ดาราออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองได้ไหม?
เมื่อไหร่ก็ตามที่เหล่าดารา นักแสดง หรือใครก็ตามที่มีชื่อเสียง แสดงจุดยืนทางการเมือง ก็จะตามมาด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ชนิดที่ว่า จากเรื่องที่ตอนแรกไม่ได้รับความสนใจมาก อาจกลายเป็นแฮชแท็กอันดับหนึ่งในโลกออนไลน์ได้
แต่ดาราควรออกมาพูดเรื่องการเมืองไหม? ถ้าได้ พวกเขาจะพูดได้มากน้อยแค่ไหนกัน? แล้วจะมีผลต่อหน้าที่การงานหรือเปล่า?
อย่างกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เมื่อมารีญา พูลเลิศลาภ ที่หลายคนรู้จักจากเวทีมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2017 ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางอินสตาแกรมที่มีผู้ติดตามกว่า 578,000 คน แสดงความคิดเห็นต่อการหายตัวไปของวันเฉลิม ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ถูกอุ้มหายไป พร้อมกับติดแฮชแท็ก #SaveWanchalerm
การออกมาแสดงจุดยืนของเธอ เรียกเสียงฮือฮาในโลกโซเชียลอย่างมาก หลายคนมองว่า เธออาจได้รับผลกระทบจากการจ้างงานก็ได้ ซึ่ง เบนซ์–ธนชาติ ศิริภัทราชัย ผู้กำกับและนักเขียนแห่ง Salmon House ก็ทวีตข้อความที่ถามว่า มารีญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ไหนบ้าง? เพราะต้องการซื้อสินค้าเหล่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า มีคนพร้อมสนับสนุนเธออยู่เช่นกัน พร้อมด้วย #เราจะสู้ด้วยทุนนิยม
The MATTER จึงไปพูดคุยกับ เบนซ์-ธนชาติ ถึงประเด็นที่เกิดขึ้น เพื่อหาคำตอบว่า เหล่าคนดังแสดงจุดยืนทางการเมืองได้หรือไม่ แล้วเราสามารถสนับสนุนพวกเขาได้อย่างไรบ้าง?
ไอเดียของ #เราจะสู้ด้วยทุนนิยม มาจากไหน?
เชื่อไหมว่า ไม่ได้คิดอะไรเยอะกว่า 1 นาทีเลย เราแค่เห็นมารีญาออกมาพูด แล้วก็เหมือนเดิมแหละ ใครพูดอะไรก็จะมีกระแสต่อต้านจากอีกฝั่ง ก็เลยคิดว่า แล้วทำไมไม่มีฝั่งซัพพอร์ทบ้าง เลยคิดแบบเร็วๆ ว่า เขาเป็นพรีเซนเตอร์อะไรบ้าง เดี๋ยวจะไปซื้อ อยากอุดหนุน อยากให้คำพูดที่บอกว่าดาราห้ามพูดการเมือง โดยเฉพาะฝั่งประชาธิปไตย มันไม่เสมอไปหรอก ไม่ได้มีแต่คนค้านหรอก มีฝั่งที่กระตือรือร้นซึ่งอยากสนับสนุนคนดังเหล่านี้เหมือนกัน
เราก็รู้อยู่ว่าในเมืองไทย การที่คนดังออกมาพูด ไม่มากก็น้อย มันส่งผลต่อรายได้ด้วย มีคนไม่ชอบ แบรนด์จะเป็นยังไง เซนซิทีฟแค่ไหน อีเวนท์เป็นยังไง ถ้าคนที่เล่นละคร ที่ช่องเขาจะเป็นยังไง รู้จักผู้ใหญ่คนไหนไหม เราก็เลยอยากจะบอกว่า ไม่เสมอไปนะ ที่จะมีแต่ลบ อีกฝั่งเขาก็ชอบที่คุณออกมาพูด ชอบที่คุณมีจุดยืน คุณเป็นกระบอกเสียง คุณได้ใช้สิทธิที่พูดแล้วมีคนฟังเยอะๆ ของคุณ ความเป็นจุดความสนใจของคุณแล้ว ก็อยากสนับสนุนแค่นั้นแหละ แค่คิดแบบไวๆ เลยว่า ทำไมต้องมีแต่คนต้านอย่างเดียว เราก็อยากจะซัพพอร์ทเหมือนกัน
คิดว่า ดาราหรือคนดัง ควรออกมาแสดงจุดยืนไหม?
