เทคโนโลยีในโลกของ Game of Thrones อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากหากเทียบกับซีรีส์เรื่องอื่นๆ เพราะในดินแดน Westeros ยังคงเป็นโลกในยุคโบราณที่ยังไม่มีมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมากนักตลอด 8,000 – 12,000 ปี หากเทียบเคียงระบบเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างโลก Game of Thrones กับโลกของเราก็น่าจะใกล้เคียงในช่วงยุคกลางของยุโรปช่วงศตวรรษที่ 5 ซึ่งจากนิยาย Game of Thrones เทคโนโลยีที่บุกเบิกมากๆ คือการมาเยือนของ ‘เหล็กกล้า’ (Steel) ที่ส่งต่อมาจากกลุ่มผู้บุกเบิก Andals ซึ่งยึดครองพื้นที่ Westeros เมื่อกว่า 6,000 ปีก่อน
ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีในโลก Game of Thrones แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยตลอดเวลาพันๆ ปี นักอ่านส่วนหนึ่งตีความว่า ผู้ประพันธ์ George R.R. Martin อาจชื่นชอบบรรยากาศประดาบรบราฆ่าฟัน ยึดปราสาทยึดอำนาจแบบดั้งเดิมมากกว่า ซึ่งก็ให้อารมณ์ดิบๆ ดี (แล้วก็ใส่เวทย์มนต์คำสาปไปหน่อยพอได้ผงชูรสนัวๆ)
ถึงเรื่องราวจะไม่เน้นเทคโนโลยีมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยเสียทีเดียว เพราะในโลก Game of Thrones ที่ยังคงห้ำหั่นกันเพื่อชิงบัลลังก์นั้นก็ยังต้องการเทคโนโลยีบางอย่างมาช่วย (คำเตือน : มีสปอยล์นิดๆ หน่อยๆ)
นกส่งสาร (Messenger-ravens)
การสื่อสารโดยที่ไม่มีโทรศัพท์ 4G ใช้ทำให้การรบราและขอกำลังหนุนจากพันธมิตรเป็นเรื่องลำบากขึ้น ลองนึกภาพแต่ละบ้านมีกลุ่มไลน์ของตัวเองก็คงจะดี (แต่ก็อาจจะมีกรุ๊ปลับไว้หักหลังกันอยู่ดีแหละ นิสัยนี้แก้กันยาก) แต่ก็ใช่ว่าในโลก Game of Thrones จะส่งข้อความหากันไม่ได้เลย เพราะเขายังคงใช้ ‘นก’ เป็นผู้ส่งสารสำคัญระหว่างเมือง และนกที่มักใช้กันบ่อยๆ คือ ‘นกเรเวน’ (raven) ซึ่งอยู่ในวงศ์นกกา (Corvidae) แต่มีขนาดตัวใหญ่กว่ากานิดหน่อย เคยมีบันทึกว่า นกเรเวนมีอายุยืนถึง 40 ปี ด้วยความที่เป็นนกแสนรู้ทั้งในโลกจริงและโลกนิยาย ภาระส่งสารสำคัญจึงตกเป็นของวิหกหน้าดุเหล่านี้
กลุ่มนักปราชญ์ Maester (เมสเตอร์) ใช้นกเรเวนส่งสารไปทั่วแคว้นอาณาจักร Seven Kingdoms พวกมันมีความจำดี บินได้รวดเร็ว (ในธรรมชาตินกเหล่านี้สามารถรับสัมผัสทิศทางจากแรงแม่เหล็กโลกโดยอาศัยอวัยวะที่อยู่ตรงจะงอย) โดยนกสีดำจะไว้นำส่งข่าวร้าย ส่วนนกสีขาวจะส่งข่าวดี ด้วยวิธีการเลี้ยงเพื่อใช้งานนกเรเวนเป็นศาสตร์ชั้นสูงมีกลุ่ม Maester เท่านั้นที่จะเป็นผู้ฝึกฝน จึงทำให้องค์ความรู้นี้ไม่ค่อยแพร่หลายไปในวงกว้าง
โลหะวาไลเรียน (Valyrian Steel)
อาวุธที่ดีที่สุดจะต้องถูกตีด้วยโลหะวาไลเรียน! ในโลก Game of Thrones แร่โลหะที่มีความสำคัญและมีมูลค่าสูงคือ Valyrian Steel ที่ชาววาไลเรียนตีเป็นอาวุธดาบและใช้จนชำนิชำนาญ โลหะชนิดพิเศษนี้เมื่อตีเป็นอาวุธแล้วจะมีความคมมาก ไม่ว่าจะนำไปฟันหรือกระทบอะไร คมดาบนี้ก็จะไม่มีทางบิ่นเป็นอันขาด
ทั้งแข็งแกร่งและเบาหวิว จอห์น สโนว์ จึงหยิบดาบประจำตัว Longclaw มาอวด อาร์ย่า พร้อมกล่าวว่า “อิจฉาล่ะสิ?”
