ทุกครั้งที่รู้ว่าจะเจอคนใหม่ๆ มือไม้ก็เหงื่อออกจนเปียกชุ่ม แถมเมื่อคืนยังเตรียมหาเรื่องที่จะคุยสารพัด ท่องแล้วท่องอีกให้มั่นใจว่าจะไม่เกิด ‘เดดแอร์’ แน่ๆ แต่เมื่อเจอเธอเข้าจริง สติกลับแตกกระเจิง ถ้าคนขี้อายอย่างฉันทำ ‘เดทพัง’ ก็คงไม่แปลก แต่มันจะทำให้เราหวาดกลัวเดทครั้งต่อไปหรือเปล่า? และความขี้อายจะทำให้เราไม่สามารถเริ่มต้นใหม่กับใครเลยหรือ?
ความวิตกกังวลในการเดท (dating anxieties) ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และมีผลกระทบต่อจิตใจค่อนข้างมาก แต่เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย เพราะเอาจริงๆ คนส่วนใหญ่วิตกกังวลต่อการเดทด้วยกันทั้งนั้น การออกเดทก็เหมือนกับเวลาที่เราทอยลูกเต๋า 6 ลูกพร้อมๆ กันและหวังให้ลูกเต๋าทั้งหมดเผยหน้าเดียวกันซึ่งมันมีความเป็นไปได้ต่ำเสียเหลือเกิน
แต่คนที่มีบุคลิกขี้อาย (shyness) น่าจะได้รับผลกระทบต่อสิ่งที่คาดเดาได้ยากเป็นพิเศษ คนขี้อายมักรู้สึกว่าการเจอคนใหม่เป็นเรื่องหนักใจ รู้สึกวิตกกังวลหรือไม่สบายใจที่จะใกล้ชิดด้วย ความอายมีรากฐานจากความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่าคนอื่นทำได้หรือเป็นได้ดีกว่า การจะเริ่มบทสนทนาครั้งใหม่แล้วถูกเมินเฉยก็ยังเจ็บปวดกับคนขี้อายอยู่ดี
แม้คุณจะขี้อายมากแค่ไหน มันก็ยังคงมีพื้นที่เปิดกว้างสำหรับเรียนรู้เรื่องราวของผู้คนโดยที่คุณเองไม่ต้องเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ หากเริ่มด้วยความสบายใจ (และท้าทายตัวเองอีกนิด) คุณเองก็ยังเป็นคนที่น่าคบหาและน่าใช้เวลามีค่าร่วมกัน
เราไปเดทกันนะคนขี้อาย 🙂
1. ความอายของเธอร้ายแรงไหม
‘ความอาย’ (shyness) เป็นของขวัญจากธรรมชาติที่คุณไม่จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง หากเราแสดงออกทุกอย่างแบบตรงไปตรงมาเสียหมด โลกใบนี้คงมีแต่เรื่องประเจิดประเจ้อเด๋อด๋า ไม่ค่อยสร้างสรรค์ และอาจหมดเสน่ห์ไปเยอะ เพราะความอายทำให้มนุษย์ต้องเปลี่ยนวิธีการแสดงออกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาโดยซ่อนเอาไว้ผ่านการสื่อสารด้วยวิธีสดใหม่
แต่ความอายแบบ counter-productive ที่ทำให้เราไม่สามารถเริ่มอะไรได้ถือเป็นเรื่องเสียโอกาส โดยเฉพาะความอายที่มีพื้นฐานมาจากความภูมิใจในตัวเองต่ำ (low self-esteem) ที่ทำให้เราสร้างความสมบูรณ์แบบตามอุดมคติขึ้นมาในหัว ไม่ไว้ใจกับอะไรง่ายๆ และคิดว่าคนอื่นเป็นได้ดีกว่าตัวเองเสมอ สิ่งเหล่านี้ล้วนกดดันเราจนกลายเป็นความรู้สึก “ฉันไม่เป็นที่ปรารถนาของใครเลย”
คุณสามารถถูกชักจูงตัวเองออกจากความอายได้อย่างละมุมละม่อม ไม่ใช่การกระชับพื้นที่เสียจนหายใจไม่ออก แต่ค่อยๆ ไต่ไปถึงจุดที่การเดทโอเค การสื่อสารระหว่างกันจึงมีความสำคัญ
