ฟังคำบอกเล่าถึงบรรยากาศและความรู้สึกจากหลากบุคคล ในต่างสถานที่ และหลายที่มา ณ ช่วง 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 วันที่พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
อโนทัย สกุลทอง
ผู้สื่อข่าว
“ตอนที่ได้รับมอบหมายให้ไปรายงานข่าววันที่ 13 ตุลาคมปีที่แล้ว ไม่ได้คาดคิดว่าวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราก็ไปด้วยความที่ส่วนตัวรักในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวันนั้น คิดอย่างเดียวว่า ต้องไปทำข่าว ต้องไปใกล้ชิดพระองค์ท่านให้มากที่สุด
“ตลอดช่วงเช้า บรรยากาศที่โรงพยาบาลศิริราช ประชาชนก็เริ่มทยอยกันเดินทางมา หลายคนที่ได้มีโอกาสไปพูดคุย ตั้งใจเดินทางมาจากต่างจังหวัด ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถไฟมา ช่วงบ่ายคนยิ่งเริ่มมากันเยอะขึ้น ในตอนนั้นมีกระแสข่าวเข้ามามากมาย มีคนส่งข่าวต่อๆ กัน ทุกคนที่ถามเข้ามา ทั้งกอง บก. ทั้งประชาชนที่อยู่ที่โรงพยาบาล เราก็ได้แค่ตอบไปตามข้อเท็จจริงว่า ยังไม่มีใครให้ข้อมูลอะไร เป็นแค่ข่าวลือ ทุกอย่างต้องรอสำนักพระราชวังออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเท่านั้น
“พอตกเย็นวันนั้นประมาณห้าโมงเย็น คนเริ่มแน่นศาลาศิริราช 100 ปี ทุกคนพร้อมใจกันสวดมนต์เสียงดังมาก สลับกับเปล่งเสียงทรงพระเจริญ ทุกคนที่นั่นมีความหวัง แม้พอตกเย็นทุกคนจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ ในใจกันบ้าง บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาแล้ว จนในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาสำคัญกับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อแถลงการณ์สำนักพระราชวังออกมา ความว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต
“ภาพในวินาทีนั้น ยังจำจนถึงวันนี้ ประชาชนร้องไห้เสียงดังมากๆ บางคนก็เปล่งเสียงทรงพระเจริญ บางคนก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี อารมณ์ทุกคนในตอนนั้นคงจะช็อก และไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำหน้าที่ในฐานะคนไทยที่แสดงพลังออกมาถึงความจงรักภักดีให้มากที่สุด ประชาชนหลายคนเป็นลมเลยก็มี ทุกคนชูพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเหนือศีรษะ มองไปที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ส่วนตัวเราเองในตอนนั้น ต้องยอมรับว่า กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เหมือนกัน
“เราเริ่มรายงานข่าวแบบรายงานสดยาวต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณ 17.30 น. วันนั้นรายงานข่าวประมาณ 20 นาทีกว่าๆ ต้องยอมรับว่า เราต้องเก็บอารมณ์ และเล่าบรรยากาศสดๆ ไปตามภาพที่เห็น ทั้งสิ่งที่ประชาชนกำลังทำอยู่ คือการสวดมนต์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เปล่งเสียงทรงพระเจริญ หลายคนนำพระบรมฉายาลักษณ์ คาดผมเขียนข้อความว่า เรารักในหลวง ธงชาติไทย ธงตราสัญลักษณ์มาแสดงออกถึงความจงรักภักดี
“เวลาจะไปสัมภาษณ์ประชาชนที่เดินทางมา ต้องเลือกใช้คำถาม ประชาชนหลายคน ตอบคำถาม ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งน้ำตา มีบางคนพยายามจะพูดเรื่องกระแสข่าว เราต้องประคองคำถามตัดบทในทันที เพื่อไม่ให้หลุดในสิ่งที่ไม่มีใครยืนยันข้อเท็จจริง
