ทุกความกลัวมีที่มาที่ไป มันไม่ได้อุบัติขึ้นอย่างไร้สาเหตุ และความกลัวนี้อาจใช้เวลาฟักตัวนานนับ 100 ปี
หากคุณติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแวดวงสาธารณสุขคงน่าจะเคยรู้จักหรือเห็นผ่านตากับ ‘กลุ่มต่อต้านวัคซีน’ (Anti-vaccine) ชุมชนที่แข็งแรงพอจะเรียกเป็น ‘ลัทธิ’ (cult) ได้ กลุ่มต่อต้านมีความเชื่อว่าการให้วัคซีนกับเด็กๆ อาจมีโอกาสทำให้เด็กเรียนรู้ช้า เสี่ยงเป็นออทิสซึม พิการ หรือเสียชีวิต (และบรรดาความคิดสุดโต่งที่เกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับรัฐที่ดีลอะไรกันลับๆ ล่อๆ) โดยอ้างว่าวัคซีนเป็นแผนหลอกลวงคนทั้งโลก สร้างผลร้ายมากกว่าผลดี ทั้งๆ ที่แพทย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าออกมาต่อต้านความเชื่อดังกล่าวเสียงแข็ง และยืนยันว่าการให้วัคซีน ‘ปลอดภัย’ และ ‘จำเป็น’ กับการจำกัดวงระบาดของโรคร้ายที่ทำให้ชีวิตคนจำนวนมากเคยตกอยู่ในความเสี่ยง
คำถามที่น่าสนใจคือ ความกลัววัคซีนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร? คงไม่มีใครกุขึ้นเฉยๆ โดยปราศจากมูลเหตุ แถมลัทธิต่อต้านวัคซีนนี้มีสมาชิกอยู่ในทุกประเทศ (ไทยก็มี) โดยส่วนใหญ่มีรากฐานความเชื่อมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่มีวิทยาการแพทย์ก้าวหน้ามากที่สุด แต่ก็ยังมีคนกลัววัคซีนฝังใจ แถมระดับขึ้นสมองเสียด้วย
อย่างไรก็ตามการให้วัคซีนเป็นเรื่องจำเป็นในการจัดการโรคระบาด ซึ่งมีบทเรียนมากมายอันเป็นประจักษ์ในอดีต ยกตัวอย่างเหตุการณ์เร็วๆ นี้ในปี 2014 เมื่อนักท่องเที่ยวที่มารื่นเริงในสวนสนุก Disneyland รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่กลับไปบ้านพร้อมกับของที่ระลึกที่ไม่เต็มใจรับ นั่นคือ ‘โรคหัด’ (measles) ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นถึง 125 ราย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งคนไข้ครึ่งหนึ่งมีประวัติไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน จากการสอบสวนหาต้นตอพบว่า ตัวการหลักของการระบาดมาจากสมาชิกในกลุ่มต่อต้านวัคซีนที่ไปเที่ยวสวนสนุกในช่วงสัปดาห์เดียวกัน และเขาปฏิเสธการฉีดวัคซีน
โรคหัดมีวงระบาดรุนแรง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ผื่นคัน อาจนำไปสู่การชัก และโรคไข้สมองอักเสบในบางกรณี แต่อย่างไรก็ตามคนที่สัมผัสกับเชื้อหัด 90% มีโอกาสส่งต่อไปยังคนอื่นๆได้ ยกเว้นคนนั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดแล้วที่จะไม่ส่งต่อ

ภาพการ์ตูนล้อเหตุการณ์โรคหัดระบาดในดิสนีย์แลนด์ (ภาพจาก : www.davegrandlund.com)
มีคนอเมริกันจำนวนมากป่วยเป็นโรคหัด ทั้งๆ ที่โรคหัดสามารถรับมือได้ด้วยวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูงและพัฒนาจากอดีตค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็มีคนไม่กล้า เมินเฉย และหลีกเลี่ยงที่จะเข้ารับการให้วัคซีนเพราะ ‘ความกลัว’ ซึ่งกลุ่มคนส่วนใหญ่อันเป็นฐานของกลุ่มความเชื่อนี้คือคนชนชั้นกลาง-ชนชั้นสูงที่มีการศึกษาค่อนข้างดีในสังคม
ไม่เอาวัคซีน

