‘ทฤษฎีวิวัฒนาการ’ ถือเป็นรากฐานของวิชาชีววิทยา เมื่อทุกองค์ความรู้ภายในศาสตร์นี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘การคัดเลือกโดยธรรมชาติ’ (Natural Selection) อันเป็นแนวคิดสำคัญของทฤษฎีดังกล่าว เพราะทุกสิ่งมีชีวิตที่พวกเรารู้จักในทุกวันนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เพื่อให้สามารถดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ภายใต้สิ่งแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตอย่าง ‘มนุษย์’ เองก็ไม่อาจแหกกฎเกณฑ์ทางธรรมชาตินี้ได้
ภาพที่เรามักเห็นเวลามีคนพูดถึงเรื่องวิวัฒนาการ คงหนีไม่พ้นภาพการเรียงแถวของลิงที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนสองขา และกลายเป็นคนที่ปลายแถว ซึ่งรูปนี้มีชื่อว่า ‘The March of Progress’ วาดโดยศิลปินชาวอเมริกันชื่อ รูดอล์ฟ แซลลิงเจอร์ (Rudolph Zallinger) ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือ Early Man เมื่อปี 1965 เพราะภาพนี้โด่งดังมาก และถูกนำไปดัดแปลงล้อเลียนบ่อยจนคนคุ้นตา แต่รูปดังกล่าวถือเป็นรูปที่อธิบายภาพวิวัฒนาการง่ายเกินไป เพราะภาพการเรียงแถวอันเป็นเอกลักษณ์นี้กลับกลายเป็นเรื่องชวนเข้าใจผิด ที่ทำให้หลายคนคิดว่า ‘ลิงวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์’ แต่ความจริงแล้ว เรื่องราวมันไม่ใช่แบบนั้น

เมื่อแท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับลิงนั้นเป็นเหมือนกับลูกพี่ลูกน้องเสียมากกว่า หมายถึงว่าเราอาจไม่ได้เป็นญาติใกล้ชิดกันมาก หน้าตาก็ไม่ได้คล้ายกันเหมือนในความสัมพันธ์แม่และลูก แต่ถ้านับสายตระกูลย้อนไป เรากลับมีบรรพบุรุษร่วมกัน คล้ายกับที่การนับญาติของลูกพี่ลูกน้อง ที่แม้จะไม่ได้มีพ่อแม่เดียวกัน แต่ก็อาจจะมีปู่-ย่า หรือตา-ยาย ร่วมกันก็ได้เมื่อนับสายตระกูล
การมีบรรพบุรุษร่วมกันของมนุษย์กับลิง จึงไม่อาจทำให้ลิงในปัจจุบันวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเราได้ เพราะในสายวิวัฒนาการ รุ่นของสิ่งมีชีวิตบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตคล้ายลิงและสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แยกเส้นทางกัน รูปแบบการเปลี่ยนแปลงลักษณะจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติก็ต่างกัน ลักษณะของมนุษย์กับลิงจึงต่างกัน
เมื่อเล่าแบบนี้ หลายคนคงสงสัยว่า แล้วมนุษย์คนแรกเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร เกิดขึ้นมาตอนไหน และมีหน้าตาคล้ายลิงหรือเปล่า ซึ่งคำตอบสั้นๆ ของทุกคำถามคือ ‘เราไม่รู้ว่ามนุษย์คนแรกคือใคร หน้าตาแบบไหน หรือเกิดขึ้นเมื่อไหร่’
ริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) นักชีววิทยาและนักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ เคยอธิบายว่าทำไมเราถึงไม่สามารถรู้ได้ว่ามนุษย์คนแรกหน้าตาเป็นอย่างไรผ่านวิธีคิดในหนังสือ The Ancestor’s Tale: A Pilgrimage to the Dawn of Life โดยเล่าว่า ถ้าหากเราพามนุษย์มาจับมือกันเป็นสายโซ่ยาวเหยียด โดยด้านหนึ่งจะจับมือกับรุ่นพ่อแม่เท่านั้น ส่วนอีกด้านหนึ่งจะจับมือกับรุ่นลูกเท่านั้น เราอาจจะเห็นว่ามนุษย์คนที่เราอ้างอิงมีหน้าตาคล้ายกับรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูกที่ยืนข้างๆ กัน หรืออาจจะเหมือนกับคนที่ยืนห่างกันไป 100 เมตรด้วย แต่ถ้าหากเทียบมนุษย์คนเดิม กับบรรพบุรุษที่ยืนต่อแถวห่างไปหลายกิโลเมตร คุณอาจจะเห็นบรรพบุรุษนั้นมีหน้าตาที่ต่างจากมนุษย์คนที่เราอ้างอิงโดยสิ้นเชิงก็ได้

