“เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” (Liberté, égalité, fraternité) คำขวัญที่เกิดขึ้นในสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส และได้กลายมาเป็นหลักการของเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีฝรั่งเศสเป็นต้นแบบนี้ มีนัยยะบ่งบอกถึงองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นประชาธิปไตย นั่นก็คือการให้ความสำคัญกับความเสมอภาคและเสียงของประชาชน
ดังที่เราเห็นกันผ่านระบบการเลือกตั้งของฝรั่งเศส ที่จัดการเลือกตั้งอย่างเข้มข้นถึงสองรอบ เพื่อให้การเลือกตัวแทนในการปกครองนั้นสะท้อนเสียงของประชาชนในประเทศอย่างแท้จริง
ท่ามกลางกระแสชาตินิยมขวาจัดที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลต่อการเมืองในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนายโดนัล ทรัมป์ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ หรือการถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ทำให้ก็น่าลุ้นว่าการเลือกตั้งฝรั่งเศสที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (7 พฤษภาคม 2560) กระแสขวาจัดพัดทิศทางของฝรั่งเศสไปตามกระแสโลกไหม หรือเสรีนิยมและโลกาภิวัตน์จะยังคงมีอิทธิพลในฝรั่งเศสอยู่
ก่อนจะไปลุุ้นผลการเลือกตั้ง เราจะไปนั่งคุยกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.วรรณภา ติระสังขะ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจบการศึกษาปริญญาโทและเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัย Nantes ในฝรั่งเศส รวมถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองฝรั่งเศส เกี่ยวกับระบอบการเลือกตั้งของฝรั่งเศสและความเห็นต่างๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งในครั้งนี้กัน
The MATTER : อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าความเป็นมาของระบอบการเลือกตั้งในฝรั่งเศส เป็นยังไงมายังไง ระบอบนี้เลือกตั้งกันอย่างไร
ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสมีปัญหาเรื่องการทำงานระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภา ทั้งสองฝ่ายนี้เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกัน ทำให้เวลารัฐบาลจะออกกฎหมายอะไรก็มักถูกค้านจากรัฐสภา จึงมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คือรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐที่ 5 หรือรัฐธรรมนูญ 1958 ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาแก้ปัญหาและเพิ่มบทบาทอำนาจให้ประธานาธิบดีมากขึ้น เป็นระบอบกึ่งประธานาธิบดี กึ่งรัฐสภา
วิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของฝรั่งเศสซึ่งถือว่าเป็นประมุขของรัฐ จะผ่านการเลือกตั้งโดยตรง และจัดขึ้นถึงสองรอบ ประชาชนออกไปเลือกตั้งผู้แทนที่เขตเลือกตั้งทั่วไป เลือกผู้สมัครที่ตัวเองชื่นชอบ ไม่ได้ผ่านคนกลางเหมือนอเมริกา ที่ประชาชนไม่ได้ออกไปหย่อนบัตรเพื่อเลือกประธานาธิบดี แต่เลือกผ่านตัวแทนอีกที วิธีการเลือกตั้งโดยตรงจึงทำให้สถานะของประธานาธิบดีฝรั่งเศสเข้มแข็งมาก ซึ่งวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีฝรั่งเศสคือ 5 ปี และอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระ
การจะเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ต้องมีรายชื่อสนับสนุนจากนักการเมืองที่ถูกเลือกจากประชาชน (นายกสภาท้องถิ่น, สภาชิกสภายุโรป, ส.ส., ส.ว. ฯลฯ) ทั้งหมด 500 รายชื่อ เพื่อเป็นการรับรองผู้สมัครว่า มีความสามารถที่จะเข้ามาบริหารประเทศ โดย 500 รายชื่อที่สนับสนุนนั้น ต้องมาจาก 30 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งแสดงถึงการได้รับการยอมรับจากทุกภาค นี่เป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ความเป็นประธานาธิบดีนั้นน่าเชื่อถือและมีน้ำหนัก มีบทบาทของการเป็นประมุขโดยแท้จริง และเมื่อได้มาแล้วก็ต้องส่งรายชื่อต่อให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส (เทียบกับบ้านเราก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการฯ) ตรวจสอบว่ารายชื่อ 500 รายครบถ้วนไหม มาจากทั่ว 30 จังหวัดไหม หลังจากตรวจสอบแล้วก็จะทำการประกาศว่าใครสามารถสมัครเข้าชิงตำแหน่งได้ โดยรอบแรกของการเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้สมัครทั้งหมด 11 คน
The MATTER: แล้วทำไมต้องมีตั้งสองรอบ
ต้องมีสองรอบ เพราะต้องการให้เสียงที่ลงคะแนนให้ประธานาธิบดีนั้น สะท้อนเสียงและเป็นตัวแทนจากการเลือกของประชาชนจริงๆ โดยรอบแรกใช้วิธีการ ‘Absolute Majority’ คือต้องได้เสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่ง คือมากกว่า 50% ถึงจะได้เป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว เพราะการมีผู้สมัครตั้ง 11 คน ทำให้คะแนนเสียงกระจาย พอรอบสองก็คัดสองคนที่ได้คะแนนสูงสุดจากรอบแรกมาแข่งกัน ใช้วิธี ‘Simple Majority’ คือเลือกตั้งแบบธรรมดา เสียงข้างมากเกิน 50% ก็ชนะไป
The MATTER: ระบบนี้มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร
ข้อดีก็คือทำให้ได้ประธานาธิบดีที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนจำนวนมาก มีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือ ไม่เหมือนการเลือกตั้งส.ส.ในระบบอื่น ที่หลายครั้งคนได้ที่ 1 2 หรือ 3 นั้น ได้รับคะแนนเสียงต่างกันนิดเดียว ส่วนข้อเสียอย่างแรกก็คือเปลืองเงิน เพราะการเลือกตั้งแบบนี้ต้องจัดสองรอบเพื่อแลกมาซึ่งความชอบธรรมและเสียงของประชาชน อีกอย่างคือประชาชนอาจจะเบื่อหน่าย เพราะต้องออกไปเลือกตั้ง 2 รอบในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่การเลือกประธานาธิบดี แต่ก็มีการเลือกตั้งส.ส.หรือการเลือกตั้งท้องถิ่นอีก ทำให้ในปีหนึ่งหรือในช่วงเวลาหนึ่ง อาจมีการเลือกตั้งหลายตำแหน่งและหลายรอบมาก
การเลือกตั้งต้องมีสองรอบ เพราะต้องการให้เสียงที่ลงคะแนนนั้น สะท้อนเสียงและเป็นตัวแทนจากการเลือกของประชาชนจริงๆ
The MATTER: แล้วถ้าเทียบกับระบบการเลือกตั้งของไทย
อาจจะเทียบกันไม่ค่อยได้ เพราะระบอบไม่เหมือนกัน ไทยใช้ระบอบรัฐสภา นายกฯ เราไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม ดังนั้น น้ำหนักของการบริหารงานของผู้นำฝรั่งเศส (ประธานาธิบดี) ก็อาจมีมากกว่า นอกจากการออกแบบการเลือกตั้งแบบนี้แล้ว ประธานาธิบดีฝรั่งเศสยังเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย พูดง่ายๆ คือประธานาธิบดีมีส่วนร่วมอย่างมากในการบริหารงาน ดังนั้น การทำงานของประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะสะท้อนผ่านการเลือกตั้งนโยบาย ซึ่งนโยบายของพรรคการเมืองและของประธานาธิบดีของฝรั่งเศสจะชัดเจนมากในแต่ละครั้ง