เราไม่ได้บังคับ เราไม่ถึงขนาดต้องไปเรียกร้อง เฮ้ย ทำไมเงียบจังเลย ถ้าออกมาพูด เราก็จะบอกว่า เราพร้อมซัพพอร์ทนะ ให้เขาเลือก แต่เราอาจจะไม่ได้ใช้คำแบบว่า ดารา ‘ต้อง’ ออกมาแสดงจุดยืน เพราะมันก็เป็นสิทธิของเขา แต่ถ้าพวกเขาแสดงออกมา คุณก็ได้ใจเรา
แล้วคิดยังไงกับการที่คนดังออกมาแสดงความคิดเห็น?
สำหรับเรา ถ้าตัดเรื่องซ้าย-ขวาไป เราแค่รู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เราไม่ควรจะยอม ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม กระทั่งคุณวันเฉลิม ถ้าเขาอยู่อีกฝั่งนึง เขาก็ไม่ควรจะถูกทำให้หายไปเช่นกัน การถูกอุ้มมันเป็นเรื่องที่บ้ามาก และไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใคร ไม่ว่าจะในยุคไหนๆ หรือฝั่งไหนก็ตาม
สำหรับเรา ดาราออกมาพูดได้ และสามารถเลือกท่าทีได้ เหมือนสั่งชานมไข่มุก มันมีระดับความหวานแบบ 100% 75% 50% หรือ 25% เราแสดงออกได้หลายทาง ยิ่งมีเครื่องมือออนไลน์ ทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ก อาจจะไม่ได้ทำแบบคุณมารีญา ซึ่งคือ 100% แต่คุณก็เลือกรีทวีตที่เขาออกมาแถลงการณ์ไหม หรือกระทั่งท่าทีเบื้องต้นอย่างแชร์ข่าวว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้น สำหรับเรามันก็โอเคแล้ว โดยที่คนดังเหล่านั้นเขาไม่บอกด้วยซ้ำว่าคิดยังไง แค่บอกว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น
เราว่ามันเลือกได้หลายท่าที แล้วก็ประยุกต์ได้หลายลีลา การแสดงออกมันมีชั้นเชิงนะ หลายๆ เพจที่เขาทำเป็นการ์ตูนแบบ informative บางคนก็ทำเป็นวิดีโอ หรือถ้าเป็นสายแซะก็บิดไปเป็นอย่างอื่น มันมีวิธีเยอะมาก ใครสะดวกพูดอะไรก็ได้ ใครไม่สะดวกพูดเลย อยากรักษาระยะห่างนิดนึง มันก็มีท่าทีอยู่ เราเองเหมือนกัน สิ่งที่เราทำมันก็เป็นท่าทีของเราที่เราสบายใจ แล้วเรารู้สึกว่า ยังไม่มีคนเติมเต็มตรงนี้
ท่าทีที่ตัวคุณเลือกแสดงออกมา ถือว่าเป็นแบบไหน?
เราไม่รู้จะนิยามว่าอะไร เพราะไม่ได้กำหนดด้วยซ้ำ แต่เราแค่คิดว่า มีคนออกมาพูดแล้วใช่ไหม แล้วเราเองก็ทำโฆษณา เรารู้ว่า message แบบนี้ยังไม่ถูกใช้ เลยคิดว่า ถ้างั้น ทำไมไม่มีคนมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์บ้างล่ะ อยากสนับสนุนนะ ทำไมเราถึงจะปล่อยให้เขาถูกแบนอย่างเดียว แล้วกลายเป็นว่าต้องเจอกับ คำพูดประเภทว่า เห็นไหมล่ะ ออกมาพูดเรื่องการเมือง หาเรื่องใส่ตัว ซึ่งถ้ามันเกิดผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ดี แบรนด์ก็จะถอดพรีเซนเตอร์ออก ก็เลยคิดแค่ว่า แล้วทำไมไม่มีฝั่งที่สนับสนุนบ้าง ก็เลยไปซื้อของที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์มาใช้
ในฐานะที่เป็นคนทำงานโฆษณา คิดว่ามันมีข้อจำกัด หรืออะไรที่เป็นอุปสรรคในการแสดงออกบ้างไหม?
