ชีวิตยังจะเป็น ‘ชีวิต’ ตามที่เราเข้าใจอยู่ไหม เมื่อความก้าวหน้าด้านการเจริญพันธุ์กำลังเปิดประตูชีวิตใหม่โดยสร้าง “ทารกแห่งอนาคต” ที่ไม่ต้องพึ่งพาไข่ สเปิร์ม และไม่ต้องการครรภ์มารดาใดๆ เพื่ออุ้มท้อง นวัตกรรมทางการแพทย์ที่กระโจนอย่างน่าตื่นตะลึงนี้จะปฏิวัติการทำ ‘เด็กหลอดแก้ว IVF’ ที่เคยทำสำเร็จเมื่อ 40 ปีก่อนให้ไปไกลกว่าเดิมอย่างไร เมื่อมนุษย์รุ่นต่อไปอาจต้องการเพียง ‘ผิวหนัง’ ของคุณ
ความบังเอิญในห้องทดลอง
ยังไม่มีใครในมหาวิทยาลัย University of Michigan คิดถึงเทคโนโลยีพัฒนาตัวอ่อนของมนุษย์ ทีมวิจัยหลักกำลังวุ่นวายติดพันโครงการอื่นอยู่ จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง นักวิจัยด้านวิศวกรรมการแพทย์ Yue Shao (ปัจจุบันทำงานอยู่ที่สถาบัน MIT) พบว่าเซลล์ที่เขากำลังทดลองมีลักษณะแปลกประหลาด เซลล์ผิวหนัง (Skin cells) เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างหน้าตาคล้ายตัวอ่อนมนุษย์ในระยะแรกเริ่มเสียเหลือเกิน
วินาทีนั้นเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เซลล์ผิวหนังที่เขาทดลอง สามารถนำไปสู่อะไรที่น่าตื่นตากว่าที่ทำอยู่ อาจเป็นกุญแจสร้างสิ่งมีชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาผลผลิตแห่งวิวัฒนาการสืบพันธุ์ที่ตกทอดมานานกว่า 530 ล้านปี ชีวิตใหม่ที่ไม่ถูกขีดจำกัดตีกรอบไว้จากวิวัฒนาการ
แต่ Yue Shao ไม่ใช่นักวิจัยคนแรกที่พบกลไกนี้ เพราะทีมนักวิจัยของญี่ปุ่นสามารถให้กำเนิดลูกหนูทดลอง โดยใช้ไข่ที่ดัดแปลงมาจาก ‘เซลล์ผิวหนัง’ (Skin cells) ของหนูเต็มวัยได้สำเร็จ การค้นพบเช่นนี้แก้ปัญหากลไกชีววิทยาการสืบพันธุ์ที่เราติดค้างเป็นเวลานาน เหมือนได้เปิดกล่องดำเพื่อดูกลไกสร้างชีวิตแรกเริ่ม ในช่วงเวลาที่บอบบางและละเอียดลออที่สุดของชีวิตนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมมันถึงยังล้มเหลวได้ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากทุกวันนี้ปัญหาสุขภาพ การตั้งครรภ์ และการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติล้วนเกิดขึ้นได้ยาก มีปัจจัยขัดขวางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำให้เกิดภาวะเป็นหมันทั้งชายหญิง โรคทางพันธุกรรมแอบแฝงที่ทำให้ทารกไม่สามารถออกมาดูโลกได้อย่างสมบูรณ์
หรือพูดง่ายๆ พวกเรามีลูกยากมากขึ้นทุกวัน
ย้อนไปเมื่อ 40 ปีที่แล้วนวัตกรรมทำเด็กหลอดแก้ว In Vitro Fertilization (IVF) ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านประชากรถือเป็นการปฏิวัติวงการแพทย์ครั้งสำคัญ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินไว้ว่า การปฏิวัติเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า ซึ่งอาจแปลกประหลาดกว่าล้ำกว่า คุณลองจินตนาการถึงการสร้างเด็กทารกสักคนที่อาศัยเพียงเซลล์ผิวหนังเท่านั้น ไม่ต้องใช้ไข่หรือสเปิร์มของพวกเราเลย
การอุบัติของ ‘มนุษย์เทียม’ (artificial human) จึงอาจไม่ใช่สิ่งไกลไปจากความฝัน แม้คุณจะไม่ค่อยโอเคกับเงื่อนไขทางจริยธรรมก็ตาม แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป ‘ก็ไม่แน่’ สังคมเองอาจเปิดใจขึ้นมากเรื่อยๆ
