Tourism Carrying Capacity
คำคำนี้หมายถึง จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมพื้นที่หนึ่งได้ในเวลาเดียวกัน โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของเจ้าบ้านจนเกินไป รวมถึงต้องไม่สร้างปัญหาให้กับนักท่องเที่ยวกันเองจนได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีด้วย ถ้าลองนึกภาพเราไปคอนเสิร์ตสเกลสองหมื่นคนแต่มีห้องน้ำแค่ยี่สิบห้อง ต่อให้ทุกคนจะรักษาความสะอาดดีเพียงใด จะอย่างไรก็โทรม
ในเดือนเมษายน ปี 2556 เกิดพายุใหญ่ขึ้นจนเกิดเหตุนักท่องเที่ยวติดเกาะตาชัยกันเป็นจำนวนมากจนต้องนำเรือหลวงปัตตานีเข้าไปรับ ซึ่งพบว่ามีนักท่องเที่ยวติดค้างอยู่ถึง 455 คน สวนทางกับตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงสุดของเกาะบอน-ตาชัยในอุทยานแห่งชาติสิมิลันที่เคยบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2551 ว่าต้องมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่เกิน 110 คน นั่นก็คือนักท่องเที่ยวในวันนั้นเกินจำนวนที่กำหนดไว้ถึง 4 เท่า
ช่วงปลายปี 2561 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกประกาศจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยาน 10 แห่งทั่วประเทศ พื้นที่ที่มีเสียงคัดค้านมากที่ก็ยังคงไม่พ้นอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันเช่นเคย โดยประกาศจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่เกินวันละ 3,850 คน จากเฉลี่ยวันละ 4,000-7,000 คน และห้ามพักค้างคืนด้วย สถานการณ์โควิด-19 ของในปี 2563 ก็ทำให้การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปอย่างจริงจังมากขึ้น

ภาพโดยโดย ผศ.ดร.สุวัฒน์ จุฑาพฤทธิ์ หลักสูตรทรัพยากรประมง คณะนวัตกรรมการเกษตร ประมง และอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี
และมีการพูดคุยกันถึงแนวคิดที่จะปิดอุทยานแห่งชาติ 133 แห่งทั่วประเทศ เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือนทุกปีเพื่อให้ธรรมชาติพักฟื้น ซึ่งตามมาด้วยข้อถกเถียงมากมายถึงประสิทธิภาพการดูแลอุทยานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากในอุทยานหลายแห่งที่ปิดไปนั้น แทนที่เปิดมาแล้วนักท่องเที่ยวจะได้พบกับสัตว์ป่าร่าเริง แต่กลับได้เห็นหลักฐานการลักลอบล่าต่างๆ และหลักฐานของสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ในพื้นที่อนุรักษ์แทน แนวคิดการปิดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งแม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็มีความยุ่งยากในการบริหารจัดการเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวก็จะไปเพิ่มที่อื่นแทน
ปริมาณนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของภาครัฐ ประกอบกับพื้นที่อนุรักษ์ที่มีขนาดใหญ่สวนทางกับเจ้าหน้าที่จำนวนน้อยจนไม่อาจดูแลได้อย่างทั่วถึง ก่อปัญหาตามมากมาย นอกจากการจับปรับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการที่ไม่รับผิดชอบ และสื่อสารประชาสัมพันธ์กฎเกณฑ์ให้ชัดเจนแล้ว เรายังทำอะไรได้อีกบ้าง?
