วันคริสมาสต์ปี 2567 ที่ผ่านมา ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. … ถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และผ่านการลงมติวาระ 2 และ 3 อย่างง่ายดาย โดยได้รับเสียงเห็นชอบท่วมท้นจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
แม้ในช่วงเวลาดังกล่าวจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว ทำให้มีข่าวกระแสหลักออกมาไม่มากนัก แต่กลับเป็นกระแสถกเถียงในอินเทอร์เน็ตกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการผ่อนปรนมาตรา 69 ของกฎหมายชุดเดิมที่จะเปิดโอกาสให้ใช้เครื่องมืออวนล้อมจับ ซึ่งมีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร นอกเขต 12 ไมล์ทะเล และในเวลากลางคืน
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์ 416 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ประมงฯ รวม 8 ร่าง ที่นำเสนอโดยคณะรัฐมนตรีและอีก 7 พรรคการเมือง ได้แก่ ภูมิใจไทย เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ก้าวไกล ประชาชาติ และรวมไทยสร้างชาติ โดยที่ประชุมสภาฯ มีมติแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 37 คน เพื่อพิจารณาและนำร่าง พ.ร.บ.ประมงฯ ฉบับของกมธ. นี้เข้าสู่การสภาฯ เพื่อลงมติวาระ 2 และ 3 ตามลำดับ
ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.ประมงฯ ฉบับกมธ. ที่ผ่านการลงมติวาระ 2 และ 3 จากสภาฯ แล้ว ได้รับการพิจารณาวาระ 1 ของที่ประชุมวุฒิสภาในวันที่ 13 มกราคม 2568 ด้วยคะแนนเสียง 165:11 (งดออกเสียง 7, ไม่ลงคะแนน 1) และตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ซึ่งมีกรอบบังคับ 30 วัน เนื่องจากเป็นพรบ. เกี่ยวกับการเงินจึงสามารถขยายเวลาได้
ในลำดับถัดไปเมื่อกมธ. พิจารณาเรียบร้อยแล้วก็จะเข้าที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อลงมติวาระ 2 และ 3 ซึ่งถ้าหากผ่านวาระ 3 แล้วจะสามารถประกาศเป็นกฎหมายได้ แต่ถ้าหากมีการแก้ไขก็จำต้องส่งกลับไปให้ที่ประชุมสภาลงมติเห็นด้วยอีกครั้งหนึ่ง

กระเบนปีศาจหางหนาม (Mobula) ที่ติดมากับเรืออวนล้อมปั่นไฟในทะเลอันดามันตอนกลางคืน
ข้อกังวลถึงการแก้ไขกฎหมายประมงต่อมีต่อสิ่งแวดล้อม
แม้ค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันว่า พรก.การประมง พ.ศ. 2558 มีหลายจุดที่ไม่สมเหตุผล และมีบทกำหนดโทษรุนแรงจนเกินเหตุ แต่การเสนอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้กลับเป็นประเด็นร้อนแรง จากการผ่อนปรนมาตราที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เช่น มาตรา 69 ซึ่งถึงแม้จะมีมาตราที่เกี่ยวข้องกับมาตรการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำรวมอยู่ด้วย แต่ก็เป็นที่กังขาว่าจะบังคับใช้ได้จริงมากน้อยเพียงใด
อันที่จริงแล้ว กฎหมายห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีขนาดช่องตาเล็กว่า 2.5 เซนติเมตรทำการประมงในเวลากลางคืน ได้ออกเป็นประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้วตั้งแต่ปี 2534 ในขณะนั้น ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประมง ในประกาศให้เหตุผลว่า เป็นการทำลายพันธุ์สัตว์น้ำที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง แต่ปริมาณปลากะตักที่จับได้ในอ่าวไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น จึงเป็นตัวบ่งชี้ว่า การมีกฎหมายที่เข้มแข็งแต่การบังคับใช้หละหลวม ไม่อาจทำให้การบริหารทรัพยากรสัมฤทธิผล อีกทั้งเครื่องมือและวิธีการจับปลากะตักตอนกลางวันนั้นมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง จนเก็บกวาดประชากรปลาได้อย่างดีมากพอจนจำนวนลดลงอยู่แล้ว โดยจำนวนปลากะตักค่อยๆ เพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการควบคุมเรือประมงผิดกฎหมายหลังปี 2558 และอัตราการจับลดลง
อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญของมาตรา 69 นี้คือ การห้ามใช้เครื่องมือช่องตาเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตรกับอวนล้อมจับในเวลากลางคืน ส่วนในเวลากลางวันและเครื่องมือบางประเภท เช่น อวนช้อน อวนครอบ และอวนยกนั้น อนุญาตให้ใช้ได้อยู่แล้ว