เราบอกเลยว่า วงการโฆษณาเป็นอีกวงการนึงที่คุณจะไม่ค่อยเห็นการออกมาแสดงออกทางการเมือง มีบ้างแหละ ฮาร์ดคอเลยก็มี แต่โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ เพราะต้องยึดโยงกับลูกค้าและเอเจนซี่
เราเข้าใจนะ โคตรเข้าใจเลย มันก็เป็นงานของเรา ถ้าเกิดทำตัวเปรี้ยวไป ลูกค้าก็ไม่ชอบ ก็รู้อยู่ว่าเมืองไทยมันเป็นระบบอุปถัมภ์ บางทีเอเจนซี่อาจจะไม่ได้อะไร แต่มีคนที่รู้จักกันมาบอกว่า “เฮ้ย ไอ้นี่แม่งทำตัวอย่างนี้ว่ะ ดูแลหน่อย”
เลยกลายเป็นว่า มันดีที่สุดและฉลาดที่สุดที่จะอยู่เงียบๆ แล้วก็แชร์สิ่งดีๆ แชร์แต่ positive things
แชร์เรื่องท่องเที่ยวต่างๆ มุมนั้นมุมนี้ ญี่ปุ่นสวยๆ หมาเอย อะไรเอย มันฉลาดที่สุดอยู่แล้ว และคนเข้าใจ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะพูดว่า มันเลือกท่าทีได้ไหม? มันเลือกความหวานได้เหมือนชานมไข่มุกไหม เราก็แค่เลือกท่าทีในการแสดงออกของเรานั่นแหละ
แล้วการออกมาแสดงความคิดเห็นแบบนี้ มีข้อกังวลอะไรไหม?
เราไม่ได้กังวล เพราะว่าเราคิดมาแล้ว เราทำงานด้านการสื่อสาร เราคิดมาแล้วว่า นี่เป็นการสื่อสารในเลเวล ดีกรี และชั้นเชิงที่เราสบายใจ แล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่อะไรที่สุดโต่ง มากเกินไป เราแค่สนับสนุนดาราที่เขามีจุดยืนตรงนี้ แค่ซื้อแบรนด์เขา การซื้อ xxx (ชื่อแบรนด์) มันไม่ใช่อะไรที่สุดโต่ง เราก็แค่ อ๋อ มารีญา ออกมาแสดงจุดยืนแบบนี้เหรอ งั้นผมก็ซื้อสินค้าของคุณ แค่นั้น
เห็นฟีดแบ็ก #เราจะสู้ด้วยทุนนิยม ที่ออกมาแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง?
ก็เหวอๆ ดีนะ เพราะเอาจริงๆ #เราจะสู้ด้วยทุนนิยม เราก็คิดแบบไวๆ ไม่ได้คิดมากเลย ถ้าไปวิเคราะห์จริงๆ มันอาจจะผิดโครงสร้าง หรือผิด PC ก็ได้ สู้ด้วยทุนนิยม แล้วทุนนิยมเกี่ยวโยงกับใคร อะไรอย่างนี้ มันอาจจะผิดก็ได้
จริงๆ เราก็ไม่ได้เล่นทวิตเตอร์เยอะ เราเพิ่งมาเล่นบ้างในปีนี้เอง จะเห็นว่ามีคนติดตามเรา 7,000 กว่าคนเอง ไม่ได้เยอะขนาดนั้น แล้วเราก็โพสต์อะไรเล่นๆ ของเราไป ปรากฏ เอ้า คนแชร์เยอะ มันก็มีคนที่เห็นด้วยกับเรา คนที่เห็นว่าก็สนับสนุนได้นี่ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย คุณพูดแบบนี้ แล้วเราเห็นด้วยกับคุณ เราก็ไปซื้อของ สนับสนุนคุณ ก็ออกมาพูดได้นะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
กรณีที่คนเรียกร้องให้คนดัง ดารา เซเลบริตี้ออกมาแสดงความคิดทางการเมือง คิดเห็นยังไงบ้าง?