เปรียบเทียบกับไทย อาจจะเปรียบไม่ได้ เพราะไทยเราพรรคการเมืองแต่ละพรรค การเลือกตั้งแต่ละรอบ นโยบายดูจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก กลายเป็นว่าเราเลือกตัวบุคคลมากกว่า ซึ่งฝรั่งเศสนั้นหลากหลายกว่า คือเราเลือกตัวบุคคลได้ด้วย เลือกนโยบายได้ด้วย เลือกพรรคได้ด้วย ดูจะชัดเจนมากกว่าในรูปแบบนี้
The MATTER: พูดถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ อยากให้อาจารย์แสดงความเห็นเกี่ยวกับจุดยืนทางการเมืองของผู้สมัครที่ผ่านเข้ารอบสองทั้งสองคน
มารีน เลอเปน เป็นพรรคขวาจัด เดาได้ไม่ยากว่ากระแสของเธอมาเพราะกระแสขวาจัดในยุโรปหรือผลจากการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ รวมถึงสถานการณ์ก่อนหน้าที่ฝรั่งเศสเผชิญหน้ากับก่อการร้ายหลายต่อหลายรอบ อาจทำให้คนฝรั่งเศสรู้สึกเบื่อหน่ายและมีทัศนคติไม่ดีต่อมุสลิม มารีน เลอเปนยังเป็นลูกของ เลอเปน ผู้ก่อตั้งพรรค National front พรรคขวาจัดที่เธอสังกัดอยู่ด้วย
ส่วน เอ็มมานูเอล มาครง เป็นขั้วตรงข้ามกันพอสมควร เขาเคยเป็นผู้ช่วยฟล็องซัว ออล็องด์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระ ออล็องด์อยู่พรรคฝ่ายซ้าย ในฝรั่งเศสฝ่ายซ้ายฝ่ายขวานั้นชัดเจนมาก ทุกคนประกาศจุดยืนว่าเป็นซ้ายหรือขวาได้ ซึ่งมาครงก็ประกาศว่าตัวเองเป็นกลาง แต่จริงๆ คนฝรั่งเศสก็แซวกันว่ามาครงเป็นเบบี้ของออลองค์อยู่ดี เพราะเคยทำงานให้กันมาก่อน อย่างไรก็ดีจุดยืนของเขากับเลอเปนนั้นตรงข้ามกัน
จุดยืนอย่างเรื่อง EU ก็เป็นประเด็นสำคัญ เราอาจจะเห็นว่าปรากฏการณ์ขวาในยุโรปมันเข้มแข็งขึ้น ชัดเจนมากขึ้น หลังจากอังกฤษออกจาก EU ฝรั่งเศสเองก็คุกรุ่นอยู่เหมือนกัน เลอเปนเขาไม่เห็นด้วยและวิจารณ์การทำงานของ EU เยอะมาก อยากดึงอำนาจของประเทศที่ยกให้ EU กลับคืนมาให้ฝรั่งเศส ไม่อยากให้ EU ออกกฎเกณฑ์บังคับกับฝรั่งเศสมากจนเกินไป ถ้าเธอได้เป็นประธานาธิบดีก็มีแผนจะลองเจรจากับ EU ดู แต่หลังจาก 6 เดือน ถ้าไม่ได้ผล เธอจะทำประชามติถามประชาชนเลยว่าอยากออกจาก EU ไหม ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก
ส่วนมาครงเขาบอกเลยว่าเขาเป็นยูโรเปี้ยน เขาสนับสนุนการอยู่ใน EU เพราะเขาคิดว่าการอยู่ใน EU เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จะทำให้มีอำนาจต่อรองกับอเมริกา รัสเซีย หรือจีนได้ เรียกได้ว่ารวมกลุ่มกันเพื่อใช้ฐานเศรษฐกิจไปต่อรอง มาครงเคยทำงานอยู่กระทรวงการคลัง ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ จะมีวิธีคิดแบบโลกาภิวัตน์ เน้นเศรษฐกิจและความร่วมมือ นี่ก็จะเป็นความคิดขั้วตรงข้ามที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรป
The MATTER: ความแตกต่างของผู้สมัครทั้งสองคน เมื่อได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี จะส่งผลกระทบต่อฝรั่งเศส ภูมิภาค และโลกในทางไหน
ถ้าเลอเปนได้ก็จะเปลี่ยนแปลงประเทศพอสมควรแน่นอน ด้วยความขวาจัด แต่อย่างไรก็ดี เวลาเราพูดว่าขวาจัด มันไม่มีขวาจัดในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว คือความคิดขวาก็จริง แต่ก็ไม่ได้ขวาสุดโต่งขนาดนั้น ถ้าเราดูนโยบายดีๆ ก็มีความสอดคล้องกับผู้สมัครอีกคนที่เป็นฝ่ายซ้าย อย่างเช่น ช่วยเหลือคนฝรั่งเศส ช่วยเหลือฐานราก แต่พอดีเลอเปนมีความคิดต่อต้านการอพยพ ไม่อยากให้มีผู้อพยพเข้ามา ก็จะแตกต่างออกไปในจุดนี้ จะมีการจำกัดผู้อพยพ ลดการช่วยเหลือจากรัฐ เก็บภาษีคนต่างชาติที่ไปทำงานในฝรั่งเศสมากขึ้น ปฏิบัติต่อคนต่างชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นนโยบายของฝรั่งเศสที่ฝ่ายซ้ายริเริ่มไว้คือ ทำทุกอย่างให้เท่าเทียมกัน