2. ซีนเดทของคนขี้อาย
การเจอคนไม่รู้จักเป็นเรื่องยากสำหรับคนขี้อาย และมันจะยิ่งท้าทายกว่าหากคุณต้อง ‘ออกเดท’ วันแรก โดยธรรมชาติแล้ว คนขี้อายมักมีระยะห่างในการแสดงออกกับผู้คนรอบข้างพอสมควร และมักถูกนำเสนอภาพว่าเป็นคนทำอะไรเปิ่นๆ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกจังหวะในระหว่างเดท ซึ่งหลายครั้งมันก็ ‘เกินความจริง’ ไปหน่อย เพราะจริงๆ แล้วคนขี้อายกับคนเปิ่นไม่เหมือนกันนะ
เมื่อต้องเริ่มเข้าสู่ประเด็นที่ลึกซึ้ง คนขี้อายมักใช้เวลาที่มากขึ้นเพื่อเปิดเผยเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งหลายครั้งจังหวะ (pacing) ในการเข้าหาคนอื่นอาจไม่เท่ากัน กลายเป็นว่าชักช้าไม่ทันการ เขาอาจหมดความสนใจแล้ว กลายเป็นความรู้สึกผิดต่อตัวเองและอาจทำให้คู่เดทรู้สึกแย่ด้วย
แต่ถ้าไม่เริ่มอะไรเลยยิ่งจะเป็นการสร้างกำแพงตัวเองโดยที่คุณใช้ความอายเป็นเพียงข้อแก้ตัว มันควรมีใครสักคนเริ่มก่อน ไม่คุณก็เขา เริ่มสิๆ
3. อย่า ‘อะไรก็ได้’ เลือกเวลาและสถานที่อันคุ้นเคยไปเลย
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเดทกันแบบพบหน้าเจอตัวเป็นๆ การเลือกสถานที่พบเจอและหาช่วงเวลาที่เหมาะสมจะทำให้คุณผ่อนคลายมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักตอบไปว่า “อะไรก็ได้ เลือกเลยๆ” เพราะความเกรงอกเกรงใจ แต่ไอ้อะไรก็ได้เนี่ยมันดูจะไม่เวิร์กเท่าไหร่ หากรู้ตัวว่าเป็นคนขี้อาย คุณลองขอพบอีกฝ่ายในสถานที่ที่คุ้นเคยน่าจะดีกว่า สภาพแวดล้อมช่วยลดความประหม่าได้เยอะ
เจอกันในห้างที่คุณเดินบ่อยๆ จะได้ไปทำอะไรที่สนใจคั่นเวลาไปก่อน นัดสถานที่ที่เดินทางง่ายใช้เวลาไม่มาก หาสัญญาณทางออกฉุกเฉินในกรณีเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ (อันนี้ก็จำเป็น คุณอย่าประมาทสิ)
ส่วนใหญ่ใครๆ ก็อยากให้อีกฝ่ายเลือกสถานที่พบครั้งแรกเจอทั้งนั้น มันโอเคที่คุณจะบอกตัวเลือกไปก่อน เป็นการแสดงออกโดยนัยว่า คุณจะไม่ bullshit กับเดทครั้งนี้
4. เปิดเผยข้อมูลตัวเองบ้าง
เรื่องราวของคุณเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้อีกฝ่ายสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ หากมันยังคงเป็นปริศนามืดแปดด้านจนอีกฝ่ายไม่รู้ว่าคุณเคยทำอะไรมาเลย ความสัมพันธ์ที่มองไปในอนาคตก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
คนขี้อายต้องการความสัมพันธ์ที่แท้จริง การเปิดเผยข้อมูลของตัวเองให้กับคู่เดทจึงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น ลองแชร์ชุดข้อมูลเฉพาะให้กันบ้าง เช่น สิ่งที่คุณชอบทำ กิจกรรมเปิ่นๆ ตอนเรียน เรื่องราวที่คุณและเขามีจะนำไปสู่จุดเชื่อมโยงที่ทำให้เดทราบรื่นขึ้น สิ่งสำคัญคือไม่ว่าคุณและเขาจะเล่าอะไรก็ขอให้อยู่บนรากฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน
คนขี้อายอาจจะต้องยอมรับว่า การหาเรื่องตัวเองมาคุยไม่ใช่วิสัยของฉันเลย และก็ดันชวนคุยกับใครไม่เก่ง แต่จำเป็นต้องฝึกฝนที่จะยอมเปิดเผยตัวเองได้บ้าง สำหรับเดทแรกการแชร์ข้อมูลสำคัญมักจำเป็น หาเรื่องที่คุณสบายใจจะเล่ามันอีกครั้ง มันต้องมีบ้างแหละหน่า
5. อย่าตัดสินทุกอย่างไปเอง
ปัญหาหลักของคนขี้อายอีกประการที่ทำให้เปิดเผยตัวต่อคนอื่นได้ยาก คือคนขี้อายมักกลัวที่จะถูกตัดสินจากคนอื่น อคตินี้ฝังรากแน่นหนาว่าคำพิพากษาจากคนอื่นเป็นกลไกในการยอมรับทางสังคม คนขี้อายมักโทษตัวเองที่ทำพังหากเดทส่อเค้าว่าจะล้มเหลว หรือไม่ก็พยายามหลีกเลี่ยงเสียตั้งแต่แรก ทั้งที่ในสถานการณ์จริงมีปัจจัยรายล้อมอีกมากที่ไม่ได้มาจากตัวของคุณเองทั้งหมด ยิ่งคนขี้อายประเภทความภูมิใจในตัวเองต่ำ (low self-esteem) ที่มีทัศนคติต่อตนเองต่ำเป็นทุนเดิมก็จะคิดลบต่อตนเองและเหมารวมว่าคนอื่นๆ คิดเช่นนั้นด้วย ทั้งๆ ที่เปล่าเลย คุณคิดมากเกินไปต่างหาก
ลดการตัดสินทุกอย่างของคุณลง วางค้อนแห่งการพิพากษาไว้ที่บ้าน อย่าเพิ่งเอาไปตีใครในเดทแรก (และอย่าเอามาตีตัวเอง) การยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่มาจากตัวคุณเองทั้งหมดทำให้คุณไม่ต้องแบกรับความคาดหวังของใคร
คุณไปเดท ไม่ได้ไปกู้โลก จะแบกความรับผิดชอบอะไรไปตั้งมากมาย
6. เลือก ‘ลงทุน’ กับความรู้สึกที่ใช่ ไม่ต้องเปลืองใจกับทุกคน
กุญแจสำคัญของการไปเดทที่ไม่ว่าผลลัพท์จะออกมาแบบไหน ทั้งดีมากถึงขั้นประทับใจ ไปจนถึงล้มเหลวไม่เป็นท่า สุดท้ายก็คือการยอมรับว่ามนุษย์ที่คุณไปพบล้วนมีความคาดหวังต่อตัวคุณที่ไม่เหมือนกัน หลายคนมีเหตุผลบางประการที่ทำให้คุณยอมรับเขาไม่ได้ และถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่เวิร์กแต่อย่างน้อยคุณก็ได้ลองออกมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่คุณเคยปรามาสตัวเองจากความขี้อาย นี่คือความสำเร็จที่แน่นอนว่าเป็นก้าวสำคัญในการ ‘ยอมรับตัวเอง’ (self-acceptance) และอีกหน่อยคุณก็น่าจะสนุกกับการได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
คู่เดทที่ดีและความสัมพันธ์ที่คุณควรไปต่อในฐานะคนขี้อาย คือการพิจารณาว่าคู่เดทสามารถทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้น (self-assured) หรือไม่? ถ้าเขาช่วยให้คุณลืมความขี้อายไปชั่วขณะก็ถือว่าคุณได้เจอแจ๊คพอต
