้ง การถอดถอนก็จะเกิดขึ้นได้เฉพาะจากสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
ในกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาจากการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเช่นนี้ และมีเสียงข้างมากในสภาสูงและสภาล่าง การถอดถอนเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ทุจริต เพราะฉะนั้น สหรัฐฯ เป็นปัญหาในกรณีที่มีการเลือกตั้งที่สมบูรณ์ แต่พอได้ผู้นําที่ชั่วร้ายหรือทุจริต ไม่มีกลไกเอาออก ยกเว้นเสียว่าเป็นกลไกของสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
ของไทย มันเป็นปัญหาอีกด้านหนึ่ง มันเป็นกรณีที่ว่า พอมาจากการเลือกตั้งแล้ว สามารถถูกถอดถอนได้โดยง่าย โดยอีกอํานาจหนึ่ง ซึ่งมาในรูปแบบของทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง และรวมไปถึงการทํารัฐประหาร
เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ผ่านมาของเราก็คือว่า มีผู้แทนราษฎรซึ่งเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ มีที่ดีและไม่ดี ที่ทุจริตและไม่ทุจริต แต่พอถึงเวลาจะถูกโค่นลงจากตําแหน่ง สามารถถูกกําจัดได้โดยกลไกซึ่งไม่ได้ยากมากนัก และไม่ได้ขึ้นกับประชาชน ของไทยมันเป็นปัญหาตรงที่ว่า ในที่สุด พลเมืองไม่ได้ได้รัฐบาลที่ตนเองต้องการ พอได้ก็ได้ในรูปแบบที่คนคนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งแล้ว
ถามว่าได้บทเรียนอะไร ผมคิดว่า เรารู้สึกดีใจได้ว่า เรามีกลไก ยกตัวอย่างศาลปกครอง ที่เป็นที่พึ่งสําหรับพลเมืองชาวไทยซึ่งเป็นข้าราชการ ในกรณีที่ถูกไล่ออกจากตําแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม อันนี้รู้สึกดีได้ เราสามารถรู้สึกดีได้เหมือนกันว่า กลไกในการตรวจสอบการทุจริตคอรัปชันในประเทศไทยเข้มข้น
สิ่งนี้ผมต้องการแยกแยะให้เห็นนิดนึง การตรวจสอบการทุจริตในเมืองไทย ตรวจสอบได้ดีกว่า ไม่ใช่ด้อยกว่า แต่เมื่อการตรวจสอบการทุจริตสามารถทําได้อย่างเต็มที่แบบนั้น โดยที่เอาคนซึ่งชนะการเลือกตั้งออกจากตำแหน่งได้ ปัญหาคือว่า กลไกต่างๆ พวกนี้ก็สามารถถูกครอบงําและถูกครอบครองได้อยู่ดี โดยอีกอํานาจหนึ่ง ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาได้เหมือนกัน ที่ประเทศอื่นไม่มี
ทั้งหมดนี้ ในฐานะคนไทย เราควรจะรู้สึกอย่างไร
ทําไงได้ มันก็ได้แค่บ่น เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้มีกลไกในการเอาประธานาธิบดีออก ยกเว้นเสียว่า มีเสียงมากพอในสภาล่างและสภาสูง มันไม่มีกลไกอื่น ต่อให้มีการมอบสัญญาสัมปทาน (contract) เอื้อกับธุรกิจของ SpaceX หรือ Starlink ซึ่งก็มีการทุจริตเชิงนโยบายในลักษณะนั้นอยู่แล้ว แต่ว่ามันไม่มีกลไกที่จะเอา อีลอน มัสก์ และ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตําแหน่งเลย ต่อให้มีการทุจริต กลไกเดียวก็คือ impeachment ซึ่งเสียงก็ไม่พออยู่แล้ว เพราะรีพับลิกันก็เป็นสาวกทรัมป์ไปหมด
เอาจริงๆ แล้วบทเรียนคืออะไร ก็คือว่า อย่าเซ็งมากกับสิ่งที่คุณเห็น เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน มันจะมีเรื่องที่ให้คุณเซ็ง มันมีเรื่องซึ่งทําให้คุณบ่นอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณอยู่ในประเทศไหน
บทสรุปก็คือว่า สําหรับตัวผม ไม่รู้จะบ่นไปทําไม ผมเป็นคนซึ่งสามารถบ่นได้เกี่ยวกับการเมืองในทุกประเทศ มันมีเรื่องให้บ่น แต่บางทีมองย้อนกลับไป ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะบ่นไปทําไม เพราะว่าอะไรก็ตามที่มันเป็นอยู่ มันก็เป็นอย่างนี้ สหรัฐฯ มันก็เป็นอย่างนี้ บทสรุปก็คือ ต้องปลงนะ อยู่ที่ไหนมันก็เป็นอย่างนี้
เห็นว่าติดตามมวยปล้ำ การเมืองสหรัฐฯ เปรียบเทียบกับมวยปล้ำได้อย่างไรบ้าง
เมื่อก่อน ทรัมป์ทําเพื่อเอ็นเตอร์เทนคน มันคืออย่างนี้ เมื่อก่อนเวลาจัดเรียลลิตีโชว์ The Apprentice ทรัมป์เป็นบิ๊กบอสคอยดูว่าคนไหนทํางานได้ดี คนไหนทํางานได้ไม่ดีก็จะใช้อํานาจในฐานะผู้บริหารไล่ออก ทรัมป์ก็ดังมากับประโยคที่เขาบอกว่า “คุณโดนไล่ออกแล้วนะ” “You’re fired!”

