โรคระบาดใหญ่ COVID-19 ทำให้ชีวิตเราควบคุมอะไรไม่ได้มากนัก อยากไปไหนก็ยาก อยากกินอะไรก็ลำบาก แต่นอกเหนือจากชีวิตประจำวันจะไม่สามารถควบคุมได้เหมือนเมื่อก่อน หลายคนอาจพบว่า ‘อารมณ์’ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควบคุมได้ยากเช่นกัน
ในแต่ละวันเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย และแต่ละเหตุการณ์ก็ส่งผลกระทบในทางจิตใจ แม้เราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ยิ่งในช่วงโรคระบาดใหญ่ที่ต้องเกาะติดสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ได้รับข่าวสารที่น่าสะเทือนใจ หดหู่ และสิ้นหวังอยู่เรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามหากิจกรรมผ่อนคลายสนุกๆ ทำ เพื่อไม่ให้ตัวเองเศร้าหรือเครียดจนไป เพื่อที่สุดท้ายก็กลับมาหงุดหงิดใจกับข่าวสารบนโซเชียลมีเดียอยู่ดี จึงไม่แปลกเท่าไหร่หากใครจะ ‘อารมณ์แปรปรวน’ มากขึ้นในช่วงนี้
หนึ่งวัน สิบอารมณ์
นาทีที่แล้วยังนอนขำกับมีมหรือคลิปตลกๆ อยู่เลย นาทีต่อมาจู่ๆ ความคิดที่ว่าเมื่อไหร่สถานการณ์แย่ๆ นี้จะจบลงสักทีก็ผุดขึ้นมาในหัว จากที่เฮฮามีความสุขอยู่ดีๆ แค่เผลอมานั่งหาคำตอบว่าชีวิตนี้จะเป็นยังไงต่อไป ก็ทำลายโมเมนต์ดีๆ ไปจนหมดเกลี้ยง แม้จะรู้สึกปลอดภัย อบอุ่นใจอยู่บ้างตอนที่โทรไประบายให้เพื่อนฟัง แต่พอวางสายก็กลับมารู้สึกอ้างว้าง ไร้ทิศทาง ขาดแรงบันดาลใจในชีวิตเหมือนเดิม
ช่วงนี้รู้สึกเหมือนกันมั้ยว่า ในหนึ่งวันเรามีหลากหลายอารมณ์เหมือนกันนะ ซึ่งแต่ละอารมณ์ก็เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนเราตามไม่ทันเลย จะเรียกว่าเป็นอารมณ์แปรปรวนหรือ Mood Swings ก็ว่าได้ โดยตัวแปรที่เข้ามารบกวนความคงที่ของอารมณ์นั้นก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่ามาจากไหน
โดยปกติอารมณ์แปรปรวนจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับชีวิต เช่น ย้ายบ้าน เปลี่ยนงาน สูญเสียคนรักคนสำคัญ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ใช่เหตุการณ์แบบนั้นหรือเปล่า โห บอกเลยว่าเหมือนเอาทุกอย่างมายำใส่กัน เพราะมองไปรอบตัวเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางวิกฤตและความไม่ปกติที่ไม่ทันตั้งตัว ทั้งโรคระบาดที่กระทบต่อชีวิตประจำวัน เศรษฐกิจที่กระทบต่อหน้าที่การงาน การเมืองที่กระทบต่อคุณภาพชีวิต ความฝัน และอนาคต บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ได้อย่างราบรื่น
“ในช่วงล็อกดาวน์นี้ การสูญเสียงาน ความลำบากทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และการปรับตัวให้เข้ากับ new normal ไม่แปลกใจเลยหากหลายคนจะรู้สึกว่าขณะนี้พวกเขากำลังอยู่บนโรลเลอร์โคสเตอร์ทางอารมณ์” ลีเดีย แอนโตนาโตส (Lydia Antonatos) ที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตจาก Choosing Therapy กล่าว
“บางวันเราอาจตื่นมาพร้อมกับการมองโลกในแง่ดี
แต่นาทีที่เราเปิดข่าวดู เรากลับรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา
แม้จะรู้สึกโชคดีที่ยังมีงานทำ สามารถทำงานจากที่บ้านได้
แต่ก็โวยวายใส่ลูกๆ ตลอดที่มาขัดจังหวะตอนประชุม Zoom”
“โรคระบาดทำให้เกิดความไม่แน่นอนและความคาดเดาไม่ได้มากมายขึ้นในชีวิต และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในอารมณ์ของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางวันเราอาจตื่นขึ้นมาพร้อมกับการมองโลกในแง่ดีมากขึ้น แต่นาทีที่เราเปิดข่าวดู เรากลับรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา แม้จะรู้สึกโชคดีที่ยังมีงานทำ สามารถทำงานจากที่บ้านได้ แต่ก็โวยวายใส่ลูกๆ ตลอดที่มาขัดจังหวะตอนประชุม Zoom เราพยายามมองว่าชีวิตช่วงนี้เป็นโอกาสในการเติบโต เพียงแค่เรากำลังติดอยู่ในร่องที่ไม่มีแรงจูงใจทำอะไรเลย แล้วอารมณ์ของเราคงที่ได้ยังไง เมื่อสภาพแวดล้อมของเราเป็นแบบนี้”
แม้จะแปรปรวนแต่ควบคุมได้