ประเด็นที่ ริชาร์ด ดอว์กินส์ อธิบายไว้หมายความว่า การคัดเลือกโดยธรรมชาติทำให้ลักษณะของเราที่ถูกส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลานมีการเปลี่ยนไปทีละน้อยจนไม่อาจสังเกตได้ เราจำเป็นต้องมองในภาพใหญ่ถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เพราะถ้าดูในสายตระกูลที่ใกล้กัน เราของไม่บอกว่าพ่อแม่ของเราเป็นลิง แล้วแม่ลิงคลอดเราออกมาเป็นคน และคงไม่มีใครคิดแบบนั้น เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะนับใครในสายโซ่มนุษย์ยาวเหยียดนี้เป็นมนุษย์คนแรก
แต่ถึงอย่างนั้น ฟอสซิลของบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงว่ามีความใกล้เคียงกับมนุษย์เป็นชนิดแรกๆ ก็คือ ‘ออสตราโลพิเทคัส (Australopithecus)’ ที่หลายคนรู้จักในชื่อเล่นว่า ‘ป้าลูซี่’ โดยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีลักษณะคล้ายลิง มีขนาดใกล้เคียงชิมแปนซี และเดินสองขาคล้ายมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกๆ ที่เดินสองขาได้ แม้ว่าสมองจะยังไม่ได้พัฒนาให้มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนแบบมนุษย์ เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เริ่มเดินสองขาได้ก่อนที่จะพัฒนาสมองให้มีความฉลาด ซึ่งจะเห็นว่าลักษณะของบรรพบุรุษเราในทางชีววิทยา ไม่ได้เหมือนมนุษย์เราเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ได้เหมือนลิงเช่นกัน

แม้วิวัฒนาการจะดูไม่ใช่หลักการที่เข้าใจยาก แต่กลับมีความซับซ้อน ไม่ได้ดำเนินไปเป็นเส้นตรง เพราะวิวัฒนาการดำเนินไปพร้อมการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของสิ่งแวดล้อมโลก เนื่องจากโลกเป็นดาวที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งการปะทุของภูเขาไฟ การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก อุณหภูมิที่เปลี่ยนไป รวมถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอีกหลายอย่างที่เป็นทั้งอุปสรรคในการเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิต และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ จนลักษณะร่างกายทั้งภายนอกและภายในเปลี่ยนไป ซึ่งตรงกับแนวคิดการคัดเลือกโดยธรรมชาตินั่นเอง
ถึงแม้ว่าลิง อาจจะไม่ได้วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ แต่ทั้งลิงและมนุษย์นั้นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของตัวเองไปทีละน้อยภายใต้การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ถ้าเรามีอายุอีกสักสิบล้านปี เราอาจเห็นทายาทของลิงหรือมนุษย์ ที่มีลักษณะหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปแบบที่เราคาดไม่ถึงก็ได้
เพราะฉะนั้นถ้ามองย้อนมายังมุมมองของคนในสังคมเรา ภาพการเรียงแถวของลิงและมนุษย์อย่าง The March of Progress ก็อาจจะไม่ได้ถูกตีความเป็นเส้นตรงจากความเข้าใจผิดเท่านั้น แต่อาจจะมาจากการตีความเพื่อให้เห็นว่า มนุษย์เป็นจุดมุ่งหมายทางวิวัฒนาการที่สูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างลิง
แม้ในความเป็นจริงแล้ว วิทยาศาสตร์สอนให้มนุษย์ถ่อมตนกว่านั้น เพราะวิวัฒนาการนั้นไม่ใช่การแข่งขันเอาชนะใครเพื่อไปยังจุดสูงสุด แต่กลับเป็นการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในธรรมชาติอย่างไร เพื่อให้เผ่าพันธุ์ตัวเองดำรงต่อไปได้อย่างมีความสุข ซึ่งนั่นทำให้มนุษย์เราเห็นอกเห็นใจสิ่งมีชีวิตอื่นมากกว่าจะแบ่งแยกและลดทอนคุณค่าของพวกเขา
อ้างอิงจาก