โลหะวาไลเรียนเป็นโลหะชั้นสูงเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถสร้างความบาดเจ็บให้กับเหล่า White Walkers ได้ แต่หลังจากอาณาจักรวาไลเรียนล่มสลาย องค์ความรู้ก็แทบจะสูญหายหายไปด้วย อาวุธดาบส่วนใหญ่จึงกลายเป็นมรดกที่ให้กันและกันระหว่างคนในตระกูล
ว่ากันว่า Valyrian Steel นั้นเป็นโลหะธาตุที่มีพลังอำนาจพิเศษจากเวทย์มนต์ไหลเวียนและทำให้แกร่งด้วยอำนาจไฟจากมังกร แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น นักตีดาบสมัยใหม่บางคนกล่าวว่าหากจะมีโลหะใดเทียบเคียงความรู้สึกใกล้เคียงกับโลหะวาไลเรียน ก็คงเป็น ‘เหล็กกล้าดามัสกัส’ (Damascus steel) ซึ่งเป็นแร่เหล็กจากแห่งประเทศศรีลังกา แล้วนำมาตีหรือแพร่หลายที่เมืองดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศซีเรีย ว่ากันว่าดาบที่ตีจากเหล็กกล้าดามัสกัสนั้นจะมีความคม แข็งแกร่ง ยากที่จะบิ่นงอ และมีคนจำนวนน้อยมากบนโลกที่มีความรู้การตีดาบเหล็กดามัสกัสด้วยวิธีการดั้งเดิม
หินดราก้อนกลาส (Dragonglass)
ต่อให้ White Walkers ไร้เทียมทาน แต่เพื่อความสนุกและสร้างความลุ้นระลึก มันก็ต้องมีของที่แพ้ทางกันบ้าง ‘Dragonglass’ คือเครื่องมือที่จะนำมาใช้ต่อกรกับเหล่า White Walkers ได้ โดย Dragonglass เป็นหินภูเขาไฟ ‘ออบซิเดียน’ (obsidian) ที่มีความสำคัญต่อเรื่องราว Game of Thrones เนื่องจากเป็น 1 ใน 2 ธาตุร่วมกับโลหะวาไลเรียนที่สามารถสังหาร White Walkers ได้
หิน Dragonglass พบได้ในเกาะภูเขาไฟ Dragonstone ซึ่งตระกูล Targaryen นั้นเป็นผู้ครอบครอง เผ่าพันธุ์ลึกลับ ‘Children of the Forest’ จะนำหินชนิดพิเศษนี้มากะเทาะให้เป็นมีดเพื่อทำพิธีกรรมโดยนำมาแทงไปที่อกมนุษย์เพื่อเปลี่ยนเป็นอสูร White Walkers ดังนั้นอะไรที่สร้างมันขึ้นมา ก็จะสามารถทำลายมันได้
ในโลกความจริงนั้นมีการนำหินภูเขาไฟออบซิเดียนมาทำเป็นอาวุธเช่นกัน เช่น อาวุธ ‘Macuahuitl’ ของชาว Aztec นำหินชนิดนี้มาติดกับกระบองไม้ให้เกิดมุมแหลมคม ใช้ทุบตีศัตรู สร้างแผลฉกรรจ์ น่าเสียดายที่อาวุธของจริงโดยฝีมือชาว Aztec ถูกเผาไปในกองเพลิงของพิพิธภัณฑ์อาวุธ Royal Armoury of Madrid ในสเปนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1884 กระบองที่หลงเหลืออยู่นั้นจึงเป็นของที่สร้างเลียนแบบขึ้นมาทั้งหมด
เพลิงโลกันตร์ (Wildfire)
น่าสนใจที่เราไม่ค่อยเห็นการใช้ศาสตร์ด้านเคมีในการพัฒนา ‘ดินปืน’ จากดินแดน Westeros แต่ถึงอย่างนั้น ในซีรีส์ Game of Thrones ก็มีอาวุธที่น่ากลัวดุจไฟจากนรกที่เรียกว่า ‘Wildfire’ ซึ่งมีความสำคัญในการชิงบัลลังก์ เพราะสามารถกวาดตัวละครที่ทั้งรักและเกลียดให้หายไปเพียบ