ข้อกังขาถึงการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ยังสะท้อนให้เห็นในมาตรา 57 ของพรก.การประมง พ.ศ. 2558 ที่ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำหรือนำสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดขึ้นเรือประมง” ซึ่งเป็นหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรที่พึงปฏิบัติ แต่ในเชิงปฏิบัตินั้นยังไม่มีการประกาศออกมา และยังไม่สามารถหาข้อสรุปแนวทางประกาศกำหนดการจับได้ แม้ว่าทางกรมประมงจะจัดการประชุมร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปแล้ว 4 ครั้งในระหว่างปี 2564-2565
ภาครัฐเองก็ไม่มีนโยบายห้ามส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงที่ปนเปื้อนสัตว์น้ำวัยอ่อน เนื่องจากอ้างว่าเป็นสินค้าประมงอยู่ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ที่กำหนดค้าขายเสรี ทั้งนี้ไทยยังส่งออกปลาป่นที่ปนเปื้อนสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อน ปีละกว่า 150,000 ตัน ซึ่งจากข้อมูลงานวิจัยการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำ หลังการจับของเรืออวนลากคู่บริเวณอ่าวไทยตอนบน โดยรัตนาวลี พูลสวัสดิ์ มีการสุ่มตัวอย่างจากเรือ 1,318 ลำ พบว่า เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ 25.78% เป็นสัตว์น้ำคุณภาพต่ำแบบที่คนไม่ซื้อไปบริโภค หรือ ‘ปลาเป็ด’ 74.22% และจากจำนวนปลาเป็ดทั้งหมด แบ่งเป็นปลาเป็ดแท้เพียง 18.77% ที่เหลือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจขนาดเล็ก 81.23%

สัตว์น้ำวัยอ่อนเช่นลูกปลาทูแขก ถ่ายภาพได้ระหว่างการดำน้ำกลางคืนแบบ Blackwater diving ในบริเวณห่างไกลจากชายฝั่ง
ทำไมการระบุถึงเวลากลางคืนจึงสำคัญ และค่า MSY เจ้าปัญหาคืออะไร?
ค่า Maximum Sustainable Yield หรือ MSY หมายถึงปริมาณสูงสุดของสัตว์น้ำที่จับมาใช้ประโยชน์ โดยที่ประชากรของมันยังสามารถเติบโตมาทดแทนได้ ปลากะตักถือเป็นปลาเหยื่อ หรือที่เรียกว่า LTL species (Low Trophic Level) คือยังมีสัตว์ชนิดอื่นอีกมากที่รอกินมันอยู่ในห่วงโซ่อาหารที่สูงขึ้นไป ซึ่งการประมงที่มีการจัดการที่ดี และเป็นมาตรฐานโลกอย่าง MSC Fisheries Standard แนะนำว่า MSY ของ LTL species ควรเก็บเกี่ยวได้ไม่เกิน 25% นั่นก็คือให้ปล่อย 75% ไว้โดยไม่แตะต้อง เพื่อให้มันฟื้นฟูตัวเองได้ ให้เป็นอาหารของสัตว์อื่น และเป็นการรักษากลไกธรรมชาติ
การอนุญาตให้จับปลากะตักในตอนกลางวันนั้น ค่อนข้างเป็นการจับโดยเล็งผลอยู่แล้วในตัว (selective catch, targeted fishery) ในเวลากลางคืนจึงต่างออกไป เนื่องจากแพลงก์ตอนและตัวอ่อนสัตว์น้ำจะเกิดการอพยพขึ้นสู่ผิวน้ำ (vertical migration) ตามหลักฟิสิกส์ของกระแสน้ำที่เปลี่ยนไปในตอนกลางคืน (convectional current, ยามกลางคืนน้ำที่อยู่ลึกลงไปจะมีอุณหภูมิที่อุ่นกว่าจึงจะลอยขึ้น) สัตว์ตัวเล็กเหล่านี้จะเข้ามาหาแสงไฟจากเรือประมงอยู่ ซึ่งสัตว์ที่ขนาดใหญ่ขึ้นก็จะตามมากิน เช่น ปลาล่าเหยื่อ ปลาสาก ปลาอินทรี หรือผู้ล่าชั้น 2 ชั้น 3 เช่น ฉลามต่างๆ และฉลามวาฬ
ในเชิงความเข้าใจทั่วไป พื้นที่ชายฝั่งมีความบริบูรณ์มากกว่า เช่น ตามปากแม่น้ำ แต่ปัจจัยทางสมุทรศาสตร์ที่เป็นหัวใจของความอุดมสมบูรณ์ของอันดามันจะมีโซนที่เรียกว่า shelfbreak front (คล้ายคลึงกับไหล่ทวีป) ลักษณะภูมิประเทศที่น้ำลึกในมหาสมุทรจะพัดนำสารอาหารจำนวนมากขึ้นมา (upwelling) ทำให้แพลงก์ตอนสัตว์น้ำจำนวนมากถูกพบตามพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งเกินเขต 12 ไมล์ทะเลตามที่กรมประมงกำหนด
ดังนั้น การแก้กฎหมายให้ใช้อวนตาถี่ประกอบไฟในเวลากลางคืนได้ จึงเป็นการตัดวงจรชีวิตสัตว์น้ำชายฝั่งและสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพยากรต่อไปอย่างไม่รู้จบ

ภาพ Transshipment ในทะเลพม่า การเปลี่ยนถ่ายสัตว์น้ำระหว่างเรือโดยไม่มีการควบคุมทำให้มีปัญหาต่อการตรวจสอบว่ามีการจับสัตว์น้ำอะไรบ้าง? ผิดกฎหมายหรือไม่?