การอนุรักษ์ไม่ใช่สถานที่แต่คือผู้คน
แนวคิดของ Conservation biology เสนอว่าการอนุรักษ์ธรรมชาติไม่ใช่การหยุดยั้งทุกอย่างให้คงเดิม แต่เป็นการดูแลให้ธรรมชาติดำเนินไปตามวิถีทางของมัน (Conserving evolutionary process) ในต่างประเทศอย่างออสเตรเลีย การเข้าถึงธรรมชาติของนักท่องเที่ยวถูกจำกัดด้วยการโซนนิ่งโดยวัดจากการใช้ทรัพยากร ยิ่งอยากเข้าถึงมากใกล้ชิดมากสิ่งอำนวยความสะดวกก็จะน้อยลง (บางครั้งอาจจะต้องขุดหลุมและ/หรือนำขยะออกมาทิ้ง พกน้ำอาหารเอง) แต่ถอยห่างออกมาจะสะดวกขึ้นแต่ยังคงจำกัด tourism carrying capacity เพื่อดูแลให้ธรรมชาติสามารถฟื้นฟูตัวเองได้
ในทางกลับกันของพื้นที่บางแห่งในประเทศไทย สายปาร์ตี้ก็อาจส่งเสียงดังในพื้นที่เปราะบางได้ รีสอร์ตห้าดาวที่ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองสุดๆ ก็ยังตั้งในพื้นที่ที่สำคัญต่อระบบนิเวศได้ ทั้งที่การใช้ลักษณะกายภาพและฐานะทางสังคมไม่น่าจะนับเป็นตัวชี้วัดที่ดีได้เลย
อีกข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่อยากยอมรับก็คือ ยิ่งเราใช้ชีวิตเป็น ‘เมือง’ มากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งสร้างคาร์บอนฟุตปรินท์ (Carbon footprint) มากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากยิ่งห่างไกลการเข้าถึงแหล่งผลิต และยิ่งห่างไกลการเข้าถึงแหล่งผลิต การการบริโภคธรรมชาติที่เดิมเคยเป็นนิเวศบริการ (ecosystem services) ที่เราต้องพึ่งพิง ก็เริ่มเปลี่ยนไปสู่การบริโภคเชิงสัญญะที่วัดค่าได้ในตลาด การเข้าถึงเพื่อใกล้ชิดกับธรรมชาติจึงถูกวัดด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจ

ภาพโดยโดย ผศ.ดร.สุวัฒน์ จุฑาพฤทธิ์ หลักสูตรทรัพยากรประมง คณะนวัตกรรมการเกษตร ประมง และอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี
หนึ่งในความพยายามของการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ร่วมมือกับชุมชน อย่างกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศพื้นที่คุ้มครองโลมา พื้นที่เชื่อมต่อจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มจากรับฟังและเก็บข้อมูลการใช้ประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่ ทำความเข้าใจกับชุมชนเรื่องนโยบายส่งเสริมคาร์บอนเครดิตของภาครัฐที่ไม่กำหนดชัดเจนก่อนจะส่งเสริมให้ทำการตรวจสอบและสอดส่องว่าไม้พื้นถิ่นเดิมคืออะไร เพื่อทำการฟื้นฟูได้ตรงจุด ไม่ใช่ปลูกเพื่อหวังประโยชน์เชิงตัวเลขเท่านั้น
นอกจากบริการวิชาการและช่วยสนับสนุนการหามติชุมชนร่วมกันเพื่อเสนอแนะเขตอนุรักษ์โลมาในขนอมและดอนสักให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ผศ.ดร.สุวัฒน์ จุฑาพฤทธิ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรทรัพยากรประมง คณะนวัตกรรมการเกษตร ประมง และอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ยังได้เล็งเห็นว่า ตัวชี้วัดอย่างปูแสม นอกจากจะมีความสำคัญต่อระบบนิเวศป่าชายเลนแล้ว ยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนภาคใต้อย่างสูง มีราคาที่แปรผันตามฤดูกาล แต่ยังขาดการอนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรมแบบปูม้าและปูดำ จึงได้ริเริ่มโครงการอนุรักษ์ปูแสมขึ้นด้วย เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
ภาระของปัจเจก
วิทยาศาสตร์ของ Conservation biology มีสำนึกของการศึกษาเข้าใจธรรมชาติเพื่ออนุรักษ์วิถีและวิวัฒนาการ (Conserving evolutionary process) ก่อนจะนำไปสู่การปฏิบัติ (Conservation action) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างยั่งยืน
