หากอยากให้เด็กไทยมีอนาคตสดใส การกระจายสวัสดิการพื้นฐานให้เด็กทุกคนเข้าถึงได้ก็เป็นสิ่งจำเป็น
ในช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาด ไม่ได้มีแต่เด็กในโรงเรียนเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากการที่โรงเรียนปิดทำการ แต่ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่อยู่นอกระบบการศึกษา ทั้งที่เรียนแบบโฮมสคูล เรียนในศูนย์การเรียนรู้ หรือเด็กกลุ่มที่ถูกบีบให้หลุดออกจากระบบการศึกษาไปอย่างไม่เต็มใจ
แต่การจะเข้าถึงวัคซีนของเด็กกลุ่มนี้กลับเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งกว่าที่เด็กในระบบพบเจอ หลายคนไม่มีสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ สำหรับลงทะเบียนรับวัคซีน บางคนก็ไม่มีผู้ปกครองรับรองการฉีดวัคซีนให้ กลายเป็นว่า พวกเขาเข้าไม่ถึงสิทธิที่ควรจะได้ และภาครัฐกำลังหลงลืมเด็กนอกระบบเหล่านี้ไป
The MATTER พูดคุยกับ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ จากศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 เพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เด็กนอกระบบพบเจอในการเข้าถึงวัคซีน และภาครัฐควรทำอย่างไร ถึงจะแก้ไขปัญหานี้ได้
“แนวโน้มจาก COVID-19 ใน 2 ปีที่ผ่านมา เด็กเสี่ยงออกจากระบบการศึกษามาเป็นเด็กนอกระบบเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ และกำลังเป็นวิกฤตทางการศึกษา”
คำกล่าวจาก อ.สมพงษ์ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยอาจารย์เล่าว่า ในระดับชั้นทั่วไป มีเด็กที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาประมาณ 10% ของทั้งหมด ซึ่งในกลุ่มรอยต่อระหว่างชั้นเรียน มีเด็กหลุดออกจากระบบ ดังนี้
- ระดับอนุบาล 3 ขึ้น ประถมศึกษา 1 ประมาณ 4%
- ระดับประถมศึกษา 6 ขึ้น มัธยมศึกษาตอนต้น 19%
- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ขึ้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 48%
อ.สมพงษ์เล่าต่อว่า ปัจจุบันมีเด็กนอกระบบทั้งหมด 900,000 คน เป็นเด็กนอกระบบที่อายุตั้งแต่ 15-24 แล้วก็สะสมเรื่อยไป สุดท้ายพ้นจากเยาวชนก็กลายเป็นแรงงานนอกระบบประมาณ 20 ล้านคน
“เรามีเด็กไทยที่ปัจจุบันติด COVID-19 อยู่อย่างน้อย 241,556 คน แต่เป็นเด็กในกลุ่มเสี่ยง เด็กนอกระบบ 70-80%”
ยิ่งกว่านั้น อ.สมพงษ์เล่าด้วยว่า กลุ่มเด็กที่ติดเยอะ เป็นเด็กนอกระบบในชุมชนแออัด เด็กกลุ่มไซส์คนงาน ยากจน แรงงานข้ามชาติ เร่ร่อน ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ หากไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพในการช่วยเหลือดูแลเด็กกลุ่มนี้ การเข้าถึงการฉีดวัคซีนจะมีอัตราต่ำมาก ประมาณ 15-20% เท่านั้น แต่ถ้ามีองค์กร มีมูลนิธิ มีหน่วยงานที่เข้าไปดูแลก็จะช่วยให้เขาเข้าถึงวัคซีนได้
อ.สมพงษ์ยกตัวอย่างกรณีของชุมชนคลองเตยซึ่งเคยเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ และมีเด็กติดเชื้อเยอะมาก แต่ตอนนี้มี สำนักงานเขตกับ สธ. และองค์กรต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือ ทำให้สามารถฉีดวัคซีนได้เกือบ 100% แล้ว
