ในบรรดาน้องหมา เจ้าหมา ‘ดัชชุน’ หรือหมาไส้กรอก เป็นหนึ่งในน้องหมาที่มีจุดเด่นที่สุด ตัวยาวเหมือนไส้กรอก และถือเป็นหนึ่งในน้องหมาคลาสสิกที่เราเห็นอยู่คู่ครัวเรือน มักมาเป็นแบบ เป็นดารา อยู่ในภาพ ศิลปะ หนัง หรือโฆษณา และค่อนข้างเป็นภาพของน้องหมาของคนเมืองและคนเก๋ๆ ยิ่งล่าสุด ก็มีคาเฟ่เจ้าหมาไส้กรอก กระทั่งมีนิทรรศการเป็นของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้
จากความไอคอนนิกของเจ้าหมาดัชชุน ก็ไม่แปลกที่พวกมันจะกลายเป็นดารา ด้วยความที่ดัชชุน ในนามของหมาไส้กรอก พวกมันโดดเด่นด้วยหน้าตา เป็นน้องหมาลำตัวยาว หน้าแหลม ขาสั้น ขนเงาเป็นมัน ภาพขลักษณ์ค่อนข้างเป็นหมาที่สัมพันธ์กับพื้นที่เมือง หรือสัมพันธ์กับวัฒนธรรมตะวันตก ในภาพรวมค่อนไปทางสุนัขของคนชิคๆ ซึ่งเรายืนยันว่าพวกมันค่อนข้างเป็นหมาเลี้ยงที่ส่งกระทั่งแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและนักเขียนจริงๆ
ทีนี้เรื่องราวของพวกมันในฐานะสายพันธุ์หนึ่งของสุนัขไม่เล็กอย่างขนาดตัวของพวกมันที่เราเห็นเลยสักนิด เมื่อเจ้าหมาไส้กรอกถือเป็นอีกหนึ่งสุนัขเลี้ยงที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์โดยมี ‘การล่า’ เป็นหัวใจของ ‘การเป็นไส้กรอก’ คือเรียกได้ว่าทั้งรูปร่าง หน้าตา ขาสั้นทั้งหลาย กระทั่งนิสัยของพวกมัน ล้วนสัมพันธ์กับใช้ในงานล่าสัตว์
แถมในยุคสมัยต่อมาพวกมันกลายเป็นตัวแทนของจักรวรรดิเยอรมันอันเกรียงไกร เป็นหมาที่สัมพันธ์กับพื้นที่สงคราม ถูกเกลียดชัดเพราะสงคราม ได้รับความนิยมก็เพราะสงคราม จนสุดท้ายพวกมันกลายเป็นหมาของคนเก๋ มีนักเขียนเลี้ยงและเขียนงานถึง รวมไปถึงเป็นน้องหมาสำคัญอีกสายพันธุ์ของโลกแฟชั่น
ไส้กรอกไม่ได้ไว้กิน เพราะจริงๆ ผมเป็นนักล่า
จากชื่อหมาไส้กรอก เราอาจรู้สึกว่าพวกมันดูไม่มีพิษมีภัย ตัวยาวๆ เตี้ยๆ น่ารัก แต่ต้นกำเนิดและการใช้งานของพวกมัน เก่าแก่ย้อนไปได้ถึงราวศตวรรษที่ 17 เป็นหนึ่งในสุนัขที่ถูกใช้และพัฒนาขึ้นเพื่อการล่าสัตว์ขนาดเล็ก ซึ่งมักเป็นสัตว์กลางคืนและอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน โดยเฉพาะตัวแบดเจอร์ สัตว์จำพวกพังพองที่มีการล่าเพื่อเอาหนังมาตั้งแต่ยุคกลาง
ชื่อของเจ้าหมาดัชชุน แปลตรงตัวแปลว่า หมาแบดเจอร์ (badger dog) สะท้อนถึงหน้าที่ของพวกมันที่ใช้ในการล่าตัวแบดเจอร์ ทีนี้ ตัวแบดเจอร์มีการล่ามาตั้งแต่ยุคกลาง (ก่อนศตวรรษที่ 15) เดิมคำว่าดัชชุนเป็นชื่อเรียกสุนัขที่ใช้ล่าตัวแบดเจอร์โดยทั่วไป แต่ตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 18 ที่คำว่าดัชชุนหรือเจ้าหมาที่ใช้ล่าแบดเจอร์อย่างเป็นจริงเป็นจัง เริ่มหมายถึงสุนัขขาสั้นตัวยาวที่มาพร้อมกับขนเรียบลื่น