ในขณะที่มาครงอาจจะไม่ได้เปลี่ยนมากนัก มาครงจะใช้เงินอุดหนุนสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นจุดบอดที่พรรคโซเชียลลิสต์ของออลองด์ทำไม่ได้ในระยะเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นทางเลือกสายกลางๆ ของคนที่คิดอยากให้ประเทศอยู่ได้ด้วย Globalization และเปิดเสรีทางการค้า แต่คนที่เลือกเลอเปน เข้าใจว่าเบื่อหน่าย เรียกได้ว่ามีทัศนคติไม่ค่อยดีต่อคนต่างชาติ คิดว่าการจ่ายภาษีเพื่อไปอุดหนุนคนต่างชาตินั้นไม่แฟร์สำหรับเขา
แนวโน้มใครจะชนะดูจากโพล เลอเปนจะได้ 41% ส่วนมาครงจะได้ 59% ซึ่งมาครงชนะ แต่ก็สูสี เพราะรอบแรกเลอเปนได้ 21.3% ซึ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ และคนกลุ่มนี้จะเลือกเขาแน่นอน ในขณะที่มาครง มีคนที่เลือกเขาในรอบแรก 23.7% แต่ก็ยังมี คะแนนเสียงของผู้สมัครคนอื่นที่ไม่ได้ผ่านเข้ารอบสอง ซึ่งอาจจะมากระจายให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
อาจารย์คุยกับเพื่อนอาจารย์ที่เป็นคนฝรั่งเศส เขาไม่เลือกทั้งสองคนเลย เขาจะโหวตขาว (ไม่เลือกใครเลย) เพราะเขาทำใจไม่ได้ที่จะเลือกมาครงด้วย เพราะเขามองว่ามาครงเด็กเกินไปและทัศนคติที่มาครงมองฝรั่งเศสนั้นเหมือนเด็กได้ของเล่น แล้วก็ยังเป็นร่มเงาของออลองด์อยู่ดี เขารู้สึกเสียดายคะแนนเสียงของเขา แต่ยังไงคนชนะก็ต้องได้เกิน 50% อยู่ดี เพราะไม่ได้เอาคะแนนโหวตขาวมานับรวม
การทำงานของประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะสะท้อนผ่านการเลือกตั้งนโยบาย ซึ่งนโยบายของพรรคการเมืองและประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะชัดเจนมากในแต่ละครั้ง
The MATTER: แล้วการเลือกตั้งฝรั่งเศสครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อไทยอย่างไรบ้าง
ผลกระทบต่อไทยก็คงมีจากหลายต่อ แต่ก็ไม่ได้กระทบทางตรงขนาดนั้น ถ้ากระทบก็คงเป็นเศรษฐกิจบ้าง เพราะถ้าเลอเปนได้ก็จะเกิดนโยบายปิดเสรีทางการค้า แต่คือฝรั่งเศสกับไทยไม่ได้เป็นคู่ค้าหลักอยู่แล้ว หรืออาจจะกระทบด้านการท่องเที่ยวบ้าง เพราะคนไทยไปเที่ยวฝรั่งเศสเยอะ ไปทำงานเยอะ ก็อาจมีผลเรื่องการขอวีซ่า
The MATTER: อาจารย์มองเทรนด์การเมืองโลกในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร
อาจารย์เห็นด้วยว่ากระแสหันขวากำลังมา คือก่อนหน้านี้ฝั่งซ้ายในฝรั่งเศสเข้มแข็งมาก แต่อย่างไรก็ดีฝั่งซ้ายในฝรั่งเศสหรือในยุโรปก็ต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับระบบเศรษฐกิจที่ไม่อำนวย เรื่องใหญ่ที่ฝ่ายซ้ายทำคือเรื่องรัฐสวัสดิการ การทำรัฐสวัสดิการหรือรับผู้อพยพแบบนี้ใช้เงินเยอะ แล้วถ้ามีปัญหาเศรษฐกิจและผู้ก่อการร้าย ฝ่ายซ้ายก็อยู่ลำบาก กระแสฝ่ายขวาเลยมา และอาจเป็นเพราะกระแสโลกด้วย ลองดูตัวเลข พรรคขวาจัดของฝรั่งเศสไม่เคยได้คะแนนเสียงมากขนาดนี้ คือ 7.7 ล้านเสียง แนวโน้มมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าถ้าครั้งนี้จะไม่ได้ครองเก้าอี้ประธานาธิบดี แต่ก็อาจจะได้ที่นั่งในสภามากขึ้น เมื่อได้ที่นั่งมากขึ้นก็จะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น กระแสขวานี่กำลังมาแน่ ถ้าฝ่ายซ้ายไม่ปรับก็จะอยู่ลำบาก