โรคฝีดาษ (smallpox)
การปฏิเสธวัคซีนไม่ใช่เรื่องใหม่ และมีแง่มุมในเชิงประวัติศาสตร์น่าสนใจมาอย่างยาวนาน ย้อนไปได้ถึงต้นศตวรรษที่ 19 ขณะที่โรคฝีดาษ (smallpox) กำลังระบาดหนักและสังหารคนทั่วโลกไปมาก โดยผู้ป่วย 3 ใน 10 ที่ติดเชื้อมักไม่รอด ในปี 1796 แพทย์ชาวอังกฤษ Edward Jenner สามารถพัฒนาวัคซีนฝีดาษตัวแรกได้สำเร็จ โดยทำจากไวรัสชื่อ vaccinia เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในวัวที่ยังมีชีวิต แต่เอามาทำให้มันอ่อนแรงลง จากนั้นถึงทำการฉีดในมนุษย์ หรือที่เรียกว่า ‘ปลูกฝี’ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่อาจทำให้รู้สึกป่วยบ้างเล็กน้อย แต่จะมีภูมิต้านทานในภายหลัง ยิ่งมีคนในสังคมปลูกฝีมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยกำจัดวงระบาดของโรคให้แคบลงๆ จนโรคฝีดาษไม่มีที่ไปและหายสาบสูญในที่สุด

Edward Jenner ขณะปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคฝีดาษ
จากนั้นวัคซีนตัวนี้ถูกขนส่งข้ามน้ำข้ามทะเลไป New England สหรัฐอเมริกา ในปี 1800 และกระจายต่อไปตามหัวเมืองหลัก จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาออกกฎหมายบังคับใช้ให้ประชาชนทุกคนต้องเข้ารับวัคซีนอย่างจริงจังเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดขณะนั้น
อย่างไรก็ตามคนชนชั้นกลางบางกลุ่มกลับไม่เห็นด้วยต่อกฎหมายนี้ พวกเขาไม่เชื่อใจรัฐ ไม่ไว้วางใจวิทยาศาสตร์และยาตัวใหม่ คนส่วนใหญ่ในสังคมยังยึดติดการรักษาด้วยวิธีโบราณอยู่ เช่น หมอในยุคนั้นยังรักษาด้วยการหลั่งเลือด (bloodletting) ใช้ทากดูดบาดแผล ใช้ยาผีบอกขนานเดียวรักษาทุกอย่าง ครอบจักรวาลตั้งแต่สิวยันโรคลมชัก
แพทย์นายหนึ่งในบอสตัน ชื่อว่า Immanuel Pfeiffer ไม่เชื่อกลไกการทำงานของวัคซีน เขาเชื่อว่าคนที่มีสุขภาพดียังไงก็ไม่มีทางติดโรคฝีดาษอย่างแน่นอน การให้วัคซีนจึงไม่มีความจำเป็นเอาเสียเลย เขาจึงท้าทายโดยไปคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคฝีดาษในโรงพยาบาลบนเกาะ Gallops Island ของบอสตัน ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่ฝีดาษชุกชุมที่สุด
ผลปรากฏว่า Immanuel Pfeiffer ติดโรคฝีดาษมาเต็มๆ จนเกือบเอาตัวเองไม่รอด! เขานอนรับการรักษาอยู่ 3 เดือน แต่เมื่อหายดีแล้วก็ยังไม่เชื่อการให้วัคซีนอยู่ดี (ดื้อทีเดียว)

ข่าว Immanuel Pfeiffer ท้าทายวัคซีน เพราะเชื่อว่าคนมีสุขภาพดีไม่มีทางติดโรคฝีดาษ
นอกจากนั้น นักเคลื่อนไหวทางสังคมคนสำคัญ Lora Little กล่าวหาว่า การที่รัฐออกกฎหมายบังคับฉีดวัคซีนถือเป็นการพราก ‘สิทธิและเสรี’ ของประชาชน โดยเธอใช้ข้ออ้างกรณีลูกชายวัย 7 ขวบที่เข้ารับการฉัดวัคซีน และเสียชีวิตในอีก 7 เดือนหลังจากนั้น โดยเธอเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ และกล่าวโทษวัคซีนว่าเป็นตัวการที่ทำให้ลูกชายเสียชีวิต
Lora Little มีอาชีพเป็น บรรณาธิการข่าวสำนักพิมพ์ The Liberator ที่มีอิทธิพลสูง เธอเขียนบทความโจมตีรัฐ การแพทย์สมัยใหม่ และวัคซีนหลายต่อหลายเรื่อง มีการตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี เพราะเธอมีลีลาการเขียนออกรสออกชาติ มีวาทศิลป์ที่ดีในการโน้มน้าวผู้คน
นอกจากในระดับ influencer ยังมีระดับองค์กรที่ต่อต้านวัคซีนอย่างจริงจังซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงพลัง นักธุรกิจใหญ่ William Tebb ยอมลงทุนก่อตั้งสมาคม Anti-Vaccination Society of America อย่างเป็นทางการในนิวยอร์กปี 1879 ตัวสมาคมมีสมาชิกนับพันๆ คน และมีเงินทุนสนับสนุนมากพอที่จะทำไฮด์ปาร์กทุกสัปดาห์ ออกหนังสือ แจกจ่ายแผ่นพับให้ผู้คนเห็นถึงพิษสงของวัคซีนที่รัฐและแพทย์พยายามเก็บงำความจริงไว้