“ยอมรับว่า รู้สึกอยากร้องไห้ แต่ทำไม่ได้ เพราะจะทำให้ประชาชนที่รับชมอยู่เกิดความตกใจ ด้วยความที่เราเป็นนักข่าว ความน่าเชื่อถือมีสูง คนจะเชื่อในสิ่งที่เรารายงาน สิ่งที่เรานำเสนอ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ทำหน้าที่ของเราบนข้อเท็จจริงและความถูกต้อง เน้นถ่ายทอดความรู้สึกของความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 แม้ลึกๆ ในใจจะร้องไห้น้ำตาตกในแค่ไหนก็ตาม
…การรายงานข่าวในวันนั้น บีบหัวใจตัวเราเองมากเลย”
ชิน ประสงค์
ข้าราชการบำนาญ กรมศิลปากร / ผู้ปั้นรูปปั้นคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง และครอบครัว
“ตอนนั้นผมทำงานถวายพระองค์ท่านอยู่ ปั้นรูปปั้นคุณทองนพคุณ ที่เป็นลูกของคุณทองแดง เสร็จวันที่ 12 ตุลาคม 2559 บังเอิญพอดี คือผมก็คิดถึงพระองค์ท่าน และพยายามทำงานให้เสร็จเร็วที่สุด เพราะพระองค์ท่านก็ทรงพระประชวรอยู่ ผมก็รีบทำ แต่ทำไปแก้ไข รู้สึกยังไม่พอใจ กระทั่งวันที่ 12 ตุลาคม 2559 ถึงได้รู้สึกพอใจแล้ว ก็หยุด แต่วันถัดมาก็ได้ยินข่าวว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคต
“ผมได้ยินข่าวนี้จากทางทีวีและลูกๆ คือหลังจากผมหยุดปั้นคุณทองนพคุณในวันที่ 12 ตุลาคม 2559 ผมก็คิดว่าเดี๋ยวจะทำงานอื่นต่อ ก็คิดไปคิดมา นั่งอ่านหนังสือบ้าง นั่งเขียนรูปบ้าง ผมไปทำงานอยู่ในที่ส่วนตัวของผม เลยไม่ได้ข่าว มาได้ข่าวตอนลูกๆ บอก และมาดูทีวีตอนหลัง ก็รู้สึกสลดใจ เศร้าใจที่พระองค์ท่านจากไป
“พระองค์ท่านเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานและการดำเนินชีวิตของผมมาก ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ เพราะพระองค์ทรงเดินทางมามอบปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วมีพระบรมราโชวาทว่า ‘ให้ใช้ความรู้ความสามารถทำงานเพื่อประเทศชาติให้ดีที่สุดตามที่ได้ร่ำเรียนมา’ ผมก็รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้
“จนได้มาทำงานที่กรมศิลปากรและได้ทำงานศิลปะมาโดยตลอด ก็ทำงานเกี่ยวกับพระองค์ท่าน เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ค่อนข้างมาก คือจะทำพวกอนุสาวรีย์พระมหากษัตริย์และบุคคลสำคัญของชาติค่อนข้างเยอะ เท่ากับได้ทำงานถวายพระองค์ท่านโดยตรง”
(ที่มาภาพถ่าย : http://www.manager.co.th/asp-bin/viewgallery.aspx)
สุภัทรา มงคลเคหา
แม่ค้าขายขนมเบื้อง ท่าน้ำข้ามเรือท่าพระจันทร์
“ไม่อยากจะพูดเลย ไม่ใช่อะไรนะ เราคิดถึงพระองค์ท่าน พูดแล้วน้ำตาจะไหล
“วันนั้นเราก็ขายของอยู่ตรงท่าพระจันทร์นี่แหละ ช่วงเย็นๆ แม่ค้ารวมตัวกันจะไปสวดมนต์ให้พระองค์ท่าน เราก็จะไปกับเพื่อน แล้ววันนั้นเพื่อนบอกว่า พระองค์ท่านสิ้นแล้ว เราก็ตกใจ ตอนแรกเรายังไม่เชื่อ ไปเปิดข่าวดู พอเห็นข่าวเราก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง มันสะเทือนใจ
“วันนั้นเราไม่ได้ไปที่ศิริราช แต่เราก็มีโอกาสได้ไปกราบพระบรมศพของพระองค์ หรืออย่างวันนี้มีซ้อมแห่กัน เราก็เดินไปดู ยังจะร้องไห้อีกรอบเลย”
นายแพทย์ อธิเชฐ แสวงเจริญ
