ใครๆ ก็ว่าความขบขัน (comedy) นั้นเป็นยาขนานเอก ที่เรามักมอบให้ตัวเองเพื่อแก้ความป่วยไข้ทางอารมณ์ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ค่อยเห็นความหวังนัก อารมณ์ขบขันจิกกัดหยอกเอินก็เปรียบเสมือนแสงสว่างลิบๆ ที่อยู่ปลายอุโมงค์พอจะให้เราคลำทางตามไปจนสุด ทำไมพวกเราถึงพยายามใช้เสียงหัวเราะเพื่อลบเลือนความเศร้ากันเล่า? แล้วคนที่หัวเราะดังที่สุดอาจจะไม่ใช่คนที่มีความสุขก็ได้
ในหลายๆ วัฒนธรรมทั่วโลกก็เห็นตรงกันว่า ‘อารมณ์ขันเป็นยา’ พวกเราเล่นสนุกเพื่อเรียกเสียงหัวเราะกับกลุ่มเพื่อนสนิท ไปนั่งฟังคนเล่นตลกเดี่ยวกลางเวที นั่งอ่านการ์ตูนล้อการเมือง แสดงออกอย่างประชดประชันต่อสังคม หรือล้อเลียนความเจ็บช้ำของตัวเองโดยบิดมุมให้เป็นเรื่องตลกไปเสีย มนุษย์จึงสามารถใช้อารมณ์ขันได้หลายรูปแบบเพื่อพยายามจัดการชีวิตที่ยากลำบาก อารมณ์ขันช่วยลดการตอบสนองความเครียดของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเจ็บปวดเรื้อรัง ซึ่งบางครั้ง คนที่ดูอารมณ์ดีที่สุดในกลุ่มเพื่อนของคุณอาจจะไม่ใช่คนที่มีความสุข เขาอาจกำลังงัดข้อกับตัวเอง ทั้งความซึมเศร้า ภาวะติดสุรา อาการหลงลืมๆ แบบ Dementia
คนที่ทำงานอาชีพตลกทั่วโลก ส่วนใหญ่มีชีวิตที่ไม่ได้รื่นรมย์นัก ถึงขนาดที่นักวิจัย Samuel Janus จากมหาวิทยาลัย New York Medical College ได้ทำวิจัยติดตามและสัมภาษณ์ตลกอาชีพจำนวน 55 คน พบว่า ตลกอาชีพเหล่านี้กว่า 80% มีภาวะทางอารมณ์ที่ต้องได้รับการบำบัดหรือส่วนหนึ่งก็เคยได้รับการรักษามาก่อน โดยมีข้อสรุปที่น่าสนใจว่า คนที่มีอาชีพตลกต้องเผชิญความกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะ ‘หมดมุก’ หรือกลัวไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้อีกแล้ว กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างความกังวลและอารมณ์ขำขื่นที่เป็นอารมณ์คนละขั้วที่เชือดเฉือนกันอยู่ ทำให้เกิดภาวะเครียดเรื้อรัง และตั้งคำถามกับความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ
เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ทุกคนหัวเราะกับมุกเดียวกัน แม้มนุษย์ทุกคนจะมีคอนเซปต์ของความเจ็บปวดคล้ายๆ กันอันเป็นสากล แต่ความตลกกลับเป็นเรื่องปัจเจกที่เกี่ยวพันกับความต่างทางวัฒนธรรม คุณสามารถทำให้คนเจ็บได้ไม่ยาก แต่มันกลับยากนักที่จะทำให้คนอื่นขำในเรื่องที่คุณเล่า
เอาจริงๆ ยังไม่มีงานวิชาการใดๆ มาหาคำนิยามหรือสูตรสำเร็จที่ทำให้มุกตลกนั้นฮาครืนทุกครั้งที่เล่น แต่นักจิตวิทยาและนักปรัชญาเห็นพ้องตรงกันว่า ความขบขันนั้นเชื่อมโยงกับความรู้สึกความอัปยศอับอาย (humiliation) ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ตอนเด็กๆ พวกเราก็คงขบขันกับเพื่อนที่ล้มก้นจ้ำเบ้า หรือใครที่ทำอะไรเปิ่นๆ ในโรงเรียน การ์ตูนอย่างค่าย Looney Tunes ในยุคแรกๆ ก็เต็มไปด้วยมุกตลกเจ็บตัว หรือทอมและเจอร์รี่ที่ไล่ล่ากันด้วยการกลั่นแกล้งที่ในโลกความเป็นจริงอาจถึงตายได้