โดนัลด์ ทรัมป์ ชูมือนักมวยปล้ำ บ็อบบี แลชลีย์ (Bobby Lashley) ในการแข่งขัน Wrestlemania ของ World Wrestling Entertainment (WWE) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2007 (Bill Pugliano/Getty Images North America/Getty Images via AFP)
ทรัมป์ก็เล่นบทบาทนั้นในสังคมเปรียบเสมือนเป็นตัวร้ายในวงการมวยปล้ำ ก็เหมือนกับเมื่อก่อน วินซ์ แม็กแมน (Vince McMahon) ผู้เป็นเจ้าของ World Wrestling Entertainment (WWE) แม็กแมนก็เล่นบทนั้นบนจอเหมือนกัน เป็นอภิมหาเศรษฐีผู้ทรงอำนาจ แล้วก็จะออกมาจะปล้ำกับ สโตน โคลด์ สตีฟ ออสติน (Stone Cold Steve Austin) ซึ่งเป็นฮีโร่ของประชาชน คนยากคนจน
ทั้งหมดนี้มันโอเค ตราบใดที่มันเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ มันมีคุณค่า (value) ในการเป็นตัวร้ายที่ประชาชนนิยมในสังคม ตัวร้ายที่ป็อปปูลาร์ มันทําให้คนสนุก เพลิดเพลิน และชอบบุคลิกแบบนั้น
แต่ทรัมป์ได้ขี่ความนิยม (ride popularity) ไปสู่ความที่เขาเชื่อว่า คนอเมริกันเชื่อแล้วว่า เขาเป็นคนซึ่งใช้อํานาจเป็น ผมก็ชอบคนที่ใช้อํานาจเป็น คนอเมริกันมากกว่าครึ่งประเทศ และผมเชื่อว่าคนไทยมากกว่าครึ่งประเทศเหมือนกัน ชอบคนที่ใช้อํานาจเป็น ในทางที่แก้ไขปัญหา ปรากฏว่า การใช้อำนาจเป็นของทรัมป์ เป็นการใช้อํานาจเป็นในทางที่ท็อกซิกไง
สมมุติว่าตัวผม บังเอิญผมเป็นคนดี จริงๆ ผมเป็นคนซึ่งมีเมตตาธรรม เห็นใจผู้อื่น แต่สมมุติผมเอาบุคลิก (persona) กวนประสาทของผมไปลงสมัครรับเลือกตั้ง มันก็ขายได้ ผมก็ด่าคนนู้น ซัดคนนี้ ขายได้ไม่ยากเลย
แต่เอาจริงๆ ถ้าไปถึงจุดที่ผมเอาบุคลิกนั้นไปบริหารประเทศ ก็ไม่ได้ ถ้าบริหารประเทศจริงๆ คุณต้องมีความเห็นแก่ผู้อื่น (empathy) พอทรัมป์ไม่มีสิ่งนี้ เขาเลือดเย็นจริง เฮ้ย เลือดเย็นจริงนี่หว่า ผมคิดว่าเป็นมุก ทรัมป์เลือดเย็นจริง นั่นไม่ใช่แค่บุคลิก นั่นคือตัวจริง