ในมุมเรานะ เราไม่ตัดสินคนที่ออกมาเรียกร้องหรือไปขุดแค่ไหน แต่ก็ต้องดูอีกทีว่า วาระที่เขาทำออกมา มันมีท่าทียังไง เข้มข้นแค่ไหน เขามีความรู้สึกนึกคิดยังไง และตอนนี้เขาเป็นยังไง เรารู้สึกว่าคนเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สิ่งที่คนนี้แสดงออกเมื่อ 5 ปีก่อน กับตอนนี้ มันก็เปลี่ยนได้นะ แล้วถ้าเขาจะออกมาพูดตอนนี้ ให้สัมภาษณ์ ขอโทษ หรือใดๆ ก็ตาม เขาก็ทำได้
ขณะเดียวกัน กระทำของเขาในปัจจุบันมันก็อาจจะเป็นการพูดแล้วหรือเปล่าว่า เขาเองก็เปลี่ยนแปลงทางความคิดบางอย่าง หรือกับคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย เราก็ไม่อะไรกับเขา ก็สิทธิ์ของคุณ ขั้นไหนก็สิทธิ์ของคุณ
แล้วเราก็จะไม่ไปว่าคนที่ขุดเหมือนกันว่า สิ่งที่คุณทำมันถูกหรือผิด แต่ในมุมของเรา เราแค่รู้สึกว่าคนเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
คิดว่าคนในแวดวงบันเทิง สามารถขยับเพดานเรื่องการพูดเรื่องการเมืองไปยังไงได้อีกบ้าง?
ขยับได้เว้ย จริงๆ เลือกเลเวล และท่าทีทีคุณสบายใจ น้อยที่สุดก็รับรู้ว่ามันเกิดขึ้น แค่แชร์ว่าคุณฟังพอดแคสต์อันนี้ ที่เขาพูดถึงประเด็นนี้ สำหรับเราโอเคแล้ว เออ อย่างน้อยก็รับรู้ว่ามันเกิดขึ้น แล้วจะขยายความยังไงต่อไปก็ว่ากัน ยิ่งในยุคปัจจุบัน ถ้าคุณเป็นแบรนด์ โฆษณา ถ้าคิดลงไปให้ลึกกว่านั้น กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใครล่ะ?
สมมติ เรามีแบรนด์ A แล้วกลุ่มเป้าหมายคือใคร? ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่เขามีทัศนคติทางการเมืองยังไง คุณสื่อสารได้นะ อันนี้ยิ่งเป็นบวกกับคุณใช่ไหม อย่างกรณีของ Nike ทำไมเขาถึงออกมาสนับสนุน โคลิน เคเปอร์นิก (Colin Kaepernick) นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลผิวดำ ในตอนนั้นล่ะ? เพราะเรารู้ว่ากลุ่มลูกค้าส่วนมากของเขาคือใคร ใครใช้ Nike ใครเชื่อในแบบเค้า แล้วเขาคำนวณมาแล้วว่า สุดท้ายมันจะมีผลต่อตัวเลขในทางที่ดี ซึ่งมันก็ออกมาในทางที่ดีจริงๆ
แต่เราก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นหรอก เราแค่พูดในมุมตื้นๆ ผิวเผินมากๆ ซึ่งก็คือ ทุกคนแสดงออกได้ ในเลเวลไหนก็ได้ การบอกว่า ต้องแสดงออกทางการเมือง ไม่ได้มีแค่ว่า กูเอาอันนี้ ไม่เอาอันนี้ มันมีหลายเลเวล
ทำให้การแสดงออกทางการเมือง เหมือนความหวานของชานมไข่มุก หวานมาก หวานน้อย หวานปกติ เราเลือกความหวานได้
เทียบระหว่างต่างประเทศกับไทยแล้ว การแสดงออกของคนในแวดวงเหล่านี้มันแตกต่างกันหรือเหมือนกันยังไงบ้าง?
เราเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญนะ แต่ตอนเราอยู่นิวยอร์ก เราชอบดูรายการของ จอห์น โอลิเวอร์ (John Oliver) กับ ฮาซาน มินาจ (Hasan Minhaj) พวกสายการเมืองต่างๆ รายการทีวีของนิวยอร์กมันจะมีประเภทที่เรียกว่า political comedy ของมันเลยนะ เอาเรื่องการเมืองมาเล่าให้สนุก เราก็สงสัยว่า ทำไมเมืองไทยไม่มีอะไรแบบนี้ในช่องหลักบ้าง? โอลิเวอร์ก็ออกมาด่าทรัมป์นะ ด่าเละ แต่ด้วยท่าทีที่สนุกและคมคายของเขา แต่ทำไมบ้านเราถึงไม่มีรายการแบบนี้ในช่องหลักเลย
ก็ชวนคิดต่อว่า หรือเพราะประเทศเขามันกว้างพอ และหลากหลายพอที่ไม่ว่าคุณจะออกมาพูดด้านไหน มีคนที่แบน ไม่เห็นด้วยกับคุณแหละ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีคนอีกฝั่งที่ออกมาสนับสนุนคุณ นำมาซึ่งความนิยม และความสนใจที่ทำให้เขาไม่หายไป แต่บ้านเรา เราไม่รู้ว่ามันแคบไป หรือเพราะระบบอุปถัมภ์แบบที่เราบอก ถ้าออกมาพูดเปรี้ยวๆ ปุ๊บ ต่อให้เจ้าของแบรนด์หรือหัวหน้าใหญ่ของคุณไม่คิดอะไร แต่เขาเป็นรู้จักกับคนที่ไม่ชอบให้พูดเรื่องนี้ มันอาจจะไล่ๆ กันลงมาแบบนี้หรือเปล่า แล้วเราก็มีบริษัทใหญ่ไม่กี่บริษัท เรื่องคอนเนคชั่นก็สำคัญ ระบบผู้ใหญ่ดูแลผู้น้อยซึ่งสาวโยงมาถึงคนนั้นคนนี้ได้ง่าย และก่อให้เกิดความชิบหายได้ง่าย
หรือเราอาจจะต้องหาคนดำเนินรายการ หรือ political programer ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ป๊อปมากขึ้น ด้วยท่าทีที่เสพง่าย หรือจริงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยในประเทศไทยที่มีระบบอุปถัมภ์ อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน
เราว่าแบรนด์ต่างๆ เห็นที่คุณมารีญาออกมาแสดงจุดยืน แบรนด์อาจจะไม่ได้เปลี่ยนมากก็ได้ เขาอาจจะ play safe เหมือนเดิม ไม่แสดงท่าทีอะไรมากก็ได้ แต่แบรนด์เหล่านี้ก็จะเห็นอีกด้าน ไม่มากก็น้อยว่า มันไม่ได้มีแต่ลบเสมอไป มีคนที่พร้อมจะสนับสนุนเหมือนกัน นั่นคือ ความตั้งใจของเรา เราไม่ได้บอกว่า เราจะพลิกทุกอย่าง ทำให้ดารากล้าออกมาแสดงความเห็นเต็มที่ ไม่ใช่ เราแค่จะแง้มๆ ให้ดูอีกฝั่งว่า มันมีคนที่พร้อมจะสนับสนุน เวลาที่พรีเซนเตอร์ของคุณออกมาพูด
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ คิดว่า อนาคตจะทำให้การแสดงออกจุดยืนในแวดวงนี้จะเปลี่ยนไปยังไงไหม?
เราว่ามีผลนะ ต่อไปไม่มากก็น้อยดาราอาจจะกล้าแสดงออกมากขึ้น แล้วหลายๆ คนก็รู้อยู่แล้วด้วยว่า มีคนที่ทำแล้วไม่ได้แย่อะไร ไม่ใช่ว่าเขาทำแล้วถูกแบนทั้งวงการ แล้วต้องอัปเปหิตัวเองออกไป ถ้าไม่ได้ออกมาพูดอะไรที่แย่ขนาดนั้น สักพักมันจะพิสูจน์ว่า คุณพูดได้ด้วยน้ำเสียง ด้วยท่าที ด้วยท่าทางที่คุณสบายใจ มันไม่ถึงกับว่า ต้อง say nothing เลย ดาราต้องไม่ยุ่งการเมืองเลย ไม่ใช่ มันพูดได้
ยังไม่ต้องนับรวมไปถึงว่า คนที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย เขามีคอนเทนต์ของตัวเองในยุคนี้ได้ ซึ่งไม่ยึดโยงกับช่อง หรือละครขนาดนั้น ทุกคนมี YouTube มี TikTok เราเชื่อว่า ทิศทางในอนาคตเมื่อทุกคนรู้ว่า ทุกคนมีช่องทางตัวเองแล้ว ไม่ได้ต้องไปเข้าหาผู้ใหญ่ตามช่อง ตามค่ายอย่างเดียว เขาก็จะกล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น