ในทางกลับกัน การเริ่มต้นจาก conservation action เป็นที่ตั้ง อาจนำไปสู่ผลร้ายมากกว่าดีหรือเกิดความย้อนแย้งในทางปฏิบัติ เช่น การขอให้จับงูเหลือมและตัวเงินตัวทองออกจากสวนสาธารณะเพราะหน้าตาที่ไม่น่ารัก ทั้งๆ ที่สัตว์เหล่านี้เป็นผู้ล่าในเมืองที่คอยควบคุมประชากรพาหะนำโรคอย่างหนูท่อและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า รวมตัวกันไปทำฝายในป่าต้นน้ำที่มีความเปราะบาง หรือการปล่อยสัตว์น้ำต่างถิ่นเข้าสู่ระบบนิเวศ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบริโภคเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอาจเริ่มต้นจากการพยายามเข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ยกตัวอย่างขยะชายหาดที่มีมากมายบนเกาะล้านของพัทยา ถ้าเพียงตาเห็นอาจจะรู้สึกว่าทำไมสกปรกจัง? ทำไมคนพื้นที่เขาไม่รักบ้านตัวเองกันบ้างเลย? แต่เมื่อใช้ความรู้ที่ได้จากการทำงานของนักวิจัยร่วมกับคนในชุมชนก็จะทราบว่า 70-80% ของขยะพลาสติกในทะเลถ่ายเทมาจากบนบก และขยะที่ลอยมาติดที่เกาะล้านเป็นเพราะกระแสน้ำและลมพัดพามา แน่นอนว่าขยะจากเรือบางลำแถวนั้นก็มีบ้าง แต่เทียบกันไม่ได้เลยกับขยะจากบนบกและตัวเราเองที่ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเช่นกัน การจับปรับเรือและคนในชุมชนที่ไม่มีความรับผิดชอบเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่จะแก้ไขให้ได้อย่างยั่งยืนคงต้องทำอะไรมากกว่านั้น

ภาพโดยโดย ผศ.ดร.สุวัฒน์ จุฑาพฤทธิ์ หลักสูตรทรัพยากรประมง คณะนวัตกรรมการเกษตร ประมง และอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี
เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมเราจึงมีผู้ผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกมากมายหลายเจ้า กลายเป็นภาระของผู้บริโภคที่ต้องพิจารณาเลือกว่าของยี่ห้อไหนดีกว่า สะอาดกว่า คุ้มค่ากว่า รีไซเคิลได้มากกว่า ทั้งที่ปัญหาอันแท้จริงคือเราไม่ไว้ใจความสะอาดของน้ำประปา หรือที่เติมน้ำดื่มสาธารณะ ถ้าหากน้ำดื่มสะอาดเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ขยะขวดน้ำพลาสติกจะน้อยลงเพียงใด? ซึ่งเราสามารถช่วยเก็บขยะ ลดขยะไปได้พร้อมกันกับเรียกร้องน้ำสะอาดจากรัฐบาล
การอนุรักษ์ยังไม่จำกัดแค่เพียงในพื้นที่อุทยานฯ เท่านั้น แนวคิดของพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง หรือ Other Effective Conservation Measures (OECM) ยังเป็นที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลไกที่จะรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือไปจากป่าดงดิบและทะเลที่เป็นภาพจำของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เรายังมีพื้นที่ที่สำคัญต่อระบบนิเวศอีกหลากหลายรูปแบบ เช่น เขาหินปูน ป่าเต็งรัง พื้นที่ชุ่มน้ำ หาดเลน ฯลฯ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้บางครั้งก็อาจจะอยู่หลังบ้านของเราเอง แม้แต่การตัดสินใจที่ดูเล็กน้อยของหน่วยงานในการเลือกต้นไม้มาปลูกในสวนสาธารณะ ก็สามารถจะมีผลบวกหรือลบต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของพืช สัตว์ และแมลงในเมืองได้เช่นกัน
ในนามของการพัฒนา
อีกมุมหนึ่ง หลายคนมองข้ามการทำลายระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบโดยอำนาจรัฐในนามของการพัฒนา ตั้งแต่การบังคับใช้ผังเมืองและมาตราการหละหลวมที่ทำให้โศกนาฏกรรมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า การอนุมัติโครงการก่อสร้างที่บางครั้งก็ล้มเลิกกลางคัน การเพิกถอนพื้นที่อนุรักษ์ไปทำอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อแลกกับประโยชน์ด้านการเกษตร กำแพงกั้นคลื่น นโยบายส่งเสริมคาร์บอนเครดิตที่ไม่ชัดเจน การจะแก้ไขกฎหมายประมงเพื่อปลดล็อกข้อห้ามการใช้อวนตาถี่ในเวลากลางคืนนอกเขต 12 ไมล์ทะเล หรือมาตรา 69 การทำ CSR แบบผิดๆ ของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ และแม้แต่การออกกฎหมายภาษีที่ดินรกร้าง ที่ถึงแม้จะทำไปด้วยเจตนาที่ดี แต่กลับส่งผลให้เกิดการทำลายพื้นที่สีเขียวอย่างมากมายเพื่อเลี่ยงภาษีดังกล่าว
