ถึงจะบอกว่าโอ้โหมันช่างทุนนิยมเหลือเกินเวลาใครพูดถึงเงินๆๆ แต่เราเองก็รู้ตัวกันดีว่าขาดพี่เค้าไม่ได้ มีเยอะหน่อยก็สบายใจ ติดตัวไว้ตลอดเวลาก็น่าจะดี นี่แหละที่ทำให้เรื่องของการเงินถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการใช้ ปริมาณการใช้ หรือกระทั่งวิธีการใช้ ซึ่งน่าสนใจว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างพัฒนาต่อไปนั้นพัฒนามาอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เงินสดถึงเงินเชื่อ เงินเชื่อถึงเงินไม่เชื่อ จากกาบหอยสู่ธนบัตร จากกระเป๋าตังค์ยันยุคที่ใช้โทรศัพท์แทนเงินไปแล้ว! เห็นว่ายุบยับเยอะแยะขนาดนี้ The MATTER จึงเรียนเชิญให้อ่านวิวัฒนาการของการเงิน โดยเฉพาะการใช้เงินแบบไม่ใช้เงิน ซึ่งแทบจะเป็นเทรนด์ของยุคนี้ไปซะแล้ว
1. ไม่ว่าโลกยุคไหนใครๆ ก็เบื่อการใช้เงินสด!
ไม่ใช่แค่พวกเราที่พกบัตรต่างๆ ไว้รูดแทนเงินสดกันเป็นว่าเล่น เพราะสะดวก ปลอดภัย ไหนจะสิทธิพิเศษเสริมมากมายที่จะได้หลังเงินออกจากบัญชีอีกนับไม่ถ้วน แต่รู้รึเปล่าว่าจริงๆ แล้วพวกเราชาวโลกรู้จักการใช้ ‘บัตรแทนเงินสด’ (Purse) กับบัตรเครดิต (Credit Card) กันมาเป็นร้อยปีแล้ว! ซึ่งจุดเริ่มต้นมันก็เกิดจากความเบื่อหน่ายการต้องไปต่อแถวถอนเงินสดจากธนาคารบวกกับความเสี่ยงทำเงินสดหายหรือถูกปล้นเหมือนอย่างที่เราๆ รู้สึกกันนั่นแหละ
2. โลหะสอดไส้กระดาษแข็ง—โฉมหน้าบรรพบุรุษบัตรแทนเงินสด
Charge Plates คือชื่อของบัตรแทนเงินสดยุคแรกๆ ของโลก สิ่งนี้เกิดขึ้นช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เพราะร้านค้าฝั่งยุโรปเกิดอยากเอาใจลูกค้ากระเป๋าหนัก จะได้ไม่ต้องไปต่อแถวถอนเงินจากธนาคารให้เสียเวลา โดยสิ่งนี้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าบัตรเครดิตที่เราใช้ๆ กันตอนนี้นั่นแหละ ทว่าทำจากโลหะสอดไส้กระดาษแข็งที่เขียนชื่อร้านค้าและมีลายเซ็นต์คนออกบัตรระบุไว้อย่างชัดเจน
3. ไอเดียบัตรเครดิตใบแรกของโลก เกิดตอนลืมกระเป๋าสตางค์
ค่ำวันหนึ่งในร้านอาหารหรูกลางนิวยอร์ก Frank McNamara นักดนตรีชาวไอริชชื่อดังเกิดลืมเอากระเป๋าสตางค์ติดตัวมา ในวินาทีแห่งความวิตกนั้นเองเขาก็เกิดไอเดียว่าทำไมเราถึงไม่มีบัตรสักใบที่ใช้จ่ายเงินล่วงหน้าได้ล่ะ?! สุดท้ายจึงเกิดเป็น The Dinners Club ที่สามารถใช้ได้ในร้านอาหาร 27 แห่งทั่วนิวยอร์ก แถมยังได้รับความนิยมแบบสุดๆ เพราะแค่เปิดตัวปีแรกก็มีสมาชิกถึง 2 หมื่นคนแล้ว!
