การระบาดระลอกที่ 2 พบผู้ติดเชื้อคลัสเตอร์ใหม่ เป็นเรื่องที่ทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ มีการประกาศเตือนการเฝ้าระวังของโรคอยู่เรื่อยๆ รวมถึงเป็นสถานการณ์ที่หลายประเทศประสบอยู่ในขณะนี้
ไม่ว่าเป็นจีน ที่เป็นประเทศต้นทางเอง หรือหลายประเทศที่เหมือนจะคุมสถานการณ์ได้ อย่างเกาหลีใต้ หรือสิงคโปร์ ทำให้ต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ หรือคุมเข้มกันใหม่อีกครั้ง
ซึ่งหนึ่งในประเทศที่ตอนนี้กลับมาเจอการระบาดระลอก 2 ใหม่ จนสถานการณ์ในประเทศที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายเปลี่ยนไป คือ ‘ออสเตรเลีย’ ที่กำลังอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มข้นอีกครั้ง
การกลับมาระบาดใหม่ในออสเตรเลีย
ในช่วงปลายเดือนเมษายน สถานการณ์การระบาดของเชื้อ COVID-19 ในออสเตรเลีย ดูจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น มีการพบผู้ติดเชื้อน้อยลง มาอยู่ในหลักสิบ และในบางวันเพียงแค่หลักเดียว ซึ่งตัวเลขนี้ก็นิ่งๆ ลงมาถึงกลางเดือนมิถุนายน ทำให้ประเทศเองมีการผ่อนปรนล็อกดาวน์ และมีแผนจะทำการ Travel Bubble เส้นทางเที่ยวปลอดโรคร่วมกับนิวซีแลนด์ด้วย
แต่แล้วตัวเลขที่นิ่งๆ เหล่านี้ กับเริ่มเจอผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นจากแค่ 10 กว่ารายเป็นจำนวนทวีคูณ และกลายเป็นหลักร้อย หรืออย่างล่าสุดในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็พุ่งไปถึง 300 รายเลยด้วย
มีการคาดว่า การระบาดระลอกใหม่นี้ มีได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการผ่อนปรน และการ์ดตกของประชาชน การคลายล็อกดาวน์ที่อาจทำให้กลุ่มเสี่ยงเดิมจากคลัสเตอร์โรงฆ่าสัตว์ ไปถึงหนึ่งในปัจจัยที่ถูกพูดถึงมาก โดยเฉพาะในรัฐวิกตอเรียนี้ คือการละเมิดกฎ และไม่ปฏิบัติตามระเบียบการกักตัวที่เพียงพอ
ปัจจัยนี้ เกิดขึ้นโดยคาดว่ามาจากพนักงานรักษาความปลอดภัยในโรงแรมที่ใช้กักตัวผู้โดยสารที่กลับมาจากต่างประเทศ ละเมิดกฎการควบคุมการติดเชื้อในโรงแรมซึ่งเป็นสถานกักกัน โดยรมว. กระทรวงบริการฉุกเฉิน ลิซ่า เนวิลล์ กล่าวว่า ความเสี่ยงเหล่านี้เกิดจากการควบคุมผู้เดินทางกลับที่ ‘ไม่จริงจังมากพอ’
เป็นมาตรการที่คล้ายๆ กับทุกๆ ประเทศ ที่ใครก็ตามที่เดินทางมาถึงออสเตรเลียจะต้องได้รับการกักกันตัวเป็นเวลา 14 วัน ในสถานที่ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ แต่กลับมีรายงานว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยในโรงแรมไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ถูกกักตัวอยู่ มีการใช้ที่จุดบุหรี่ร่วมกัน รวมถึงการไม่คุมเข้ม ให้ครอบครัวที่พักกันอยู่คนละห้องยังสามารถไปมาหาสู่ระหว่างกันได้ด้วย ทำให้เมื่อพนักงานเหล่านี้เดินทางกลับบ้านไป จึงนำเชื้อเหล่านี้ไประบาดนอกพื้นที่กักกันด้วย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ ซึ่งเป็นพนักงานจ้างสัญญา ยังขาดการฝึกฝน ฝึกอบรม โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการทีวี Today ว่าพวกเขาได้รับการฝึกเพียงแค่ 5 นาทีก่อนที่จะต้องเริ่มต้นงาน ซึ่งกับรัฐอื่นๆ นั้นไม่ประสบปัญหานี้
จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จนเกิดการแพร่เชื้อขึ้นมา ทาง เกร็ก ฮันท์ รมต.สาธารณสุขออสเตรเลียเองก็ยอมรับว่า มีช่องโหว่ที่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อถูกถามถึงกรณีที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับแขก เขาเองก็บอกว่า “ถ้าเรื่องเหล่านั้นเป็นความจริง ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” เลยด้วย
