จากสถานการณ์ที่กำลังดูเหมือนจะควบคุมได้ มีการพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสคงที่วันละไม่กี่สิบราย อยู่ก็เริ่มเพิ่มขึ้นมาในจำนวนหลักร้อย และล่าสุดพบผู้ป่วยใหม่อีก 728 รายในวันเดียว (วันที่ 16 เมษายน)
นี่คือสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในสิงคโปร์ ที่ในช่วงแรกเริ่มของการแพร่ระบาด แม้จะเป็นชาติแรกๆ นอกจีนที่พบผู้ป่วยติดเชื้อ แต่สิงคโปร์ก็มีการจัดการ และรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคได้ดี จนถูกยกย่อง ชื่นชม และนำวิธีการไปเป็นแบบอย่าง
แต่ทว่า ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม จนเข้าเมษายนมานี้ สถานการณ์ที่ดูเคยดูเหมือนจะคุมอยู่ กลับเจอระลอกที่สองของการระบาดในประเทศที่รุนแรงมากขึ้น แถมยังขยายไปในวงกว้างจนติดตามเชื้อได้ยาก ถึงขนาดที่รัฐบาลต้องออกมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อจัดการกับไวรัสในรอบใหม่นี้ให้ได้
อะไรทำให้การระบาดระลอกที่ 2 เกิดขึ้นในสิงคโปร์ ? การแพร่เชื้อรุนแรงแค่ไหน ? และรัฐบาลสิงคโปร์มีการรับมือเป็นอย่างไร ?
การระบาดรอบใหม่ที่เกิดขึ้นรุนแรงแค่ไหน? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนต้นแล้วว่า สิงคโปร์เป็นชาติที่จัดการกับโรคระบาดได้ดี โดยเฉพาะในช่วงแรกที่การระบาดเริ่มขึ้นนอกประเทศจีน จากประสบการณ์ที่เคยรับมือกับโรคระบาดอย่างซาร์ส ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2002-2003 มาก่อน ทำให้สิงคโปร์เริ่มการคัดกรองนักเดินทางอย่างเป็นระบบ รวมถึงยังมีการจัดระบบคลัสเตอร์ หรือกลุ่มก้อน ติดตามผู้ติดเชื้อแต่ละคน จัดกลุ่ม และตาม จนสามารถพบการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้
แต่เมื่อเข้าเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อที่พบในสิงคโปร์กลับเพิ่มขึ้นมามากกว่า 5 เท่า มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อแต่ละวันที่เริ่มแตะหลักร้อย และมากขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขของประเทศก็ได้รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ ในวันที่ 16 เมษายน 63 ที่ 728 ราย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่มากที่สุดตั้งแต่พบผู้ป่วยรายแรก ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทั้งหมดทะลุ 4,000 รายไปแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะพุ่งสูงขึ้นอีก
ในขณะที่ การระบาดระลอกแรกนั้น ส่วนใหญ่เป็นเคสจากผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หรือสัมผัสกับผู้ที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งในตอนนี้ เคสเหล่านั้นลดลงจนทบไม่พบแล้ว แต่การระบาดระลอกใหม่นี้ กลับเป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น โดยพบการระบาดใหญ่ในกลุ่มแรงงานต่างชาติที่อยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานก่อสร้าง ที่อาศัยอยู่ในหอพักแรงงานร่วมกัน และมีสภาพที่ค่อนข้างแออัด
จากการประกาศในวันที่ 16 เมษายน ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีคลัสเตอร์ หรือ 5 กลุ่มก้อนของผู้ติดเชื้อ ที่เชื่อมโยงกับหอพักแรงงานเหล่านี้ โดยในขณะนี้มีผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวโยงกับหอพักแรงงานทั้งหมด 2,689 ราย จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 4,427 ราย ซึ่งถือว่าเป็น 3 ใน 5 ของเคสทั้งหมดเลยด้วย
ทำไมหอพักแรงงาน ถึงเป็นจุดกระจายการระบาดเชื้ออย่างดี ?
สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีแรงงานต่างชาติจำนวนมาก โดยจากข้อมูลเมื่อเดือนมิถุนา ปี 2019 พบว่า สิงคโปร์มีแรงงานต่างชาติถึง 1.4 ล้านคน และในจำนวนนี้ มีประมาณ 300,000 รายที่เป็นแรงงานราคาถูก ที่อยู่ภายใต้ใบอนุญาตทำงานก่อสร้างและซ่อมบำรุง ซึ่งแรงงานเหล่านี้มักมาจากประเทศในแถบเอเชียใต้ อย่างอินเดีย บังคลาเทศ และศรีลังกา โดยนอกจากจะทำงานร่วมกันแล้ว พวกเขายังพักอาศัยในหอพักใหญ่ๆ ร่วมกัน
กฎหมายของสิงคโปร์ กำหนดให้คนงานเหล่านี้ต้องพักอาศัยกันในหอพัก ซึ่งดำเนินการโดยเอกชน ที่ตอนนี้พบการระบาดใน 5 หอพักแล้ว จากความแออัดของการอาศัยรวมกันนี้ จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายในหมู่คนงานอย่างรวดเร็ว โดยพวกเขาอาจรับเชื้อจากไซต์ก่อสร้างและที่ทำงาน และเมื่อกลับไปที่หอพักที่แออัด ยิ่งทำให้เชื้อแพร่ออกไปทวีคูณ
โดยจากการรายงานของ BBC ระบุว่า ในบางหอพัก คนงานอาศัยรวมกันในห้องถึง 12 คน และในบางแห่งอาจมากถึง 17 คนภายในห้องเดียวด้วย ทั้งพวกเขายังใช้ห้องน้ำรวม ห้องครัว และใช้สถานที่ประกอบกิจกรรมหลายอย่างร่วมกันด้วย นอกจากนี้ สถานที่พักอาศัยเหล่านี้ ยังมีสภาพที่สกปรก ไม่ถูกสุขอนามัย และด้วยความยากจนยังทำให้พวกเขาไม่มีอุปกรณ์ในการป้องกันอย่างหน้ากากอนามัยด้วย
เวนคาต้า ชาวอินเดีย วัย 34 ปี หนึ่งในแรงงานที่อาศัยอยู่ในหอพักที่พบผู้ติดเชื้อ เล่าให้กับหนังสือพิมพ์ The Straits Times ของสิงคโปร์ ถึงบรรยากาศในหอพักว่า “มีแมลงสาบจำนวนมากอยู่ในห้องครัวและในห้องของเรา เช่นเดียวกัน โถฉี่ในห้องน้ำก็ล้นไปด้วยปัสสาวะ และคนงานก็เหยียบปัสสาวะเหล่านั้น แล้วเดินกลับไปที่ห้องของพวกเขา”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการพบปะระหว่างแรงงานที่อยู่ต่างหอพัก ที่ทำให้เชื้อกระจายไปในหอพักหลายแห่งด้วย โดยโจเซฟีน เตียว รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของสิงคโปร์ กล่าวอธิบายว่า “คนงานจากหอพักแตกต่างกัน ในวันหยุดอาจรวมตัวกัน พวกเขาอาจสังสรรค์ และไปในในสถานที่ยอดนิยม เช่นห้างมุสตาฟา” และเมื่อกลับไปหอพัก พวกเขาก็ทำกิจกรรมกับเพื่อนอีกกลุ่ม
“แม้จะมีมาตรการระยะไกลที่ปลอดภัย แต่ไวรัสในหอพักก็แพร่กระจายผ่านกิจกรรมทางสังคม เช่นเดียวกับที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งเพื่อนร่วมหอพัก กลุ่มเพื่อน และในชุมชน” เธอกล่าวเสริม
รัฐบาลจัดการอย่างไร กับหอพักและการแพร่เชื้อรอบนี้ ?