หากครั้งนี้ยังกล้าๆ กลัวๆ ขี้อายอยู่นิดหน่อย (nervous) ก็ยังเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่จะเริ่มทำความรู้จักกับคนใหม่ จะลองติดต่อเขาไปอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากเดทที่ผ่านมากลับทำให้คุณรู้สึกนิ่งเฉย เงียบงัน (indifferent) ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย หรือตรงข้ามไปเลยคือทำให้คุณรู้สึกหวาดกลัว ไม่ปลอดภัย (terrifying) ความสัมพันธ์ครั้งนี้ก็อาจจะไม่คุ้มที่คุณต้องลงทุนต่อ ดีดตัวเองออกมาก่อนขณะยังมีโอกาส
คนขี้อายไม่ได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางอารมณ์ พวกเขามีความอ่อนไหวสูงและต้องการความสัมพันธ์ ดังนั้นจำเป็นต้องเลือก ‘ลงทุน’ กับความรู้สึกที่ใช่ ไม่ต้องใช้เปลืองกับทุกคน
7. ความปราดเปรื่องทางอารมณ์ของคนขี้อาย
ความวิตกกังวลของอดีตและอนาคตที่คนขี้อายคิดทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามักทำให้ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องยอมรับมนุษย์คนอื่นที่ไม่ได้เหมือนกันเลย ต่อให้ผลที่ออกมาดีหรือแย่ คุณก็ยังเป็นตัวของคุณเอง เป็นความปราดเปรื่องทางอารมณ์ (emotional intelligence) ที่ต้องฝึกฝนผ่านสถานการณ์หลากหลายที่สอนกันไม่ได้
ต่อให้คุณแย่จากครั้งที่แล้ว แต่เพียงไม่นานคุณจะเด้งกลับได้เร็วจากความยืดหยุ่น (plasticity) อันเป็นทักษะล้ำค่ามากในการอยู่ร่วมกับสังคม คนที่ประสบความสำเร็จในการพบกับผู้คนใหม่ๆ ล้วนมีแนวโน้มไปทางเดียวกัน คือพวกเขาให้ความสำคัญกับการอยู่กับปัจจุบันมากกว่ายึดติดกับอดีตและเฝ้าฝันถึงอนาคต
เมื่อถึงจุดหนึ่ง คนที่สามารถพูดต่อหน้าคนเป็นล้านๆ ก็ย่อมอายม้วนกับแค่คนเพียงคนเดียว ความอายเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะมีบุคลิกที่หนักแน่นเช่นไร ประสบการณ์ใหม่ทำให้ทุกคนตื่นเต้น อย่าคิดว่าคุณตื่นเต้นไปคนเดียว เขาก็อาจจะตื่นเต้นด้วยแต่เก็บอาการได้เนียนกว่า
ความอายในตอนนี้อาจไม่ใช่ความอายเมื่อครั้งที่แล้ว บุคลิกของมนุษย์ยังมีความยืดหยุ่น มันเติบโตและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ (neuroplasticity) ผ่านความท้าทายที่คุณเอาตัวเองไปเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวอันเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด บุคลิกของมนุษย์ไม่ได้ตั้งตระหง่านเหมือนเสาศิลาอันแข็งแกร่ง มันล้วนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาจากหลายปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก บุคลิกจึงเปรียบเหมือนคลื่นน้ำที่ลัดเลาะผ่านโขดหินแห่งชีวิต มันไม่เคยง่ายและไม่เป็นเส้นตรง
ถึงเวลาที่คนขี้อายจะออกเดท! คุณก็ออกไปเดทในแบบฉบับคนขี้อายสิจะเป็นอะไรไป
อ้างอิงข้อมูลจาก
- Shyness and Social Phobia
- Shyness is about much more than just fear or timidity.