แพทย์ประจำบ้าน โรงพยาบาลศิริราช
“วันที่ 13 คนมาที่ศิริราชเยอะมาก เต็มลานพระราชบิดาไปหมด จริงๆ ต้องบอกว่าเริ่มมากันตั้งแต่วันที่ 12 แล้ว แต่ตอนนั้นยังใส่ชุดเหลืองชุดชมพู เสียงสวดมนต์ดังทั้งลานเลย วันที่ 13 เราก็เข้าเรียนตอนเที่ยง แล้วออกตรวจตอนบ่ายตามปกติ แต่พอหลังเที่ยง ก็เริ่มมีการเก็บพระบรมฉายาลักษณ์ตามซุ้มถวายพระพร เพื่อนเริ่มไลน์มาถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราก็ตอบไม่ได้ ไม่มีใครตอบได้ รู้แค่ว่าไม่ดีแล้ว
“ตกเย็นเราลงไปรวมตัวกับเขาที่ลานพระราชบิดา คนก็ยังทยอยมาเรื่อยๆ เริ่มมีขบวนเสด็จ มีข้าราชการผู้ใหญ่ มีพระสงฆ์เข้ามาที่โรงพยาบาล ตอนนั้น หมอกลงหนัก แล้วก็มีฝนพรำๆ ไม่มีใครใจเป็นสุข ทั้งหมอทั้งคนไข้ก็มานั่งรวมกัน แล้วพอสำนักพระราชวังประกาศ คนที่ดูทีวีตามตึกก็ตะโกนบอกกันว่า ‘ในหลวงสิ้นแล้ว’ ตั้งแต่นั้นก็มีแต่เสียงร้องไห้ เสียงตะโกนทรงพระเจริญ เสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกับสดุดีมหาราชา บางคนก็สวดมนต์ บางคนก็ทรุดลงนั่งกอดกัน ก้มลงกราบพื้น ตอนนั้นคงไม่รู้จะทำยังไงกัน เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนดึก
“ตกดึก สำนักพระราชวังก็ประกาศว่า พรุ่งนี้จะเคลื่อนพระบรมศพ ให้กลับบ้านไปเปลี่ยนชุดดำ แต่ก่อนกลับ ทุกคนที่นั่นก็ช่วยเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง เอาผ้าขาวดำกับผ้าตาดมาติดรอบโรงพยาบาล ช่วยกันทำความสะอาดทางที่ออกทางวังหลัง ที่เป็นทางเคลื่อนพระบรมศพ ศิริราชก็เรียกรวมพลหมอที่ห้องฉุกเฉิน เผื่อมีคนเป็นลม ทุกคนช่วยกัน แป๊บเดียวก็เสร็จ
“วินาทีที่รู้ข่าว ก็นิ่งๆ ช็อกไป แต่ก่อนหน้านั้นต่างหากที่ใจมันไม่เป็นสุขเลย เคยคิดเหมือนกันนะว่า ถ้าพระองค์ท่านสิ้นจะเป็นยังไง เพราะเห็นพระองค์มาตลอดชีวิต นึกไม่ออกว่าจะอยู่ต่อกันยังไง ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่เคยเห็นภาพที่ไม่มีในหลวง (ร.9) ตอนที่รู้ คนร้องไห้กันหมด บรรยากาศก็เลยหนักมาก เราก็ร้องไห้ แต่ก็ตื้นตันนะ ที่เห็นคนไทยรักพระองค์มากๆ คนไม่รู้จักกันเลยก็มาถามไถ่กัน ช่วยแจกน้ำแจกข้าว เก็บขยะ ดูแลกัน เวลามีเรื่องคนไทยก็รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันได้
“ผ่านมาถึงวันนี้ เห็นอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านก็ยังคิดถึง ยังร้องไห้อยู่ ชีวิตเราอยู่กับศิริราชมาตลอด ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ เคยเข้าเฝ้าท่านใกล้ๆ ได้ชื่นชมพระบารมี ตอนกลับมาเรียนต่อที่นี่ ก็เพราะอยากมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอีก แต่พระองค์ท่านทรงพระประชวรแล้ว เลยไม่ค่อยได้เสด็จลงมา ตอนนี้ก็เสียดาย เสียใจว่าทำไมตอนนั้น ที่มีโอกาส ไม่ตักตวงไว้เยอะๆ
“ใจหายนะ วันที่เห็นเจ้าหน้าที่ขนของลงมาจากชั้น 16 ทีละอย่างๆ ไฟที่เคยเปิดก็ดับมืดหมด ตำรวจที่เคยอารักขาก็หายหมด พระบรมฉายาลักษณ์ตามจุดต่างๆ ก็ไม่เหลือเลย ของที่เคยเห็นมาหลายปีก็ไม่เหลือเลย มันใจหาย ที่นี่เป็นที่ที่พระองค์เคยประทับอยู่ ตอนนี้เสาหลักของบ้านหายไป เวลาฟังเพลงสรรเสริญพระบารมีก็ร้องไห้ เราร้องเพลงนี้ให้พระองค์มาตลอดชีวิตเลย แต่ตอนนี้พระองค์ท่านไม่อยู่แล้ว”