เทคโนโลยีเด็กหลอดแก้ว IVF ผ่านการทดสอบจากกาลเวลามานานกว่า 40 ปี ปัจจุบันเด็กหลอดแก้วในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย มีสัดส่วนมากถึง 1.5 เปอร์เซ็นต์จากเด็กที่เกิดใหม่ทั้งหมด จึงถือได้ว่าชีวิตที่ไม่ได้ปฏิสนธิในร่างกายดูจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย แต่ IVF เองยังมีอุปสรรคที่ความไม่แน่นอน (unreliable) อยู่อีกมาก เนื่องจากต้องการไข่ (eggs) ของแม่และสเปิร์ม (sperm) ของพ่อในการตั้งต้น แต่ปัญหาคือไข่และสเปิร์มเองก็ยังไม่ใช่เซลล์ที่มาจากร่างกายที่ครบถ้วนอยู่ดี
ดังนั้นงานวิจัยก่อนหน้าของ Mitinori Saitou จากมหาวิทยาลัยเกียวโต จึงนำเซลล์ผิวหนัง (Skin cell) มาโปรแกรมเสียใหม่ให้เป็นเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) ที่มีศักยภาพดัดแปลงเป็นเซลล์อะไรก็ได้ โดยเปลี่ยนให้เป็นไข่หรือสเปิร์ม ในปี 2016 ทีมวิจัยใช้เทคนิคนี้ในการสร้างลูกหนูจำนวน 8 ตัวที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง จนจัดว่าเป็น ‘หนูเทียมไฮเทค’ ที่ทั้งคอกมาจากเซลล์ผิวหนังหนูตัวโตเต็มวัย
ก้าวต่อไปจึงอาจไม่ใช่แค่หนู ในปี 2017 นักวิจัย Azim Surani จากสถาบัน Gurdon Institute พยายามเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดที่จะแบ่งสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (Primodial Germ Cell) ที่จัดเป็นเซลล์สำคัญมาก ก่อนจะพัฒนามาเป็นไข่และสเปิร์มได้สำเร็จในช่วง 4 สัปดาห์แรก ซึ่งต่อไปพวกเขาตั้งความหวังไว้ว่าจะเลี้ยงให้ถึง 8 สัปดาห์ จนเซลล์ดังกล่าวพัฒนาเป็นสเปิร์มและไข่ที่สมบูรณ์
กระบวนการนี้จะทำให้พ่อแม่ที่เป็นหมัน ไม่ว่าพวกเขาจะมีไข่ที่ไม่สมบูรณ์ มีสเปิร์มที่ไม่แข็งแรง สามารถมีลูกได้โดยใช้เซลล์ผิวหนังของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตามไอเดียนี้เป็น ‘ความหวังที่น่าตื่นเต้น’ แต่ยังต้องทดลองอีกมากมาย
Werner Neuhausser นักชีววิทยาด้านสเต็มเซลล์จาก Harvard University เคยออกความเห็นว่า กระบวนการนำเซลล์ผิวหนังยังต้องค้นหาวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เพราะผิวหนังของมนุษย์เองมีอยู่หลายชั้น คำถามคือจะใช้ชั้นไหนที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำที่สุด ซึ่งมีคำถามเชิงเทคนิคอีกเป็นพันๆ ข้อที่ต้องตอบให้แจ่มแจ้ง กว่าจะมาลงเอยที่คำถามเชิงจริยธรรมทางสังคม
ถ้าเป็นการวิ่งมาราธอน นวัตกรรมนี้ออกวิ่งมาเพียง 10 ก้าวเท่านั้น แต่เป็นก้าวที่อัดสปีดเต็มที่อย่างไม่ต้องสงสัย
ล่าสุดนักวิจัยจาก University of Edinburgh สามารถเลี้ยงไข่ของมนุษย์จากเซลล์ต้นกำเนิดจากรังไข่ที่ถูกตัดออกของคนไข้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็ง พวกเขาใช้เทคนิคนี้เนื่องจากผู้ป่วยต้องตัดรังไข่ทิ้งจากกระบวนการรักษา แม้จะไม่มีรังไข่ในตัวแล้ว ทีมวิจัยก็ยังสามารถเลี้ยงไข่ (egg) ของผู้ป่วยในห้องทดลองต่อได้อย่างน่ามหัศจรรย์ จนเรียกว่าเป็น IVF ยุคสมัยใหม่ (Next-Generation IVF) ที่น่าตื่นตา
คุณลองนึกภาพยุคต่อไปที่พ่อแม่สามารถนัดกับแพทย์ที่คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก แม้พวกเขาจะมีไข่และสเปิร์มที่ไม่สมบูรณ์ แพทย์จะเปลี่ยนไปใช้ผิวหนังของพวกเขาเพื่อนำไปทำสเต็มเซลล์ หลังจากตรวจพันธุกรรมเรียบร้อยแล้ว พ่อและแม่มีสิทธิเลือกหน่วยพันธุกรรมของตัวเองที่จะส่งต่อไปให้กับตัวอ่อน บอกลาการทำ IVF แบบเดิมๆ ที่เจ็บปวดและรุกรานร่างกาย เซลล์ต้นกำเนิดของสเปิร์มและไข่จะมีข้อมูลของทั้งพ่อและแม่ ซึ่งกรณีนี้รวมไปถึงครอบครัวที่มีความสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันด้วย