หลังพบการแพร่เชื้อในกลุ่มแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ ในวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศให้หอพัก 2 แห่ง คือ S11 @ Punggol และ Westlite Toh Guan กลายเป็นพื้นที่แยกตัว (isolation areas) ซึ่งทำให้แรงงานต่างชาติเกือบ 20,000 คน ที่อาศัยอยู่ที่หอพักนี้ ถูกกักกัน และมีการแยกตัวคนงานที่ทดสอบเชื้อออกไป รวมถึงการส่งทีมแพทย์ และพยาบาลจากโรงพยาบาลที่ถูกส่งเข้าไปยังบริเวณหอพักด้วย
ทั้งยังมีการดำเนินการตามมาตรการระยะห่างที่ปลอดภัยในหอพัก โดยมีการคัดเลือก และย้ายคนงานหลายพันคน ไปพักที่บริเวณอื่น อย่างเช่น แฟลต หรือโรงแรมที่ว่างอยู่ และค่ายทหาร
รัฐบาลสิงคโปร์กล่าวว่า การให้หอพักเป็นพื้นที่แยกตัวนั้น จะทำให้คนงานปลอดภัย และปกป้องชุมชนจากการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ทั้งคนงานถูกห้ามไม่ให้ออกจากตึก ได้รับคำสั่งว่าอย่าปะปนกับคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในห้องหรือชั้นเดียวกัน และยังห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาหอพักได้
โดยระหว่างที่ถูกกักตัว คนงานก็จะยังได้รับเงินเดือนของพวกเขา และนายจ้างของพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง 100 ดอลล่าร์สิงคโปร์ต่อวัน รวมถึงได้รับอาหาร 3 มื้อ หน้ากากอนามัย เจลล้างมือฆ่าเชื้อ และเครื่องวัดอุณหภูมิ ที่จะต้องบันทึกอุณหภูมิวันละ 2 ครั้ง และจะมีการช่วยเหลือทางการแพทย์ในสถานที่
แต่ถึงอย่างนั้นในวันแรกที่มีการปิดหอพัก แรงงานในนั้นก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า หอพักยังคงสกปรก และการฆ่าเชื้อก็เป็นแค่การฉีดน้ำใส่บริเวณต่างๆ รวมถึงพวกเขายังต้องเข้าคิวรับอาหารแบบที่ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ด้วย ทั้งหน้ากากอนามัยก็ไม่ทั่วถึง รวมถึงค่าจ้างที่พวกเขาจะได้อาจลดน้อยลง รวมไปถึงความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้าง และส่งกลับประเทศหลังจากนี้
อเล็กซ์ อู จากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานด้านแรงงาน ‘Transient Workers Count Too’ ยังเล่าว่า แรงงานเหล่านั้นรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง และรอเวลาให้ติดไวรัสในหอพัก เช่นเดียวกับ ทอมมี่ โก๊ะ ศาสตราจารย์และคณบดีของวิทยาลัยเทมบุซุ (Tembusu College) มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ที่มองว่า การจัดการด้วยวิธีนี้ จะทำให้หอพักพวกนี้เป็นเหมือนกับระเบิดเวลาที่รอจะตูมขึ้นมา
นอกจากหอพัก 2 แห่งแรก ในตอนนี้หอพักอื่นๆ ต่างก็ถูกจัดเป็นพื้นที่แยกตัว และแม้รัฐบาลจะกล่าวว่า จะมีการเพิ่มบริการทำความสะอาดในหอพัก ให้อาหารแก่คนงาน และพยายามย้ายผู้คนไปยังที่พักอื่น แต่ในตอนนี้พวกเขายังต้องอาศัยอยู่รวมกัน ใช้ห้องน้ำร่วมกัน
ซึ่งแม้ตอนนี้แรงงานจะยังไม่แสดงอาการป่วยติดเชื้อออกมา รวมถึงจะมีการรุกตรวจสอบคนงานเหล่านี้ในวงกว้าง ทำให้คาดว่าสถานการณ์ของการระบาดของ COVID-19 ในสิงคโปร์ ในช่วงเดือนนี้ จะยังพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจมีการระบาดระลอกใหม่หลังจากนี้อีกได้
รวมไปถึงการตั้งคำถามถึงคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างชาติ สิทธิมนุษยชน และการจัดการของรัฐบาลสิงคโปร์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อีกแน่นอน
อ้างอิงจาก