แผ่นผับชวนเชื่อโจมตีการใช้วัคซีน
เมื่อมีสายป่านสนับสนุนที่แข็งแรง กลุ่มต่อต้านวัคซีนก็เริ่มออกเดินสายประท้วงไปตามรัฐต่างๆ ในขณะที่รัฐในอเมริการาว 50% ออกกฎหมายฉีดวัคซีนให้มีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง มันจึงเหมือนการเล่น ‘ชักเย่อทางอำนาจ’ ระหว่างรัฐและประชาชนโดยมีวัคซีนเป็นสื่อกลางแห่งความขัดแย้ง
การต่อสู้ทางความเชื่อดำเนินยาวนาน มีแผ่วเบาบ้างแรงบ้างเป็นระลอกตลอด 100 ปี แต่กลับไม่เคยจางหายไปจากสังคมอเมริกัน และได้แพร่กระจายไปในหลายประเทศ จนกระทั่งปี 1982 กระแสกลับถูกจุดขึ้นอีกครั้งด้วยรายการสารคดีชื่อ DPT: Vaccine Roulette ที่ออกอากาศในสหรัฐอเมริกา เล่าเรื่องและวิพากษ์วิจารณ์วัคซีนที่ใช้รักษาโรค 3 ชนิด คือ โรคคอตีบ (diphtheria) โรคไอกรน (pertussis) และโรคบาดทะยัก (tetanus) ได้อย่างถึงพริกถึงขิง เรียบเรียงได้น่าติดตามตื่นเต้น สารคดีสัมภาษณ์บรรดาแม่ๆ ที่พาลูกๆ ไปฉีดวัคซีนแล้วรู้สึกว่าลูกหลานมีอาการผิดปกติ สารคดีชุดนี้ได้รางวัล Emmy Award จากลีลานำเสนอที่น่าติดตาม แต่บรรดาแพทย์กลับหัวร้อน ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของสารคดี และออกมาแสดงความคิดเห็นว่า สารคดีดังกล่าวอ้างเกินความจริงและใส่สีตีไข่ บิดเบือนข้อมูลให้น่ากลัว

Medical vials and Syringe, Isolated on Blue background
อีกเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดพีคสำคัญที่ลัทธินี้ใช้อ้างจวบจนปัจจุบัน และมีคนจำนวนมากเชื่อจริงๆ จังๆ คือเรื่อง ‘วัคซีนทำให้เป็นออทิสติก’ โดยมีมูลมาจากแพทย์ Andrew Wakefield ติดพิมพ์บทความวิจัยในวารสาร The Lancet ปี 1998 ระบุว่า
วัคซีน MMR ที่ใช้สำหรับสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ถือเป็นวัคซีน ‘เข็มแรก’ ที่ฉีดให้กับเด็กอายุ 12-15 เดือนนั้นมีอิทธิพลเชื่อมโยงทำให้เกิดภาวะออทิสซึมในเด็ก เปเปอร์ชิ้นนี้ถูกวิพากษ์อย่างเผ็ดร้อนในแวดวงวิชาการ จนถูกถอดทอนออก แต่เมื่อวิจัยได้ตีพิมพ์ไปแล้ว ลัทธิต่อต้านวัคซีนยังใช้งานวิจัยนี้ในการอ้างถึงภัยวัคซีนจวบจนปัจจุบัน
ความกลัวมีเวลาเดินทางและบ่มเพาะมาอย่างยาวนาน เรามีชีวิตที่ปลอดภัยขึ้นจากโรคร้ายที่ได้หายสาบสูญไปแล้ว ที่เป็นแบบนั้นได้ก็เพราะการบังคับใช้วัคซีนและความก้าวหน้าด้านแพทย์สมัยใหม่ที่พยายามพัฒนาวัคซีนให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
แต่ความกลัวในสังคมยังคงระอุอยู่ราวถ่านใต้ไฟ ลัทธิต่อต้านวัคซีนจึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างอันเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ระหว่างประชาชนและอำนาจรัฐที่นำมาความเสี่ยงมาสู่สวัสดิภาพสังคม
อ้างอิงข้อมูลจาก
- The Anti-vaccination Movement: A Regression in Modern Medicine Cureus. 2018 Jul; 10(7): e2919. Published online 2018 Jul 3. doi:
www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6122668/
- Deadly Choices: How the Anti-Vaccine Movement Threatens Us All
www.amazon.com/Deadly-Choices-Anti-Vaccine-Movement-Threatens/dp/0465029620
- History of Anti-vaccination Movements
www.historyofvaccines.org/content/articles/history-anti-vaccination-movements