ช่วงนี้การแข่งขันบาสเกตบอล NBA กำลังเข้มข้นขับเคี่ยวในช่วง playoffs เมื่อเช้ามีโอกาสได้นั่งดูแว้บหนึ่งเป็นจังหวะที่ LeBorn James เลี้ยงลูกดึงผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามมาสองคน ก่อนม้วนตัวส่งบอลเด้งพื้นไปให้เพื่อนที่อยู่ตรงขอบเส้นสามคะแนน ชู้ตเข้าไปอย่างสวยงาม ทีม Cleaveland กลับมาเอาชนะ 119-114 หลังจากที่ตามอยู่ 26 แต้มในช่วงพักครึ่ง เป็นการ comeback ด้วยสกอร์ที่ห่างที่สุดในประวัติศาสตร์ของ playoffs
วิธีการเล่นของ LeBorn ทำให้คิดถึง Michael Jordan อยู่ไม่น้อย
เพราะนอกจากความสามารถเฉพาะตัวของเจ้าของฉายา ‘Air Jordan’ ที่ถือว่าเก่งจนเป็นระดับตำนานของบาสเกตบอลแล้ว คุณลักษณะอีกอย่างที่ผมชอบมากในคือเขาเป็น ‘Team Player’ ไม่ใช่นักกีฬาฉายเดี่ยวที่มุ่งหวังแต่สร้างผลงานให้ตัวเอง ไม่ได้หวงบอลเลี้ยงเดี่ยว วิ่งฝ่าวงล้อมคู่แข่งเพื่อทำแต้มด้วยตัวเอง แต่มักสร้างโอกาสให้กับทีมอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีช่องว่างที่ทำได้เขาก็ทำ ถ้าไม่ได้ก็คอยดึงคู่แข่งมาทีละคนสองคนแล้วส่งบอลให้เพื่อนทำแต้มแทน
เขาเห็นความสำเร็จของทีมมาก่อนเสมอ
ตอนนั้นเองที่คำพูดของ ไรอัน เจ้านายเก่าที่ไมโครซอฟท์ดังขึ้นมาในหัว เสียงของเขายังชัดเจนจนทำให้ผมย้อนคิดกลับไปถึงวันแรกๆ ที่เริ่มทำงานที่บริษัทแห่งนั้นอีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนทั้งทัศนคติและเป้าหมายในการทำงานเลยทีเดียว
ผมเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรงร้อนวิชา พอมีโปรเจ็กต์ใหม่ที่ถูกเสนอขึ้นมา ผมรีบยกมือกระโดดร่วมวงขอเป็นส่วนหนึ่งของงานชิ้นนั้นทันที ไม่สนหรอกว่าตัวเองภาระเต็มหน้าตักมากแค่ไหน จากมุมมองจากภายนอกดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ดี ขยันทำงาน ไม่ต้องรอให้สั่งก็อาสาลงแรง แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้วมันผิดถนัด
ผมจะอธิบายให้ฟังว่าทำไม
ลองมองภาพใหญ่กันก่อนว่าที่นี่คือไมโครซอฟท์ ถ้า NBA เป็นลีกบาสเกตบอลที่เต็มไปด้วยนักบาสฯที่ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา ไมโครซอฟท์ก็เป็นลีกของ Software Programming ของเหล่าเนิร์ดที่มีความสามารถมากในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน และสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับความสามารถระดับนี้คือความมั่นใจในตัวเองที่สูงระดับยอดเขาเอเวอร์เรส (โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานแบบเป็นทีมอย่างจริงจัง) เพราะฉะนั้นจะไม่แปลกเลยถ้าโปรเจ็กต์จะล่าช้าเมื่อทีมไหนก็ตามที่ได้ร่วมทำงานกับเด็กที่จบใหม่ (เช่นผมในตอนนั้น) ไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถหรอกนะครับ แต่เพราะเรามีความมั่นใจมากเกินความพอดี อยากโชว์ออฟให้คนอื่นรู้ว่า “เฮ้ย กูไม่ใช่ขี้ๆ นะเว้ย” เป็นนักเลงท้ายซอยเสียงดังที่ยังไม่รู้อาณาเขตของตัวเองเลยไปเยี่ยวรดมันทุกเสาไฟฟ้า (นั้นมันน้องหมาแล้ว!)