Wildfire เป็นของเหลวที่ติดไฟง่าย เป็นศาสตร์ลึกลับของกลุ่มนักเล่นแร่แปรธาตุ Alchemists’ Guild ในเมือง King’s Landing เมื่อมันปะทุจะสร้างเปลวไฟสีเขียวน่ากลัว Wildfire นี้มีพลังมหาศาลที่เปลี่ยนให้ทุกอย่างเป็นจุล โดยที่น้ำไม่สามารถดับได้
การเก็บรักษาไฟประเภทนี้ต้องมีความระมัดระวังสูง เนื่องจากความไม่เสถียร ติดไฟง่าย แม้แต่แสงแดดก็อาจทำให้ระเบิดได้ ซึ่งก็ยังไม่มีใครทราบว่า Wildfire สร้างขึ้นจากส่วนประกอบอะไรบ้าง มีเพียง Alchemists’ Guild เท่านั้นที่เก็บความลับนี้ไว้
หากเทียบในโลกความเป็นจริงอาจจะเทียบได้กับ ‘ระเบิดนาปาล์ม’ (Napalm) ซึ่งเป็นการทำปฏิกิริยาของเคมีที่ให้ความร้อนสูง
เทคนิคนี้ถูกคิดค้นขึ้นในห้องทดลองลับของมหาวิทยาลัย Harvard University ในโครงการพัฒนาอาวุธเคมี Chemical Corps ของสหรัฐ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสร้างสุดยอดอาวุธทำลายล้างสูงในการทำสงคราม ระเบิดนาปาล์มถูกใช้ครั้งแรกใน ‘ยุทธการอิโวะจิมะ’ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อทำลายกองกำลังญี่ปุ่น ซึ่งสามารถสร้างอุณหภูมิสูงถึง 1000- 2000 องศาเซลเซียสได้ในพริบตา
ผู้ที่รอดจากเหตุการณ์ระเบิดนาปาล์มล้วนกล่าวว่า “มันเหมือนไฟจากนรก โดยมนุษย์เป็นผู้สร้าง”
พิษมันติคอร์ (Manticores’s Venom)
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ไม่ได้ด้วยกำลัง ก็ต้องเอาให้ได้ด้วยพิษ ในโลก Game of Thrones มีการใช้พิษจากแมลงในจินตนาการที่หน้าตาเหมือนแมลงป่องจากแคว้น Essos โดยเหล่ามือสังหารมักนิยมใช้พิษจากตัว ‘Manticores’ ในการฉาบอาวุธ ตามธรรมชาติ Manticores เป็นแมลงที่ร้ายกาจ มี 6 ขาและมีหางพิษเหมือนแมงป่อง มีเกราะปกป้องร่างกาย และมีลวดลายเหมือนหัวกะโหลกมนุษย์
พิษของ Manticores นั้นร้ายแรงมาก หากต่อยใครก็จะเสียชีวิตทันที เหล่ามือสังหารจึงรีดพิษมาฉาบมีดดาบที่ปลิดชีพศัตรูได้เพียงรอยบาดเล็กน้อย
แม่มังกร Daenerys Targaryen เองก็เกือบถูกสังหารด้วยตัว Manticores จากกลุ่ม Warlocks of Qarth แต่แผนถูกสกัดเสียก่อน หรือแม้แต่ Oberyn Martell ก็ยังใช้พิษนี้ฉาบปลายหอกเพื่อต่อกรกับ Ser Gregor ที่แผลไม่มีทางรักษาหาย จนต้องเปลี่ยน Ser Gregor เป็นอสูรไร้จิตใจรับใช้ราชินี Cersei อย่างภักดี
ธนูยักษ์ (Scorpion)
จะมีอะไรที่ยิงมังกรเข้าได้? แน่นอนว่าคุณต้องมีทั้งความแม่น โชคช่วย และธนูยักษ์ฉายา Scorpion