แต่หลังจากนั้น เมื่อพวกเราเติบโตขึ้น มุกตลกเจ็บตัวเหล่านี้ก็ไม่ค่อยจะสั่นต่อมขำได้สักเท่าไหร่ เนื่องจากในโลกแห่งความเป็นจริงเรากลับดิ้นรนกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้คน ความอับอายที่เวลาผูกสัมพันธ์ใหม่ๆ ของคนอื่นก็อาจเป็นเรื่องตลกสำหรับเรา การอยู่ภายใต้กรอบบรรทัดฐานทางสังคม (social norms) ที่คร่ำเคร่งทำให้เราอยากจะแหวกกรอบ ยิ่งถูกกดดันเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้สึกถึงความอับอายที่สังคมมอบให้
ความรู้สึกถูกคุกคามจากบรรทัดฐานทางสังคมหรือความไม่ชอบธรรมเหล่านี้ บีบให้มนุษย์ต้องสร้างกลไกในการลดความเจ็บปวดทางอารมณ์ด้วย coping strategies หรือกลยุทธ์การรับมือ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การสร้างความขำขื่นต่อชีวิต เพื่อไม่ให้คนอื่นหัวเราะเยาะเรา เราจึงเล่นตัวเองเสียก่อน เปลี่ยนความบอบช้ำเป็นเรื่องขำขันเสีย เพื่อคืนความรู้สึกว่ากำลังควบคุมชีวิตอยู่ แม้จะเป็นเพียงเสียงหัวเราะหึๆ เบาๆ ในลำคอก็ตาม
คนรุ่นใหม่ที่ผ่านยุคสมัยแห่งความสิ้นหวัง พวกเขาแยกตัวออกมาจากสังคมใหญ่ สร้างกลุ่มย่อยขึ้นมามากมาย คนรุ่นนี้กำลังสร้าง taste ของความตลกอีกรูปแบบ ซึ่งมีแนวโน้มของพัฒนาการเร็วกว่าเด็กยุคก่อน พวกเขาจะไม่ตลกกับมุกตลกตีหัวแบบ slap stick แต่เห็นความเชื่อมโยงทางสังคมและความไร้แก่นสารที่ไม่เหมือนกับที่เคยเรียนรู้มา เด็กรุ่นใหม่จะรับรู้ถึงความไม่ชอบธรรมและอ่อนไหวต่อพลวัตทางสังคม เมื่อรู้สึกว่าสังคมที่อาศัยนั้นไม่น่าอภิรมย์ ชีวิตจึงเป็นเรื่องตลก น้ำท่วมกรุงเทพก็มองซะให้เป็นสวนน้ำ ความกดขี่ที่รู้สึกรายได้น้อย ความยากจน ก็อาจเป็นเรื่องตลก หรือมุกตลกของคนกลุ่มย่อยจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจในการสร้างกลไกรับมือความเจ็บปวดของชีวิต
แต่การมองโลกด้วยแววตาที่ขำขื่นบ่อยครั้งก็ไม่ใช่กลไกที่มีสุขภาพดีนัก ความตลกไม่สามารถแก้ปัญหาทางสังคมได้ แม้ความตลกเป็นยาขนานหนึ่ง แต่มันก็เป็นยาที่ไม่สามารถรักษาได้ตรงทุกโรค ความตลกจึงไม่สามารถปลดปล่อยมนุษย์จากความเศร้าในจิตใจได้ แต่ทำให้ภาระที่หนักอกเบาบางลงชั่วครู่เพียงพอที่จะเดินต่อไป
คนตลกจึงไม่ใช่คนที่มีความสุขกับชีวิตมากที่สุด อย่าอิจฉาคนที่หัวเราะดังในกลุ่ม พวกเขาอาจพยายามกลบเกลื่อนความอัดอั้นที่ยังไม่สามารถแก้ได้ แต่ในทางกลับกันเมื่อเราดันอยู่ในสังคมที่อุดมไปด้วยตัวตลกที่พวกเขาดำรงในตำแหน่งสูงๆ ของสังคม
อาจจะถึงเวลาที่จะซีเรียสกับการกระทำของพวกเรา และบอกกลับคืนไปว่า มันไม่ฮาเลยสักนิด
อ้างอิงข้อมูลจาก
The great comediennes: Personality and other factors