เช่นในงานเขียนว่าด้วยการล่าในวัฒนธรรมเยอรมัน The Complete German Hunter พิมพ์ปี 1812 ให้ภาพประกอบเป็นสุนัขที่หน้าตาเหมือนกับดัชชุน หลังจากนั้นก็เริ่มมีภาพของดัชชุนที่มีความหลากหลายสอดคล้องกับสายพันธุ์ในปัจจุบันทั้งขนสั้น ขนยาว และขนหยิก
ทีนี้ กลับมาที่หน้าตาของเจ้าดัชชุนที่บอกว่ามันเหมาะกับการล่าสัตว์ที่เฉพาะเจาะจง กายวิภาคของดัชชุนเรียกได้ว่าทุกส่วนถูกออกแบบให้เหมาะกับการล่าสัตว์ขนาดเล็กและสัตว์โพรงแทบจะทุกส่วน ตั้งแต่ทรงไส้กรอกจนถึงนิสัยของพวกมัน

วิธีการล่าแบดเจอร์คือการส่งเจ้าหมาขนาดเล็กตัวนี้เข้าไปในโพรง ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่จริงๆ แบดเจอร์เป็นสัตว์ดุร้าย ฟันคม พวกมันจะไม่ทิ้งโพรงไปง่ายๆ ดังนั้น การพัฒนาสุนัขเข้าไปเพื่อล่าแบดเจอร์ จึงต้องออกแบบให้เข้ากับการทำงานที่โหดหิน และต้องการความอึดอดทน
อย่างแรกคือลำตัวหรือช่วงตัวที่ยาว แน่นอนว่าลักษณะลำตัวของดัชชุนเหมาะกับการมุดเข้าไปในโพรง ขาสั้นๆ กระทั่งองศาของข้อศอกที่ทุกวันนี้ถูกบุลลี่ว่าสั้น ถูกออกแบบให้เหมาะกับการพุ้ยดินไปด้านหลัง ซึ่งเหมาะมากกับการขุดโพรง หรือกระทั่งหูที่ตกลงก็ช่วยป้องกันไม่ให้ดินในโพรงไหลเข้าไปภายในหู
นอกจากลักษณะภายนอกที่พอพูดแล้วก็เข้าใจได้ว่าทำไมพวกมันเหมาะกับการล่าสัตว์โพรงหรือดำดินเข้าไปไล่สัตว์ต่างๆ อันที่จริง ด้วยลักษณะไส้กรอกของพวกมัน ถ้าเราเทียบการดำดินของพวกมันเหมือนกับการลอยตัวอยู่บนน้ำ โครงร่างของดัชชุนจึงมีลักษณะของความมั่นคงเหมือนโครงสร้างเรือ
โครงกระดูกซี่โครงของพวกมันยาวเหมือนกับกระดูกงูเรือ มีพื้นที่เหลือในการพัฒนาของปอดและหัวใจ ในร่างเล็กๆ ของพวกมันคือซ่อนเอาไว้ด้วยความบึกบึน ปอดที่แข็งแรงของพวกมันทำให้พวกมันสามารถไล่ล่าได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแม้จะอยู่ใต้ดิน

จุดสำคัญในการล่าตัวแบดเจอร์คือการบุกเข้าไปในบ้านของพวกมัน และเผชิญหน้ากับพวกมัน กระโหลกของดัชชุนมีโครงสร้างจำเพาะโดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและโหนกคิ้วเหนือดวงตา ลักษณะพิเศษนี้ทำให้พวกมันมีเกราะพิเศษเมื่อเวลาที่ต้องเจอกับเจ้าแบดเจอร์ รวมถึงกรามล่างที่แข็งแรงของดัชชุนก็พร้อมที่จะฟัดกับเจ้าแบดเจอร์ในโพรงได้ตลอดเวลา
ยิ่งไปกว่านั้น จุดเด่นพิเศษคือนิสัยของดัชชุนคือ พวกมันไม่ใช่หมาที่อดกลั้น ใจดี ใจเย็น แต่พวกมันป็นสุนัขที่มีนิสัยใจกล้าจนเกือบจะบ้าบิ่น นึกภาพการที่เราต้องทำงานในโพรง การขุดเข้าไปใต้ดินโดยที่มีแค่การเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่มีการถอยหลัง เจ้าดัชชุนจึงทำตัวเป็นเหมือนจรวดที่ต้องพุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว และต้องมีความกล้าหาญ ไม่ลังเล ไม่เกรงกลัว
