“จะซ้ายที ขวาที มุมเงย มุมช้อน…” นอกจากเป็นเนื้อเพลง ณ บัดNOW ของพี่บี้ สุกฤษฎิ์ แล้ว ยังหมายถึงการเคลื่อนไหวนิ้วของใครหลายคนในช่วงนี้ และองศาการถ่ายรูปเพื่ออัปโหลดลงโปรไฟล์ในแอปพลิเคชันหาคู่ที่รู้จักกันดี━Tinder
ชายหนุ่มคนนั้นดูหงอยเหงา ในมือของเขาเปิด Tinder เพราะโรคระบาดทำให้คนโสดยิ่งเศร้ายิ่งเหงาเข้าไปใหญ่ ร้านรวงต่างๆ ก็ไม่ค่อยเปิด คอนเสิร์ตให้ไปก็ไม่ค่อยมี สิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้ก็คงจะเป็นการหาคู่บนโลกออนไลน์เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไรในยุคโลกาภิวัตน์ ที่เราติดต่อกันข้ามซีกโลกได้เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว อินเทอร์เน็ต และสมาร์ตโฟนสักเครื่อง
โดยที่ผ่านมา เว็บไซต์และแอปพลิเคชันหาคู่ออนไลน์ได้ช่วยคนโสดให้เจอรักแท้มาแล้วหลายชีวิต ซ้ำยังทำให้เกิดรูปแบบการเดตบางอย่าง และเกิดเป็นศัพท์มากมายที่ใช้เรียกให้เข้าใจง่าย เช่น ghosting การที่จู่ๆ ก็ไม่อ่าน ไม่ตอบ หายไปเฉยๆ เหมือนผี breadcrumbing การทักมาหว่านเสน่ห์เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ชอบหรือจริงจังอะไร submarining การที่มีคนดองแชทเราจนเค็ม แต่จู่ๆ ก็ทักมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือ fishing การคุยไปเรื่อย เหนื่อยก็พัก ใครทักกลับก็เอาคนนั้นแหละ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “ความสัมพันธ์เอย…จงซับซ้อนขึ้น” รู้จัก dating trends 2020)
แล้วพอเป็นยุคโรคระบาดที่การล็อกดาวน์ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในทุกมิติ การเดตจึงไม่พ้นได้รับผลกระทบบางอย่างด้วยเช่นกัน การสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของชีวิต สุขภาพ เงินทอง หรือโอกาส ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าชีวิตนั้นสั้นเกินไปที่จะเสียเวลาให้กับอะไรที่ไม่ใช่ ทำให้ในแง่ของการเดต พวกเขาจึงมีความกระตือรือร้นมากขึ้น ที่จะตั้งหลักปักฐานกับใครสักคนที่ใช่สำหรับพวกเขาจริงๆ ซึ่งหนทางที่จะนำไปสู่การหาคนที่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็คือวิธี Honest-bombing นั่นเอง
Honesty-bombing เป็นศัพท์ที่มาจากเว็บไซต์หาคู่ Badoo ซึ่งอธิบายถึงการกระทำที่ตรงไปตรงมาเวลาเดต หรือการใส่ความความซื่อสัตย์ ความจริงใจ และเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง แทนที่จะพยายามนำเสนอ the best version of me สร้างบุคลิกที่สมบูรณ์แบบเพื่อปิดบังความคิด ทัศนคติ มุมมองบางอย่างเอาไว้ ซึ่งตอนนี้ผู้คนเลือกที่จะแสดงความจริงใจออกมาตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า พวกเขาไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป เพราะหลังจากโรคระบาดกินเวลาชีวิตมาปีกว่าๆ พวกเขาไม่อาจมามัวเสียเวลาสร้างบุคลิกที่สมบูรณ์แบบได้ทั้งหมด ความซื่อสัตย์หรือความจริงใจจึงกลายเป็นสิ่งที่หลายคนมองหา เพราะพวกเขาสนใจที่จะหาคู่อย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากสูญเสียเวลาในการหาคู่มาเป็นปี
ผลวิจัยจากเว็บไซต์หาคู่ Badoo พบว่า 69% ของคนโสด เหนื่อยกับการเล่นเกมหาคู่ที่ซับซ้อน หรือเลิกเล่นเกม hard to get แบบเมื่อก่อน ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะได้รู้ตัวตนของกันและกัน ในขณะที่ 72% บอกว่า พวกเขายินดีที่จะเปิดเผยให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองเป็นคนยังไง หรือพวกเขาต้องการอะไรในความสัมพันธ์มากกว่าที่เคยเป็นมา อีก 82% บอกว่า พวกเขาต้องการที่จะเปิดเผยตัวเองมากขึ้นแม้จะเป็นเดตแรกก็ตาม เพื่อเร่งการออกเดตให้ไม่ยืดเยื้อแบบเมื่อก่อน และ 2 ใน 3 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามก็ยอมรับว่า สิ่งที่พวกเขากำลังมองหาในตัวคนๆ หนึ่ง เปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงเวลานี้ (ประมาณเดือนพฤษภาคม) ของปี ค.ศ.2020 แล้ว
ซึ่งหมายความว่า หัวข้อการสนทนาในเดตแรกอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป จะไม่ค่อยมี small talk เช่น ทำไรอยู่? กินข้าวยัง? วันนี้ไปไหนมั้ย? แต่จะกลายเป็นการสนทนากันถึงหัวข้อที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งหัวข้อยอดนิยมในขณะนี้ ได้แก่ วัคซีน สุขภาพจิต มุมมองต่อการมีลูกหรือการแต่งงาน เป็นต้น