แนวคิดอาจฟังดูง่ายเหมือนชี้นิ้วจิ้ม แต่คำถามเชิงจริยธรรมยาวเหยียดจะตามมา แม้กระบวนการดังกล่าวจะลดความเสี่ยงจากโรคทางพันธุกรรมได้ เพราะคุณมีสิทธิรู้ว่ายีนไหนที่จะก่อโรคและจะไม่ส่งต่อไปให้ลูก แต่ปัญหาการเลือกเพศ (sex selection) ที่ทำให้เกิดอคติทางเพศในสังคมมีสัดส่วนเพศต่างๆ ไม่สมดุล การพยายามคัดสรรยีนที่มีผลต่อ IQ จะทำให้เราสามารถสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเกินไป Too good to be true หรือไม่จากนวัตกรรมดังกล่าว
กลับมาสู่งานวิจัยที่ขณะนี้หลายสถาบันสามารถเลี้ยงเซลล์ผิวหนังในเวลา 5 วัน แต่เริ่มมีเค้าโครงของเอ็มบริออยด์บอดี้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุราว 2 สัปดาห์ ซึ่งกระบวนการนี้สามารถย่นระยะเวลาการสร้างตัวอ่อนได้และไม่จำเป็นต้องฝากเลี้ยงในครรภ์จริง แต่เลี้ยงในครรภ์เสมือน (artificial womb) ที่ออกแบบเลียนแบบธรรมชาติ
แม้ใครๆ จะคิดไปไกลแล้ว แต่ยังไม่มีสถาบันไหนสามารถเลี้ยงตัวอ่อนได้เกิน 2 สัปดาห์ เนื่องจาก ‘กฎ14วัน’ (14-day rule) อันเป็นกฎหมายเด็ดขาดระดับนานาชาติว่าด้วยข้อบังคับการทดลองตัวอ่อนมนุษย์ที่ต้องทำลายภายใน 14 วันเพื่อไม่ให้พัฒนากลายเป็นสิ่งมีชีวิต (being) อันถือว่าผิดหลักจริยธรรม นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามใช้ 14 วันนี้ในการทดลองให้เกิดความแตกต่างมากที่สุด
ย้อนไปตั้งแต่การทำเด็กหลอดแก้ว IVF ครั้งแรกในปี 1978 ลูอีซ บราวน์ (Louise Brown) เป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดจากการทำ IVF ปัจจุบันเธอมีอายุ 39 ปี แต่ในยุคนั้นเธอกลับถูกเรียกว่า ‘อมนุษย์’ ด้วยกระบวนการผิดธรรมชาติ แต่เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป ลูอีซ บราวน์กลับไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปเลย และทุกวันนี้มีเด็ก IVF แบบลูอีซ บรานด์ ถึง 7 ล้านคนที่อยู่ในสังคมที่ไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ที่เกิดตามธรรมชาติ
โลกอาจเจอปัญหาที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต เมื่อมนุษยชาติเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ สงครามนิวเคลียร์ หรือการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพใดๆ ที่ทำให้เราสืบทอดทายาทไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หากวิกฤตการสืบเผ่าพันธุ์มาถึง เราจำเป็นจะต้องใช้มันแค่ไหน หากในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปได้
การถกเถียงที่ร้อนแรงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน อาจถึงเวลาที่คุณจะต้องมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะสร้างชีวิตต่อไปอย่างไร คุณจะอนุญาตให้ชีวิตเป็นของคุณเองหรือเป็นของเด็กรุ่นต่อไปแค่ไหน หากทุกสิ่งล้วนตัดสินใจได้ตั้งแต่เริ่ม
อ้างอิงข้อมูลจาก
- Offspring from oocytes derived from in vitro primordial germ cell-like cells in mice. 2012 Nov 16;338(6109):971-5. doi: 10.1126/science
www.ncbi.nlm.nih.gov - Reconstitution in vitro of the entire cycle of the mouse female germ line Nature volume 539, pages 299–303 (10 November 2016) doi:10.1038/nature20104
www.nature.com - Researchers produce viable sperm from mice stem cells
www.ctvnews.ca