อีกอย่างหนึ่งคือผมเติบโตมาในวัฒนธรรมไทยที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม คุ้นชินกับสังคมที่ต้องพึ่งพาตัวเอง ทะเยอทะยาน ใครดีใครได้ ต้องสร้างผลงานเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ คือสรุปง่ายๆ ว่าผมยกมือขอมีส่วนร่วมเพราะอยากบรรลุเป้าหมายของตนเอง ซึ่งก็คือการได้ความเคารพจากคนอื่นๆ ว่าเรามีความสามารถ มีผลงานที่เอาไว้คุยโตโอ้อวดได้ แต่นั้นแหละครับที่ผิด!
หลังจากที่รับงานเข้าตัวมาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ในที่สุดปัญหาก็เกิดขึ้น
มันเริ่มจากเวลาทำงานอันจำกัดในแต่ละวัน ผมต้องเข้ามาทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อนั่งอ่านและตอบอีเมล ถึงแม้จะพยายามออร์แกไนซ์อีเมลจากโปรเจ็กต์นับสิบที่กำลังทำอยู่ให้เป็นโฟลเดอร์ แต่พอมันกองทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ หลายสิบหลายร้อยฉบับตั้งแต่เมื่อวาน จากวันก่อนหน้านั้น จากอาทิตย์ก่อนอีก นั่งอ่านนั่งตอบเมลพวกนี้ยังไม่เสร็จดี รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาการประชุมทีมระหว่างวันตอนเก้าโมงซะแล้ว
ช่วงนี้คือการอัพเดตสถานะงานของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ แรกๆ มันก็ฟังดูดีอยู่หรอกที่มีงานหลายชิ้นให้พูดถึง มันเหมือนเป็นการคุยอวดว่าตัวเองนั้นมีส่วนร่วมกับงานมากขนาดไหน แต่พอผ่านไปสักสองสามอาทิตย์ งานในหัวเริ่มตีกันไปหมด จำผิดจำถูกว่าอันไหนทำไปแล้วบ้าง งานที่ค้างอยู่คืออะไร เมื่อวานทำอะไรไปบ้างก็ยังลืม ชีวิตเริ่มโกลาหล
ระหว่างวันผมนั่งเขียนโปรแกรมอย่างรีบเร่งเพราะงานที่รออยู่มีอีกเยอะมาก เสร็จจากโปรเจ็กต์นี้ต้องรีบเปลี่ยนโหมดไปอีกโปรเจ็กต์หนึ่ง แล้วบางครั้งภาษาคอมพิวเตอร์ที่เขียนก็ไม่เหมือนกัน ก็ต้องกลับมานั่งคิดใหม่ว่าภาษานี้มี syntax ยังไง เดี๋ยวสักพักเพื่อนร่วมทีมจากอีกโปรเจ็กต์หนึ่งก็โทรมาบอกว่าเจอบักส์ตัวใหม่ต้องรีบแก้ไขด่วน ย้ายโปรเจ็กต์อีก ไปแก้ตรงนั้นเสร็จกลับมา อ้าว…ลืม…กูทำไปถึงไหนแล้ววะ? นั่งอ่านโค้ดใหม่ เริ่มต้นพิมพ์ไปได้นิดหนึ่ง notification มือถือเด้งขึ้นมาบอกว่าผมต้องเข้าประชุมในอีกห้านาที หอบแฟ้มเอกสารวิ่งขึ้นไปห้องประชุม อ้าว…หยิบเอกสารมาผิดงานอีก ต้องไปยืมอ่านของคนข้างๆบ้าง หลายต่อหลายครั้งนั่งอ้าปากหวอไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรกันอยู่ เพราะยังไม่ทันได้อ่านอีเมลที่ค้างในอินบ็อกซ์ ยกมือถามก็มีหวังโดนโวยแน่นอน โอ๊ยยยย…ชีวิตบัดซบมาก
ยังครับ…ยังไม่หมด ผมยังพยายามเอาความถึกเข้าชนและทำงานให้หนักยิ่งกว่าเดิม โดยเชื่อในคำคมที่ว่า ‘งานหนักไม่เคยฆ่าใคร’
ผิดอีกเหมือนกัน หลังจากที่โหมงานหลับตีหนึ่งตื่นตีห้าได้อีกสองอาทิตย์โดยไม่มีวันหยุด คืนวันจันทร์ระหว่างที่พิมพ์งานอยู่บนเตียง หนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างกายชัตดาวน์โลกดับมืด รู้ตัวอีกทีสะดุ้งตื่นตอนได้ยินเสียงโครมครามทุบประตูอพาร์ตเมนต์ ผมงัวเงียลุกขึ้นไปเปิด เพื่อนที่ทำงานชื่ออลันทำหน้าตาตกใจถามว่าผมไปไหนมา กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง สรุปว่าผมหลับข้ามวันอังคารไปเลยทั้งวันทั้งคืนและตื่นในเช้าวันพุธ วิ่งกลับไปดูมือถือ มีไม่รู้กี่ร้อยมิสคอลและหลายร้อยอีเมลที่กองถมเพิ่มขึ้นไปอีก