The MATTER: ทำไมแนวการเลือกผู้สมัครทั้งสองคนถึงแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคของฝรั่งเศส
เลอเปนได้คะแนนเสียงนอกเขตปารีส ภาคเหนือ และภาคใต้ที่มีผู้อพยพอยู่มาก โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เป็นประตูสำหรับผู้อพยพ ส่วนภาคเหนือเป็นโซนติดกับเยอรมนี คนแถบนั้นเป็นแนวอนุรักษ์นิยม ส่วนมาครงได้คะแนนเสียงเขตปารีสมาก เพราะคนปารีสชอบการเปลี่ยนแปลง รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากศูนย์กลาง มีหัวก้าวหน้ามากกว่า อยู่ใกล้ศูนย์กลางทางอำนาจ เลยชอบลอง ชอบเปลี่ยน อยากได้อะไรใหม่ๆ แต่แนวทางเลือกก็ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละภูมิภาคอีกด้วย
เขาไม่ได้มองว่าคนนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เขามองวิธีคิดหรือนโยบายที่อยู่ในหัว ดังนั้นผู้ชายหรือผู้หญิงไม่ใช่ข้อแตกต่าง
The MATTER: ความเป็นผู้หญิงของเลอเปนส่งผลกระทบต่อการลงสมัครเลือกตั้งหรือการเป็นประธานาธิบดีไหม
ในฝรั่งเศส ผู้ชายผู้หญิงแทบจะเท่ากันหมด มันมีกฎหมายหลายฉบับที่กำหนดยกตัวอย่างเช่น ส.ส.ต้องส่งผู้สมัครชายและหญิงเท่ากัน คือฝรั่งเศสจะพยายามส่งเสริมบทบาทผู้หญิงอยู่แล้ว อีกอย่างบุคลิกของเลอเปนก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงดูอ่อนแอ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีประเด็น อาจารย์เคยถามอาจารย์ฝรั่งเศสอีกคน เขาบอกว่าเวลาเขามองเลอเปน เขาไม่ได้มองว่าคนนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เขามองวิธีคิดหรือนโยบายที่อยู่ในหัว ดังนั้นผู้ชายหรือผู้หญิงไม่ใช่ข้อแตกต่าง แต่ความคิดหรือนโยบายที่จะทำให้ฝรั่งเศสไปทิศทางไหนต่างหาก ที่เป็นประเด็นสำคัญ
The MATTER: ไทยจะเรียนรู้อะไรได้จากการเลือกตั้งฝรั่งเศส
อย่างแรกคือการเลือกตั้งของฝรั่งเศสถูกควบคุมโดยหลายองค์กร ไม่มีกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เหมือนเรา แต่ควบคุมโดยคณะตุลาการ คณะกรรมการที่ดูเรื่องโพล คณะกรรมการที่ทำเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินในการหาเสียง การทำแคมเปญและมีเดีย การที่มีกรรมการเหล่านี้ ก็เพื่อให้ผู้สมัครเลือกตั้งมีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมาจากพรรคใหญ่ พรรคเล็ก หรือเป็นผู้สมัครอิสระ ทุกคนจะ มีเวลาในการออกสื่อเท่ากัน ใช้เงินเท่ากัน ติดประกาศในสถานที่ที่หน่วยงานของรัฐให้ติด ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในการนำเสนอ นี่อาจเป็นวิธีที่ไทยควรจะได้เรียนรู้
อีกบทเรียนสำคัญที่เราเห็นจากฝรั่งเศสได้คือ แม้ว่าฟล็องซัว ออลองด์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคะแนนนิยมตกลงมาก ประชาชนไม่ยอมรับมากขึ้น แต่ก็ไม่มีการทำรัฐประหาร ประชาชนอยู่ภายใต้ระบอบซึ่งเป็นระบอบที่เข้มแข็งมาก ต่อให้ผู้สมัครจะอยู่ขั้วตรงข้ามกันแบบสุดโต่ง ทั้งวิธีคิดต่อ EU ต่อสังคม หรือต่อการเมือง
แต่ทุกคนก็อยู่ภายใต้ระบอบที่ควรจะเป็นคือระบอบประชาธิปไตยและให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศตัดสินใจว่า ประชาชนอยากได้ผู้นำประเทศแบบไหน อยากให้ทิศทางประเทศไปในทางไหน และเป็นวิถีทางในการเลือกตั้งที่ศิวิไลซ์ ลดความขัดแย้ง และทำให้ทุกคนในประเทศยอมรับได้ผ่านการเลือกตั้ง