มุมมืดของสิทธิมนุษยชนและ Transshipment
การแก้ไขกฎหมายประมงชุดเดิมยังมีช่องโหว่ของ transshipment ที่เปิดโอกาสให้เรือประมงขนาดใหญ่สามารถฝากปลากลับเข้าฝั่งได้ เพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อปลาให้ได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เกิดการขนถ่ายสัตว์น้ำผิดกฎหมายและแรงงานกลางทะเลได้ โดยไม่มีการ track-trace-observe ที่มีประสิทธิภาพอันเป็นประเด็นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกติดแบน IUU อีกครั้ง ซึ่งการถูกห้ามส่งออกสัตว์น้ำจะส่งผลกระทบซ้ำเติมต่อกลุ่มผู้เพาะเลี้ยง ที่กำลังเผชิญปัญหาจากการรุกรานของปลาหมอคางดำอยู่เป็นทุนเดิม
ทั้งนี้ ในการเสนอร่างพ.ร.บ.ประมงฯ ฉบับกมธ. มาตรา 69 ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านต่างกล่าวว่า ตัวเองเป็นตัวแทนของพี่น้องประมงจาก 22 จังหวัด แต่จากประมงพื้นบ้านทั่วไทยที่มีจำนวนนับแสนคน กลับได้จับสัตว์น้ำไม่ถึง 20% ของทั้งหมด
ปี 2564 ประมงพื้นบ้านได้สัตว์น้ำ 220,000 ตัน ในขณะที่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์จำนวนหลักพันคนได้สัตว์น้ำ 1,200,000 ตัน ซึ่งมากกว่ากันถึง 5 เท่า โดยกว่า 80% ของจำนวนนี้เป็นสัตว์น้ำคุณภาพต่ำและสัตว์น้ำวัยอ่อนที่คนไม่ซื้อไปบริโภค เช่น ‘ปลาเป็ด’ ที่ต้องนำไปขายเข้าโรงงานเพื่อป่นทำอาหารสัตว์
โควต้าถูกกำหนดด้วยจำนวนวัน ไม่ใช่ปริมาณที่จับได้จริง ประมงพาณิชย์จึงยังสามารถซื้อขายวันจับสัตว์น้ำได้อีก ส่วนประมงพื้นบ้านกลับถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายหยุมหยิมหลายอย่าง เช่น ห้ามทำการจับสัตว์น้ำนอกเขตทะเลชายฝั่ง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีฯ (ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกฎหมายที่ถูกเสนอเพื่อแก้ไขด้วยเช่นกัน)
อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐต้องการส่งเสริมการจับปลากะตักแก่ประมงพื้นบ้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน การเพิ่มโควต้าวันจับสัตว์น้ำในเวลากลางวัน หรือเพิ่มการออกใบอนุญาตเรือประมงเพื่อเพิ่มจำนวนเรือให้มากขึ้น แทนการผ่อนปรนมาตรา 69 ซึ่งคล้ายกับการเพิ่มเวลาให้กับเรือจำนวนเท่าเดิมมากกว่า จึงกลายเป็นคำถามที่เกิดขึ้น รวมถึงการเลือกการจับสัตว์น้ำตัวเล็กคุณภาพต่ำในปริมาณมากขึ้น แทนการสร้างมูลค่าปลาตัวโต การไม่ลงทุนปรับปรุงตลาดปลาให้สะอาดสะอ้าน ไม่สนับสนุนงานวิจัยเพื่อหาจับปลาน้ำลึกเนื้อดีที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาบริโภคอย่างคุ้มค่าโดยใช้วิธีจับที่ยั่งยืนกว่า และไม่ลดการอุ้มน้ำมันเขียวหรือน้ำมันยกเว้นภาษีให้กับประมงขนาดใหญ่
ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