นาตาชา บรีเฟล (Natasha Briefel) ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ Badoo กล่าวว่า “ต้องขอบคุณการเดตออนไลน์ที่ทำให้ผู้คนยังคงเชื่อมต่อกันอยู่เรื่อยๆ ในช่วงกักตัวนี้ ซึ่งพวกเขาก็ได้มีเวลาไตร่ตรองว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการในคู่รักคืออะไร ในขณะที่การเดตแบบเจอกันตัวต่อตัวกำลังจะกลับมา ผลกระทบเชิงบวกจากการระบาดครั้งใหญ่ที่เราคาดหวังที่จะเห็นคือ ผู้คนเปิดเผยและซื่อสัตย์มากขึ้นว่าตัวเองเป็นใคร และสิ่งที่พวกเขาต้องการจากความสัมพันธ์คืออะไร
“ไม่เพียงแค่นั้น ยังรวมไปถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์เดินต่อไปข้างหน้าได้ อย่างการบอกอีกฝ่ายว่าคุณชอบเขาแค่ไหน หรือการเผชิญหน้าบอกใครคนหนึ่งว่าคุณไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว เพราะความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเดต ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือเจอตัวต่อตัว เราในฐานะ Badoo ก็เชื่อว่า ทุกคนควรเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่รู้สึกผิด”
หลายคนอาจมองว่า การพูดคุยกันในเรื่องที่เครียดหรือจริงจังในช่วง getting-to-know-you หรือช่วงทำความรู้จักกัน อาจเป็นการเสียมารยาทและทำลายบรรยากาศโรแมนติกได้ แต่ยุคนี้การคุยกันในหัวข้อที่จริงจังอะไรไม่ได้ถูกมองเช่นนั้นเสมอไป แถมยังช่วยให้เราเข้าใจการมองโลกของเขามากขึ้น ซึ่งอาจมีผลต่อการใช้ชีวิตด้วยกันในฐานะคู่รักในอนาคตได้
อย่างผลสำรวจของเว็บไซต์หาคู่ Match.com ที่เคยสอบถามคนโสดทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า การคุยเรื่องการเมืองสามารถเพิ่มโอกาสในการเกิด second date มากถึง 91% และคนโสด 35% จะไม่ออดเดตกับคนที่ไม่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองด้วย นอกจากนี้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมองข้ามปัจจัยดึงดูดภายนอกมากขึ้น และมองหาคนที่สามารถแลกเปลี่ยน deep conversation กับพวกเขาได้แทน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร? เมื่อเราชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องการเมืองตอนออกเดต)
นอกจากนี้ มีผลการสำรวจจากแอปพลิเคชันหาคู่ S’More ที่เผยว่า ยุคนี้อาจเป็นยุคของ anti-superfacial หรือยุคต่อต้านการรู้จักเพียงแค่ผิวเผิน ทั้งที่เมื่อก่อนเราอาจถูกดึงดูดจากปัจจัยทางกายภาพ จากการสำรวจผู้ใช้แอปฯ จำนวน 1,000 คน ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2020 พบว่า แรงดึงดูดทางกายภาพไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการหาคู่อีกต่อไป
อดัม โคเฮน-แอสลาเต (Adam Cohen-Aslatei) ซีอีโอของ S’More กล่าวว่า “เราเปรียบเทียบผลการสำรวจครั้งล่าสุดกับในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2020 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ เราพบว่าตัวขับเคลื่อนสองอันดับแรกของการเดตออนไลน์ ก็คือแรงดึงดูดทางกายภาพและสถานที่ ซึ่งตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความต้องการความเข้ากันได้หรือเคมีที่ตรงกัน ความสัมพันธ์ทางเพศจึงมีความสำคัญลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงธันวาคม
“สถานการณ์โรคระบาดเข้ามาเปลี่ยนสมการนี้ได้อย่างแน่นอน จากข้อมูลของเรา ผู้คนเริ่มคาดหวังในแอปพลิเคชันหาคู่มากขึ้น พวกเขาต้องการความสัมพันธ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ภาพถ่ายปลอม หรือการดึงดูดทางเพศที่มากจนเกินไป” และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ S’More คิดค้นฟีเจอร์ที่ชื่อ chat-to-unblur เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทำความรู้จักกันมากขึ้นก่อนตัดสินใจออกเดต อดัมเพิ่มเติมว่า “ในแอปฯ เรามักจะใช้นิ้วปัดอย่างรวดเร็ว หรือมีเวลาเพียง 3 วินาทีในการตัดสินใจ โดยไม่ได้คำนึงถึงบุคคลนั้นเท่าไหร่นัก ซึ่งมีโอกาส 50% ที่รูปถ่ายนั้นจะเป็นรูปปลอม รูปเก่า หรือรูปที่ผ่านการตกแต่งมากเกินไป”
เพราะชีวิตสั้นเกินกว่าจะเล่นเกมความสัมพันธ์อันยืดเยื้อ เพราะแค่เอาตัวจากโรคระบาดไปวันๆ ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ซึ่งก็เป็นน่าสนใจที่ได้เห็นว่าการหยอดกันไปมาหรือ small talk แบบเมื่อก่อน อาจจะเริ่มใช้ไม่ได้แล้วในยุคนี้ และก็น่าติดตามด้วยว่าหลังจากนี้ไป ผู้คนจะมีแนวโน้มในการหาคู่หรือการเดตกันยังไงอีกบ้าง
อ้างอิงข้อมูลจาก