ปัจจุบันเราอาจจะเจอว่าจริงๆ เจ้าไส้กรอกพวกนี้ออกจะห้าวแบบไม่สนขนาดตัว ก็อาจจะมาจากลักษณะที่มาจากบรรพบุรุษและการทำงานของพวกมันเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ไส้กรอกประจำชาติ จากหมาล่าสู่สัตว์เลี้ยง
จากหลักฐานหรือร่องรอยของดัชชุนที่เริ่มปรากฏในฐานะสายพันธุ์เฉพาะ ซึ่งช่วงแรกที่เราพูดถึงคือต้นศตวรรษที่ 19 คือราวปี 1812 เป็นต้นมา หลังจากนั้น ดัชชุนก็เริ่มกลายเป็นชื่อเรียกและสายพันธุ์ที่เป็นที่รู้จัก ไม่พอพวกมันยังเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมในเยอรมัน ทั้งการเพาะเลี้ยง พัฒนาสายพันธุ์ ซึ่งในสมัยนั้นการล่าสัตว์ถือเป็นกิจกรรมของขุนนางและชนชั้นสูง ของเหล่าผู้มีเกียรติ
ในที่สุด ในยุคจักรวรรดิหลังจากเยอรมันรวมชาติ จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 (Kaiser Wilhelm II) ครองราชย์ในช่วงทศวรรษ 1870- 1910 เจ้าดัชชุนกลายเป็นสุนัขทรงเลี้ยงของพระจักรพรรดิเยอรมันอันมั่งคั่ง ขณะนั้น จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงมีดัชชุนสองตัวชื่อว่า Wadl และ Hexl มีบันทึกว่าพวกมันค่อนข้างเป็นสุนัขหลวงที่ดุ กัดคน ขนาดเคยกัดไก่ฟ้าของ ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Franz Ferdinand) แห่งออสเตรีย และฉีกเป็นชิ้นๆ ขณะที่พระจักรพรรดิเสด็จเยือนออสเตรีย-ฮังการี
ราวปี 1888 ผู้เลี้ยงดัชชุนเริ่มก่อตั้งเป็นสมาคม และเริ่มออกแนวทางมาตรฐานสายพันธุ์ในนาม ‘The Tekel Club’ มีการออกหนังสือ และข้อกำหนดสายพันธุ์ในการร่วมสมาคมและส่งประกวด การเกิดขึ้นของมาตรฐานสายพันธุ์เป็นหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์ คือเริ่มมีการวางความถูกต้องของสายพันธุ์ขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง

การเกิดขึ้นของสมาคม ในที่สุดทำให้การเพาะเลี้ยงและพัฒนาดัชชุน โดยตอนนั้นวางแนวทางดัชชุนไว้สามแนวทางสอดคล้องกับปัจจุบันคือพันธุ์ขนสั้ง ขนยาวและขนหยิก การขึ้นทะเบียนหรือเข้าร่วมสมาคมจะไม่รับสุนัขที่พ่อหรือแม่ไม่เป็นไปตามสายพันธุ์ย่อยเข้าร่วมสมาคม
ความน่าสนใจคือสิบปีหลังจากนั้น ดัชชุนในเยอรมันได้รับความนิยมมาก มากไปกว่าการเลี้ยงเพื่อใช้งานเพียงอย่างเดียว ดัชชุนเริ่มกลายเป็นสัตว์เลี้ยง เริ่มเกิดงานประกวดสุนัข ตรงนี้เองการพัฒนาสายพันธุ์ ดัชชุนที่ลำตัวยาวและขาสั้นลงค่อยๆ ได้รับความนิยม และค่อยๆ กลายเป็นดาวเด่นในการประกวด คือผู้เลี้ยงเป้นสัตว์เลี้ยงชื่นชอบความน่ารักของพวกมัน ตรงนี้เองเป็นจุดเปลี่ยนและรากฐานที่สำคัญมากของเจ้าดัชชุนที่เรารู้จักในปัจจุบันทั้งมาตรฐานสายพันธุ์และความตัวยาวขาสั้น