มุนินทร์ สายประสาท
นักวาดการ์ตูน
“วันที่ 13 ตุลาปีที่แล้ว จำได้ว่ากำลังจะตกเครื่อง วิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่เกต เพื่อที่จะเดินทางไปเชียงใหม่ โชคดีว่ามาทัน พอขึ้นไปนั่ง หอบสักพัก ระหว่างที่เริ่มคาดเข็มขัดและปิดโทรศัพท์ เพื่อนที่ไปด้วยก็สะกิดเบาๆ ‘แก..ประกาศแล้ว’
“ตอนนั้นได้แต่มองตากันกับเพื่อน เพราะที่นั่งเราสองคนมีทางเดินกั้นอยู่ สิ้นเสียงกัปตันรายงาน ห้องโดยสารก็เงียบเหมือนทุกครั้ง แต่จำได้ว่าความเงียบตอนนั้นมันไม่เหมือนครั้งไหน หลับตาลงครั้งหนึ่ง น้ำตาก็ไหลแล้ว
“เป็นชั่วโมงเดินทางที่ยาวนานมาก เหมือนเราถูกตรึงอยู่ตรงนั้นกับความรู้สึกแค่ความรู้สึกเดียว คือความอาลัย”
ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์
ช่างภาพ
“หลังจากเคลียร์งานในช่วงบ่ายแก่ๆ จนเสร็จ ก็เหมือนกับทุกๆ วันที่ผมจะหาเวลาสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อออกไปถ่ายภาพ มันเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำมาอย่างต่อเนื่องจนเข้าปีที่ 3 แล้ว จะต่างออกไปจากวันอื่นๆ ก็คือ วันนี้เป็นวันที่ยากที่สุดในชีวิตการถ่ายภาพของผม
“ที่โรงพยาบาลศิริราช พระอาทิตย์คล้อยลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมเดินเข้าไปที่ลานพระบิดาพร้อมกับประชาชนจำนวนมากที่พร้อมใจกันมาเฝ้าพระองค์ท่าน ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร หลายคนจับจองที่นั่งเพื่อสวดมนต์ถวาย สื่อมวลชนจากหลายสำนักทั้งในและต่างประเทศเข้ามาทำข่าวและสัมภาษณ์ผู้คน ผมเองพยายามทำใจให้สงบและถ่ายภาพด้วยความนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก โดยเฉพาะเวลาที่ได้ยินเสียง เพลงสรรเสริญพระบารมี และเสียงเปล่งตะโกน ‘ทรงพระเจริญ’ น้ำตามันก็คลอๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“บรรยากาศดูตึงเครียดขึ้น เมื่อใกล้เวลาข่าวพระราชสำนัก เนื่องจากที่ลานพระบิดาไม่มีจอทีวี หลายๆ คนจึงก้มหน้าดูมือถือของตัวเองเพื่อติดตามข่าว ไม่นานนัก ก็มีเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้น เสียงร้องไห้ระงมค่อยๆ แผ่จากจุดนึงไปยังอีกจุดนึง วินาทีนั้นผมก็รู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ก็ไหลมาอาบสองแก้ม ผมลดกล้องลง และมองดูไปรอบๆ
“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นผู้คนต่างพากันร้องไห้พร้อมๆ กัน มากมายขนาดนี้ หลายต่อหลายคนเป็นลมหมดสติไป ท่ามกลางความชุลมุนนี่เอง ผมพยายามเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง เพื่อที่จะถ่ายภาพต่อไป
“บอกกับตัวเองว่าจะถ่ายภาพเหตุการณ์ข้างหน้านี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อบอกเล่าความรู้สึกของคนไทยที่มีพระองค์ท่าน เก็บบันทึกเอาไว้ผ่านภาพถ่าย ให้คนรุ่นหลังที่อาจเกิดไม่ทันในยุคสมัยของพระองค์ท่านได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งพวกเราเคยมีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ และพสกนิกรของพระองค์ รักและอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านมากมายเพียงใด”