และหลายต่อหลายครั้งที่อุบัติเหตุร้ายแรงอย่างน้ำมันรั่ว ไฟไหม้โรงงานสารเคมี หรือแม้แต่สัมปทานเหมืองที่หมดอายุลง กลับไม่มีข้อกฎหมายกำกับเกี่ยวกับการฟื้นฟูระบบนิเวศ (Reparation) อย่างชัดเจนเพียงพอ ทำให้พลาดโอกาสที่แก้ไขความผิดพลาดและถามหาความรับผิดชอบจากเจ้าของกิจการที่มีทั้งทุนภายในและนอกประเทศ
ประเทศไทยไม่มีแม้แต่ฐานข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมของบริษัททุนขนาดใหญ่ ซึ่งการจัดทำร่างกฎหมายการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register หรือ PRTR) ภาคประชาชนโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับทางกรีนพีซและมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อมตลอดหลายปีที่ผ่านมายังไม่สิ้นสุดกระบวนการ ซึ่งกฎหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อเปิดเผยข้อมูลแหล่งกำเนิดและขนส่งมลพิษโดยโรงงานอุตสาหกรรมให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ภาพโดยโดย ผศ.ดร.สุวัฒน์ จุฑาพฤทธิ์ หลักสูตรทรัพยากรประมง คณะนวัตกรรมการเกษตร ประมง และอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี
ทั้งนี้ สาระสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ อาจเป็นการตั้งคำถามว่ายุทธศาสตร์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวของประเทศไทยควรถึงเวลาเปลี่ยนแปลงได้แล้วหรือยัง? (แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า เราจำต้องเห็นด้วยกับทุกโครงการพัฒนาขนาดใหญ่โดยไม่ตั้งคำถาม) เพราะแม้แต่กรมอุทยานฯ เอง ก็ดูจะยินดีกับจำนวนนักท่องเที่ยวล้นหลามและรายได้ที่ทะลักเข้ามา ทั้งที่ภารกิจด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมควรจะเป็นพันธกิจที่สำคัญสูงสุดเป็นอันดับแรกของหน่วยงาน (แต่งบประมาณ TOR เจ้าหน้าที่, งบดูแลสัตว์ป่าของกลางในสถานีเพาะเลี้ยง ฯลฯ โดนตัดอยู่เรื่อยก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ช่วงโควิดมีสัตวแพทย์ในหน่วยงานต้องเก็บขยะรีไซเคิลขายเพื่อหาเงินมารักษาสัตว์ป่าในสถานีฯ ด้วยซ้ำไป)
ข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายังระบุว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศด้านการท่องเที่ยว (Tourism GDP) ในไตรมาสที่สามของปี 2567 สูงถึง 14.16% ของเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งกลับไปใกล้เคียงกับตัวเลขก่อนโควิด แต่ต้นทุนทางธรรมชาติและทรัพยากรต่างๆ รวมไปถึงสถานที่สำคัญต่างๆ และวัฒนธรรมที่ถูกมองมาตลอดว่าเป็น ‘ของฟรี’ ที่มีอยู่อย่างเกลื่อนกลาดกลายเป็นสิ่งที่เราต้องแลกเพื่อเศรษฐกิจอย่างนั้นหรือ? เรามีกลไกเพื่อป้องกันรักษาผลประโยชน์ของท้องถิ่นที่ดีเพียงพอที่จะปกป้องไม่ให้คนตัวเล็กสูญเสียประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ของชุมชนแล้วหรือไม่?
ในขณะเดียวกันกับที่เริ่มมีเสียงถามหานวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงกับดักรายได้นี้ ทุนการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานกลับมีน้อยลงและกระบวนการยากลำบากขึ้นทุกวัน สถาบันการศึกษาและบริษัทเอกชนมักเจาะจงต้องการงานที่สามารถสร้างรายได้ในทันที และงานวิจัยที่ไม่ตรงกับวิสัยทัศน์ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นงานวิจัยขึ้นหิ้ง ทั้งที่ ‘ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (breakthrough)’ ล้วนต้องพึ่งพาก้าวเล็กๆ ที่แลดูไม่สำคัญหลายพันก้าวสั่งสมความรู้ร่วมกัน
งานวิจัยการพับปีกของแมลงเต่าทองก็อาจนำไปสู่วิธีการใหม่ในการพัฒนาเทคโนโลยีการพับแผงโซล่าเซลล์ในดาวเทียมและยานอวกาศ หรือจะเอามาใช้กับร่มพับก็ยังได้ การประเมินว่างานวิจัยต้องมีประโยชน์เชิงพาณิชย์แบบด้วนๆ แห้งแล้งและมีค่าแค่เป็นขั้นบันไดไปสู่ตำแหน่งทางวิชาการต่างหากที่ทำให้ขอบฟ้าของเราอยู่ที่เดิม