อาวุธวิสัยไกลในโลกของ Game of Thrones นั้นหน้าตาเหมือนหน้าไม้ขนาดใหญ่ที่ยิงลูกดอกเหล็กขนาดยักษ์ มันมีพลังอนุภาพสูงจนสามารถสยบมังกรได้ แต่หากจะใช้งานให้มีประสิทธิภาพอาจต้องมีหน่วยทหารเพื่อควบคุม ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถโหลดและยิงได้ด้วยคนเดียวก็ได้
ในอดีต มังกรนามว่า Meraxes ถูกสยบด้วยธนูที่ยิงจาก Scorpion เข้าที่ดวงตา แทงลึกไปถึงสมอง จนมังกรร่วงจากฟ้า และทำให้ตระกูล Targaryen สูญเสียกำลังสำคัญในการทำสงคราม ต่อมาราชินี Cersei ต้องการอาวุธที่สามารถหยุดยั้งกองทัพมังกรของ Daenerys ที่มีถึง 3 ตัวได้ จึงสั่งให้มีการสร้างเครื่องจักรสงครามนี้อีกครั้ง ในช่วงการต่อสู้ที่ Goldroad กองทัพมังกรเข้าโจมตี ราชินี Bronn ขึ้นไปประจำการบน Scorpion แล้วยิงลูกดอกใส่มังกร Drogon แต่พลาดไปถูกที่ไหล่ เลยได้แค่คันๆ เท่านั้น
ในโลกจริง Scorpion เป็นอาวุธโบราณซึ่งถูกใช้มาตั้งแต่ 52 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยอารยธรรมโรมันใช้ต่อกรกับชาว Gaul ที่เน้นทำลายขวัญทหารศัตรูมากกว่าจะใช้ยึดเมือง ซึ่งปกติก็จะยิ่งได้ไกลประมาณ 100 เมตร แต่หากยิงด้วยทหารที่เชี่ยวชาญอาจหวังผลได้ถึง 300-400 เมตร โดยใช้หลักการแรงบิดที่หากมีแรงมากพอก็จะส่งลูกธนูให้ทะลุโล่ของทหารได้ แต่การยิงค่อนข้างเชื่องช้า คือ 3 – 4 ดอกต่อนาที ทำให้ Scorpion เป็นอาวุธที่ใช้ข่มขวัญมากกว่ายิงเพื่อหวังผลจริงๆ
กระดาษและการเขียน (Parchment)
ถ้าคุณจะลบเผ่าพันธุ์ใดให้สิ้นซาก คุณต้องทำลายภาษาของเขา
ในแต่ละอารยธรรมล้วนมีภาษาของตัวเอง โดยภาษาที่แพร่หลายที่สุดใน Westeros คือ Common Tongue of the Andals ซึ่งเป็นภาษาที่เราได้ยินกันในซีรีส์ โดยชาว Andals พัฒนาระบบภาษานี้ขึ้นมาจากการปรับปรุงอักขระ Rune ของภาษา Old Tongue ที่คงเหลือปรากฏบนศิลาหลุมศพเท่านั้น
สื่อที่ใช้จารึกอักษรใน Westeros คือแผ่นกระดาษและแผ่นหนังที่ได้ทั้งจากหนังสัตว์และเปลือกไม้ ส่วนใหญ่ใช้เขียนข้อความสำคัญ เช่น มาตรากฎหมาย ข้อความทางการทูต โดยจะส่งต่อให้ระหว่างมือสู่มือจากคนส่งสาร หรืออาจใช้นกส่งสารหากเป็นข้อความสั้นๆ โดยนำแผ่นกระดาษเล็กๆ มาม้วนใส่กระบอกติดกับขานกได้
ในยุคสมัยของ Game of Thrones นั้นยังไม่มีเครื่องพิมพ์ ดังนั้นการทำซ้ำตำราจึงต้องเขียนด้วยมือเท่านั้น ในโลกจริง การพิมพ์บนกระดาษเริ่มมีในช่วงปี ค.ศ. 1400 โดยการใช้บล็อกไม้พิมพ์ลงไปบนกระดาษ ซึ่งมีใช้อยู่ในกลุ่มนักบวชเท่านั้น
การอ่านออกเขียนได้จึงไม่ได้เป็นทักษะของคนทั่วไป มีเพียงเฉพาะคนในตระกูลสำคัญๆ เท่านั้นที่จะรู้หนังสือ จึงทำให้คนชั้นปกครองมีอำนาจในการตัดสินใจเพียงกลุ่มเดียว