4. แค่รูด จ่าย ก็จบ—โลกแห่งการจ่ายผ่านบัตรอิเลคทรอนิกส์
หลังจากนั้นโลกก็รู้จักการผลิตพลาสติก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บริษัทขนส่งข้ามชาติอย่าง American express รับเอาไอเดียบัตร The Dinners Club ไปขยี้ต่อ จนเกิดเป็นบัตรเครดิตพลาสติกขึ้นในปี 1959 ซึ่งตอนแรกๆ มีไว้ใช้จ่ายค่าเดินทางและความบันเทิงข้ามชาติ—แต่หลังจากนั้นไม่นานธนาคารต่างๆ ก็เห็นแววว่าเข้าท่าเลยเอาไปต่อยอดกับเทคโนโลยีจนกลายเป็นบัตรแทนเงินสดอัจฉริยะ (Smart Purse) ที่เก็บข้อมูลไว้ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์ และบัตรเครดิตที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกวันนี้
5. สู่ยุคออนไลน์การจ่ายต้องง่ายแค่ปลายนิ้วคลิก!
แต่แค่บัตรคงไม่พอสำหรับยุคที่เราทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบออนไลน์กันได้หมดแล้ว!
เทรนด์การจับจ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นจึงกลายเป็นทางเลือกแรกๆ สำหรับหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีความพร้อมแถบสแกนดิเนเวียเช่นเดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ หรือสวีเดน ที่ต่างออกมาประกาศชัดเจนว่ากำลังวางแผนเลิกใช้เงินสดอย่างถาวรภายใน 14 ปีหลังจากนี้ แล้วหันไปสนับสนุนระบบการจ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นแทนด้วยเหตุผลว่าสะดวกและทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยกว่าการพกเงินสดติดตัวไปไหนมาไหนหลายเท่านัก!
6. ก้าวสู่ยุคการจ่ายจบง่ายดายใน ‘เครื่องเดียว’
โลกของการชำระเงินยังไม่หยุดหมุนแค่นั้น เพราะล่าสุดมีนวัตกรรมการจ่ายเงินแบบ “แตะ” ด้วยสมาร์ตโฟน ซึ่ง ทำให้การใช้บัตรเครดิตสะดวกและปลอดภัยกว่าเดิมหลายเท่า! ด้วยการผนึกบัตรเครดิตของคุณเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสมาร์ตโฟน ทั้งยังครอบคลุมการใช้งานเหมือนบัตรเครดิตทุกประการ เช่นบริการ Samsung Pay ที่เพียงเปิดหน้าจอสมาร์ตโฟน Samsung รุ่นที่ร่วมให้บริการขึ้น เลือกบัตรเครดิตที่ต้องการใช้ แล้วแตะเข้ากับเครื่องรูดบัตรเครดิตทั่วไป ระบบก็จะจัดการตัดวงเงินให้แบบอัตโนมัติ
นอกจากสะดวกสุดๆ เพราะไม่ต้องพกบัตรเครดิตให้วุ่นวาย ไม่ต้องสร้างบัญชีใหม่เพราะเป็นการสร้างบัตรเครดิตเสมือนจากบัตรที่มีอยู่แล้ว ยังมั่นใจได้เต็มร้อยว่าบริการ Samsung Pay ปลอดภัยหายห่วงเพราะใช้วิธียืนยันการชำระเงินด้วยการแสกนนิ้วมือ! และยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เครื่องจะล้างข้อมูลสำคัญไม่ให้ใครนำไปใช้ต่อได้ในกรณีที่สมาร์ตโฟนหายหรือถูกขโมย ที่สำคัญคือบริการนี้เปิดใช้บริการในไทยแล้ววันนี้ ใครสนใจลองเข้าไปศึกษารายละเอียดรุ่นสมาร์ตโฟนและบัตรเครดิตของธนาคารที่พร้อมให้บริการได้ที่www.samsung.com/th/samsungpay