ซึ่งล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการประกาศถึงคลัสเตอร์การระบาดระลอก 2 ในออสเตรเลีย โดยเฉพาะในนครเมลเบิร์นเอง ถึง 30 คลัสเตอร์แล้ว
ปิดพรมแดนระหว่างรัฐ ห้ามออกนอกบ้าน ล็อกดาวน์อีกครั้ง
แน่นอนว่าเมื่อสถานการณ์แย่ลง มาตรการที่ผ่อนคลายก็ต้องกลับมาคุมเข้มขึ้น จากที่ประชาชนในประเทศเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ การล็อกดาวน์ก็กลับมาอีกครั้ง โดยในนครเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ก็มีการปิดเมืองอีกครั้ง รวมถึงเมืองใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลีย โดยมีการประกาศกักตัวผู้คน 3,000 คน ในย่านเคหะ ห้ามออกจากบริเวณดังกล่าวเนื่องจากพบผู้ติดเชื้อ ก่อนที่จะมีอีกคำสั่งให้ประชากรกว่า 5 ล้านคนในนครนี้ ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งอยู่บ้าน ห้ามออกจากเมือง ยกเว้นเหตุจำเป็น เป็นเวลาถึง 6 สัปดาห์
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการสกัดการแพร่เชื้อจากรัฐวิกตอเรียด้วยการปิดพรมแดนระหว่างรัฐวิกตอเรีย และนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปีที่ปิดพรมแดนนี้
การล็อกดาวอีกรอบนี้ กระทบต่อเสรีภาพ และความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของประชาชน แต่แน่นอนว่า ในมุมของเศรษฐกิจ จากที่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นนั้น ก็กลับถูกมองว่า การล็อกดาวน์รอบ 2 จะกระทบอย่างรุนแรงเหมือนหายนะ ซึ่งแม้แต่ แดเนียล แอนดรูว์ส มุขมนตรีรัฐวิกตอเรียเองก็ยังยอมรับว่า การล็อกดาวน์ 6 สัปดาห์จะก่อให้เกิด ‘ความเสียหายจำนวนมหาศาล’ ต่อเศรษฐกิจ และสวัสดิภาพของประชาชน
ยังมีการคาดการณ์ว่า ข้อจำกัดต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ จะสร้างภาวะถดถอยที่ยืดเยื้อต่อเศรษฐกิจออสเตนเลียในรอบ 30 ปี ทั้งรัฐวิกตอเรียที่มีขนาดใหญ่ ยังมี GDP สูงประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งประเทศ และการปิดพรมแดน แยกตัวจากรัฐอื่นๆ ยังสร้างความกังวลเรื่องการเดินทาง และขนส่งด้วย
ข้อ จำกัด ในการกวาดนั้นคุกคามให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและยืดเยื้อภาวะถดถอยครั้งแรกของออสเตรเลียในรอบเกือบ 30 ปี วิคตอเรียมีส่วนร่วมในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศประมาณหนึ่งในสี่ แต่ตอนนี้ถูกแยกออกจากส่วนที่เหลือของประเทศเนื่องจากรัฐอื่น ๆ ปิดกั้นพรมแดนของพวกเขาจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นในการส่งผ่านชุมชน
“การหวนคืนสู่การล็อกดาวน์ จะฆ่า SMEs จำนวนมาก เนื่องจากพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดในเส้นทางระยะยาว ก่อนกลับสู่เศรษฐกิจปกติได้” จอห์น วาซ อาจารย์อาวุโสของ Monash Business School ในเมลเบิร์นกล่าว ทั้งจากประสบการณ์ของเขา เขายังมองว่า มันจะใช้เวลามากถึง 3-5 ปีที่จะกลับมาสู่สถานการณ์ก่อนการเกิด COVID-19
การระบาดที่ยังไม่จบสิ้นนี้ ถือเป็นความท้าทายของออสเตรเลีย ที่แม้ว่าจะเคยแสดงให้เห็นว่าสามารถจัดการ และควบคุมจนสถานการณ์ดีขึ้นได้ แต่ออสเตรเลียก็ถือเป็นหนึ่งสถานการณ์ที่แสดงให้เราเห็นบทเรียนว่า ความผิดพลาด และ ‘การการ์ดตก’ ของภาครัฐในการจัดการปฏิบัติตามกฎ ก็พลิกสถานการณ์กลับให้รุนแรง และซ้ำแผลที่ยังไม่หายดี ให้ช้ำขึ้นกว่าเดิมได้
อ้างอิงจาก