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ฟาร์มเพาะดัชชุนค่อนข้างแยกออกเป็นสองสาย คือสายสัตว์เลี้ยงและสายใช้งาน จนกระทั่งในปี 1909 ทั้งสองสายจึงรวมกันภายใต้สมาคมผู้เลี้ยงดัชชุนแห่งเยอรมัน (Deutscher Teckelklub (DTK)) ซึ่งเป็นการนับรวมของสมาคมผู้เลี้ยงดัชชุนเดิมในปี 1888 ซึ่งในขณะนั้นสมาคมจะเน้นการเพาะและจัดมาตรฐานของดัชชุนในฐานะสุนัขล่า คือจะเน้นทั้งการทดสอบภาคสนามและศักยภาพอื่นๆ ตัวสมาคมรูปแบบใหม่นี้เป็นการปรับโครงสร้างในการดูแลสายพันธุ์โดยรวมกิจกรรมการเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์สมัยใหม่ในฐานะสุนัขเลี้ยงเข้าในโครงสร้างสมาคมด้วย
ดัชชุนกับมาตรฐานเยอรมัน และความซวยจากสงคราม
ความน่าสนใจของการพัฒนาและดูแลสายพันธุ์ดัชชุน คือสมัยนั้นเป็นยุคต้นของการพัฒนาและเพาะเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ต่างๆ บนเกาะอังกฤษเองก็เริ่มมีการเพาะเลี้ยงดัชชุนด้วยเหมือนกัน แต่การพัฒนาดัชชุนค่อนข้างสะท้อนการวางมาตรฐานแบบเยอรมันขึ้นมาด้วย
ที่อังกฤษ ดัชชุนได้รับการพัฒนาและรับเลี้ยงโดยราชสำนักในช่วงไล่เลี่ยกันกับเยอรมัน ในรัชสมัยของพระนางเจ้าวิคตอเรีย (ต้นศตวรรษที่ 19) เอง ก็มีการเลี้ยงสุนัขดัชชุนด้วยเหมือนกัน แต่การเพาะเลี้ยงของฝั่งอังกฤษเป็นการเพาะเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงไม่เหมือนกับเยอรมัน พระนางวิคตอเรียทรงเลี้ยงดัชชุนชื่อ ดัชชี่
ในอังกฤษเองก็มีกิจกรรมการเลี้ยง ประกวดสุนัขและตั้งสมาคมด้วย ในตอนนั้นคือราวทศวรรษ 1870 เริ่มมีดัชชุนปรากฏในงานประกวดแล้วแต่ยังไม่มีการจำแนกสายพันธุ์ จนในปี 1881 ที่อังกฤษจึงได้มีการตั้งคลับผู้เลี้ยงดัชชุนขึ้น (The Dachshund Club) ซึ่งถือว่าเป็นทางการ ‘ก่อน’ เยอรมันถึง 7 ปี
ถึงอย่างนั้น การพัฒนาสายพันธุ์รวมถึงจัดการและจำแนกมาตรฐานสายพันธุ์ของสมาคมฝั่งอังกฤษก็ไม่ได้มีคุณภาพดีเท่าทางฝั่งเยอรมัน เพราะดัชชุนของฝั่งอังกฤษจำแนกสายพันธุ์ย่อย โดยมาตรฐานอังกฤษต้องการดัชชุนที่ใหญ่ (hound) ตัวหนา มีชั้นคาง และขาโก่ง ในขณะที่ฝั่งเยอรมันวางมาตรฐานให้เป็นสุนัขขนาดย่อม (terrier-like) ตัวเล็กกว่า เร็วและปราดเปรียว ในที่สุดมาตรฐานเยอรมัน และดัชชุนเยอรมันจึงกลายเป็นมาตรฐานหลักของดัชชุน

นอกจากอังกฤษ แล้วทศวรรษใกล้เคียงกันคือ 1880 ดัชชุนก็เริ่มมาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ที่ฝั่งอเมริกาด้วย ในช่วงแรกชองดัชชุนในอเมริกา พวกมันเดินทางมากับขุนนางและผู้มีอันจะกิน ดัชชุนมักเป็นสุนัขของชาวเยอรมัน ซึ่งในสมัยนั้นเพาะเลี้ยงและเลี้ยงดูกันในเฉพาะชนชั้นสูงจากเยอรมันในอเมริกา จนมีฟาร์มบางพื้นที่ที่ร่วมเพาะเลี้ยงจนทำให้ดัชชุนกลายเป็นสุนัขสำคัญของอเมริกาได้ในเวลาต่อมา