ในที่สุดไรอันก็เรียกผมไปนั่งคุย สไตล์ของเขาคือตั้งเป้าหมายของโปรเจ็กต์ไว้และวางกรอบไว้หลวมๆ ปล่อยให้ลูกทีมมีอิสระในการตัดสินใจในการทำงาน เหมือนเป็นพ่อที่ให้พื้นที่ลูกๆในการเติบโตโดยคอยดูอยู่ห่างๆ และพอเราเริ่มออกนอกลู่นอกทาง ก็จับมาเข้ามุมนั่งคุยกันแบบที่ผมเจอนั้นแหละ
เขาถามเรื่องสุขภาพของผมก่อนให้แน่ใจว่ายังโอเค หลังจากนั้นก็คุยเรื่องโปรเจ็กต์ต่างๆที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะตามงานไม่ทันแล้วในเวลานั้น เขาบอกว่าเริ่มเห็นปัญหานี้มาได้สักพัก แต่อยากปล่อยให้ผมลองแก้ไขด้วยตัวเองดูก่อน จนตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าถ้ายังไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย ผมคงมีโอกาสเข้าไปหยอดน้ำเกลือเล่นที่โรงพยาบาล แถมไม่พอยังจะทำโปรเจ็กต์ทั้งหลายของทีมล้มกันระเนระนาดอีกด้วย
เขาถามผมว่า “คุณชอบดูบาสเกตบอลไหม?” ผมตอบว่า “ชอบมาก เป็นแฟนตัวยงของ MJ”
เขาพูดต่อว่า “คุณเป็นคนเก่ง เรื่องนั้นผมพอรู้อยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่ตัดสินใจอยากได้คุณมาร่วมงานด้วย แต่ตอนนี้มันถึงเวลาที่คุณต้องถอยออกมาแล้วปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ช่วย เดี๋ยวผมจะให้คุณทำงานโปรเจ็กต์เดียวกับอลันก่อน แค่อันเดียวนี่แหละ ที่เหลือให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นช่วยกันทำ อย่างหนึ่งที่ผมอยากแนะนำเด็กจบใหม่ไฟแรงอย่างคุณในตอนนี้คือให้จำไว้ว่าอย่างหนึ่งว่า ธุรกิจนี้เต็มไปด้วยบริษัทที่มีแต่โปรแกรมเมอร์เก่งๆ ทั้งนั้น แต่รู้ไหมว่าทำไมบริษัทเหล่านี้ถึงไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมด?”
ผมนิ่งฟัง เขาเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ “เพราะหยดน้ำหยดเดียวไม่สามารถเป็นมหาสมุทรได้ Michael Jordan ไม่ได้เป็นแชมเปี้ยนเพราะเขาฉายเดี่ยวนะโสภณ เขารู้ว่าเมื่อไหร่คือจังหวะที่เข้าทำและเมื่อไหร่คือจังหวะที่ควรปล่อยให้เพื่อนทำ นี่แหละคือเคล็ดลับ พรสวรรค์อาจจะทำให้คุณเข้ามาอยู่ที่ไมโครซอฟท์ได้ แต่ทีมเวิร์กคือสิ่งที่จะทำให้คุณและบริษัทประสบความสำเร็จ”
หลังจากคุยกันวันนั้น ทัศนคติในการทำงานของผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด เริ่มเรียนรู้ที่จะทำในส่วนที่ตัวเองชำนาญอย่างเต็มที่ ไว้ใจและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่นมากยิ่งขึ้น มีบ้างที่ยังคงยกมือขอทำงานเพิ่ม แต่มีอลันกับไรอันที่คอยสอดส่องว่าจะมันไม่มากจนเกินไป ผลลัพธ์สุดท้ายคือทีมมีผลงานที่ยอดเยี่ยมและโปรเจ็กต์เสร็จก่อนกำหนดแทบทุกครั้ง
มันคล้ายเป็นเรื่องตลก เพราะยิ่งเราเห็นแก่ตัว ต้องการเลี้ยงเดี่ยวไปชู้ตบอลเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง เรากลับยิ่งล้มเหลวและพ่ายแพ้มากขึ้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพร้อมจะเสียสละ คิดและทำเป็นทีม รางวัลและชัยชนะจะย้อนกลับมาหาเอง ไม่ใช่แค่ในระดับบริษัทหรือทีมเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วมันสะท้อนกลับมาในระดับบุคคลว่าทุกคนทำงานได้ดีขนาดไหน