“เห็นไหมว่า ถ้ามีคนดูแลและลงไปช่วย เด็กจะได้รับการเข้าถึงวัคซีนดี เพราะเรารู้แล้วว่า เด็กกลุ่มนี้จะเป็นเด็กกลุ่มที่วิ่งไปทั้งชุมชน เป็น Big spreader ได้”
ปัจจุบันมีการเตรียมการเปิดโรงเรียนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 โดยมีแบบฟอร์มสำรวจการยินยอมจากผู้ปกครอง ซึ่งพบปัญหาว่า เด็กนอกระบบหลายคนไม่มีอุปกรณ์พร้อมสำหรับลงทะเบียน เช่น ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ขณะที่หลายคนก็ไม่มีผู้ปกครองดูแล โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเร่ร่อน
ขณะเดียวกัน มีเด็กอีกจำนวนมากที่ขาดหลักฐานทางราชการในการรับรองขอวัคซีน เช่น กลุ่มเด็กที่เข้าประเทศมาทำงานตามพ่อแม่ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบที่มีอยู่ 400,000 กว่าคน ซึ่ง อ.สมพงษ์ตั้งคำถามว่า เราจะไม่ให้คนกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาอยู่ในประเทศไทย อยู่ในแคมป์คนงาน อยู่ในตลาด
“เพราะงั้น การมองเด็กนอกระบบ ต้องมองอย่างการให้โอกาสเท่าเทียมกัน ให้โอกาสเข้าถึง ให้ได้รับสวัสดิการของรัฐ ไม่แตกต่างจากเด็กในระบบ ให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับการคุ้มครองเรื่องวัคซีน เพื่อป้องกันการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ของประเทศไทยในอนาคต”
ประเด็นเรื่องวัคซีนสำหรับเด็กนอกระบบยังมีปัญหาว่า เด็กจำนวนมากไปขอรับวัคซีนจากทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา แต่ได้รับคำตอบว่า ยังรอประสานงานอยู่ หรือหลายพื้นที่ก็แจ้งกลับมาว่า ยังไม่มีคำสั่งให้กลุ่มเด็กนอกระบบ ทั้งที่ รมว.สาธารณสุขแจ้งว่า มีวัคซีนให้กับเด็กทุกคน
ขณะที่ เรื่องของการประชาสัมพันธ์ก็ยังเป็นปัญหาอยู่มาก ซึ่ง อ.สมพงษ์มองว่า ต้องประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยิ่งกับกลุ่มเด็กนอกระบบหลายคน ยิ่งเข้าถึงข้อมูลได้ยากลำบาก ทำให้หลายคนกลัวการฉีดวัคซีน ซ้ำบางคนก็ไม่รู้ด้วยว่า ตัวเองมีสิทธิ์รับวัคซีน
อ.สมพงษ์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขต้องทำงานกับภาคประชาสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อนามัยจังหวัด กศน. มูลนิธิองค์กรต่างๆ โดยต้องมีเจ้าภาพหลักในการดูแลเด็กกลุ่มนี้ ให้ได้รับวัคซีนตามสิทธิ์ที่พึงมี
“ถ้ายังยึดเรื่องแบบฟอร์มในการลงทะเบียน เด็กจะได้รับโอกาสการฉีดวัคซีนน้อยลง” อ.สมพงษ์กล่าวเสริมในเรื่องของแบบฟอร์ม พร้อมระบุว่า ควรปรับแก้ให้มีการรับรองแบบหมู่ได้ เพื่อให้มูลนิธิหรือหน่วยงานต่างๆ สามารถรับรองให้เด็กนอกระบบรับวัคซีนได้
นอกจากนี้ อ.สมพงษ์ยังเสนอให้เลื่อนเดดไลน์การระดมฉีดวัคซีนสำหรับเด็กออกไป โดยสำหรับเด็กนอกระบบอาจกำหนดไว้ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มที่เจอปัญหาและข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งการเลื่อนเดดไลน์ออกไปก่อนเปิดภาคเรียนจะช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ COVID-19 ได้
“เด็กนอกระบบต้องดำเนินชีวิตอย่างซับซ้อน ยุ่งยาก การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานเรื่องการศึกษา สาธารณสุขค่อนข้างยาก จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เข้าใจปัญหามาช่วยดูแลให้เขาได้รับสิทธิเหล่านี้”