ด้วยความที่ดัชชุนเชื่อมโยงกับความเป็นเยอรมันอย่างยิ่งยวด โดยทั่วไปยึดถือมาตรฐานะดัชชุนเยอรมัน ในอเมริกาถือเป็นสุนัขของชนชั้นสูง ทีนี้ การนำเข้าดัชชุนโดยเฉพาะในอเมริกาที่ตอนนั้นเริ่มเพาะเลี้ยงและเป็นสุนัขบ้างแล้ว ยุติและขัดข้องลงเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
ช่วงสงครามโลกครั้งที่1 เกิดกระแสต่อต้านเยอรมันในชาติตะวันตกและสหรัฐ ตรงนี้เองที่หมาดัชชุนและผู้เพาะเลี้ยงก็พบเคราะห์กรรมไปด้วย ช่วงนี้เองที่ผู้เพาะเลี้ยงต้องหยุดการเพาะพันธุ์ดัชชุน ในอเมริกากระแสต่อต้านรุนแรงมากขนาดคำเยอรมันก็ไม่ใช้ หมาดัชชุนต้องถูกเรียกชื่อใหม่เป็นหมาแบดเจอร์หรือหมาเสรีภาพ (Liberty Dog) แต่การเปลี่ยนชื่อไม่ทำให้ความเกลียดชังลดลง กระแสต่อต้านเยอรมันรุนแรงมากถึงขนาดมีผู้เพาะเลี้ยงถึงขนาดต้องยิงสุนัขของตัวเองทั้งหมด ตอนนั้นขนาดเยอรมัน แชพเพิร์ดยังต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘อัลเซเชียล(Alsatians)’ เช่นที่เรารู้จักในทุกวันนี้
ความเกลียดชังเยอรมันสะท้อนอยู่ในชื่อของเจ้าดัชชุนโดยเฉพาะในอเมริกาซึ่งพวกมันกว่าจะได้ชื่อดัชชุนคืนก็ตั้งปี 1923 (สงครามเริ่ม 1914) ตอนนั้นที่อเมริกาเองมีดัชชุนลงทะเบียนเหลือเพียง 23 ตัว แต่เวลาเดียวกันนั้นเองที่สงครามก็กลับพร้อมกับมีดัชชุนมาเป็นเพื่อน ความหมายคือเจ้าดัชชุนปรากฎตัวในฐานะสุนัขเลี้ยงและสุนัขในกองทัพ นอกจากเยอรมันแชพเพิร์ตแล้ว กองทัพทั้งสองฝ่ายมีเจ้าหมาไส้กรอกในการร่วมรบทั้งเป็นเพื่อนทหารและทำหน้าที่ดมกลิ่นหาระเบิด
ดังนั้น เมื่อจบสงครามทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ซึ่งต่อเนื่องกัน ทหารเช่นทหารอเมริกันก็มีการนำเอาดัชชุนกลับมาด้วยด้วย ในช่วงนี้เองที่ดัชชุนมาตรฐานเยอรมันกลับมาอีกครั้ง ผู้เพาะเลี้ยงส่วนใหญ่ล้วนมองหาดัชชุนเยอรมันที่ถือว่ามีมาตรฐานและสายเลือดที่ดีกว่า แต่ก็มีการเมืองมาแทรกอีกคือกลายเป็นว่า การนำเข้าดัชชุนเยอรมันถูกกีดกันกว่า ทำให้อเมริการับดัชชุนจากฟาร์มจากเกาะอังกฤษมากกว่าเพราะลงทะเบียนง่ายกว่า

สุดท้ายเจ้าหมาดัชชุน ค่อยๆ กลายเป็นน้องหมาสุดไอคอน กลายเป็นสุนัขยอดนิยมสายพันธุ์หนึ่งและถูกเพาะเลี้ยง ทั้งด้วยหน้าตาของมัน เรื่องราวของพวกมัน โดยในแง่ของความโดดเด่น ก็มีทั้งนักเขียนและศิลปินล้วนมีเจ้าดัชชุนเป็นสัตว์เลี้ยงด้วยเสมอ
หนึ่งในจุดเด่นของพวกมันคือความเป็นตัวของตัวเอง ดื้อรั้นบ้าง เป็นอิสระค่อนข้างมาก ด้วยความเก๋ในตัวของพวกมันที่อันที่จริงมีที่มาที่ไม่น่าเชื่อ คือทั้งเป็นผลผลิตของการล่าสัตว์ จนค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองระหว่างประเทศ การก่อตั้งมาตรฐาน และผลพวงความเกลียดชัง กระทั่งความรักจากสงคราม
ในที่สุดจึงกลายมาเป็นเจ้าหมาขาสั้น ตัวยาว สีดำน้ำตาล ขนยาวบ้าง สั้นบ้าง กลายเป็นเพื่อนรัก เป็นแรงบันดาลใจ กระทั่งเป็นดาราในทุกวันนี้
อ้างอิงจาก