อารมณ์ก็เหมือนสภาพอากาศ เมื่อแปรปรวนก็ส่งผลกระทบให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือใช้ชีวิตได้ไม่คล่องเท่าที่ควร แต่อารมณ์แปรปรวนหรือจะทำให้เกิดความเจ็บป่วยในทางจิตใจมากกว่า โดยคนที่มีแนวโน้มว่าจะอารมณ์แปรปรวน อาจพ่วงมากับอาการทางจิตเวชอื่นๆ ด้วย เช่น โรคไบโพลาร์ โรคไบโพลาร์แบบอ่อน โรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าชนิดเรื้อรัง (PDD) โรคผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (BPD) โรคจิตเภท โรคสมาธิสั้น (ADHD) หรือโรคผิดปกในการควบคุมอารมณ์ (DMDD)
แต่ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้ป่วยตามโรคดังกล่าว การมีอารมณ์แปรปรวนหรือมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์อื่นๆ (Mood Disorders) ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าพึงพอใจนัก โดยเฉพาะเมื่ออาการนี้ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างที่ต้องมารองรับความผวนผัน ปั่นป่วน ไม่แน่ไม่นอนของเรา และกัดเซาะความสัมพันธ์ที่ดีให้หายไปเรื่อยๆ
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเราจะควบคุมอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เพียงแต่ต้องใช้เวลาและการฝึกฝนบางอย่าง เพื่อให้สภาพจิตใจคงที่และมีสติอยู่เสมอ ซึ่งวิธีที่จะอยากแนะนำก็มีดังนี้
ทำใจยอมรับ แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่การรับรู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ถือเป็นการช่วยป้องกันให้เราได้มีที่ยึด ไม่ให้อารมณ์ของเรารุนแรงมากจนเกินไป และอารมณ์ให้เราได้คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ก่อนจะโมโห โกรธ เครียด หรือหงุดหงิดไปก่อน
โฟกัสที่สิ่งเบสิก บางทีหลายอย่างไม่เป็นดั่งใจ แต่อย่าลืมว่าเรายังมีชีวิตประจำวันง่ายๆ ที่สามารถควบคุมได้อยู่ ลองกำหนดกิจวัตรในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาตื่น เวลานอน เวลาออกกำลังกาย สิ่งที่อยากกินในวันรุ่งขึ้น เพื่อให้อย่างน้อยก็มีโครงสร้างบางอย่างที่เราพอจะคาดเดาได้
เตรียมความพร้อมทางจิตใจ คล้ายกับเป็นการฝึกฝนทางร่างกาย การเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้าย และมีความหวังเท่าที่จะทำได้ ถือเป็นการออกกำลังกายทางจิตใจให้มีความอดทนอยู่เสมอ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ในช่วงนี้
เฝ้าสังเกตอารมณ์อยู่เสมอ หาเวลาว่างอยู่กับตัวเอง เพื่อสำรวจเหตุการณ์ที่ส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน ซึ่งวิธีนี้ทำให้เรามี self-awareness หรือการตระหนักในตนเอง ได้หาความเชื่อมโยงระหว่างสถานการณ์และการตอบสนองทางอารมณ์หรือพฤติกรรม ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เปลี่ยนพฤติกรรมและเอาชนะตัวเองจากอารมณ์ที่แปรปรวนด้วย
ช้าลงบ้าง หากรู้สึกเอ่อล้น มีอะไรเคลื่อนไหวเยอะเต็มไปหมด ไม่ว่าจะในหัวหรือรอบตัว ใช้เวลาพักผ่อนจิตใจและร่างกายสักพัก เขียนสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน อาจเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ เช่น การได้กินอาหารอร่อย ได้ดูหนังดีๆ สักเรื่อง หรือบังเอิญเจอเพลงดีๆ สักเพลง เพื่อเป็นการปรับอารมณ์เราให้ออกห่างจากอารมณ์เชิงลบมากขึ้น
เล่าออกมา การเก็บความรู้สึกไว้ก็เหมือนการเป่าลมใส่ลูกโป่ง ถ้าลูกโป่งบรรจุลมมากๆ ก็จะแตก เหมือนสภาพจิตใจที่พังยับเยิน ยากจะกู้กลับมา ก่อนจะเกิดสภาวะแบบนั้น เราจึงต้องหาวิธีเอาลมนั้นออก ซึ่งก็คือการแชร์ความรู้สึกให้ใครสักคนฟัง อาจเป็นเพื่อน แฟน ครอบครัว เพื่อนทางอินเตอร์เน็ตที่ไว้ใจได้ หรือเขียนลงบนไดอารี่ เพื่อเป็นการย้ายสิ่งหนักใจที่แบกเอาไว้ออกมาบ้าง แต่ถ้ายังประสบกับสภาวะแปรปรวนเดิมๆ แต่ละวันเต็มไปด้วยร้อยแปดอารมณ์ การพบผู้เชี่ยวชาญอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เมื่อคนตรงหน้าคาดเดาได้ยาก
สำหรับใครที่ต้องเผชิญหน้ากับคนที่กำลังอารมณ์แปรปรวน เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกงุนงง โกรธ ไปจนถึงหงุดหงิดตามพฤติกรรมหรือคำพูดของเขา แต่เชื่อเถอะว่าการพูดจาไม่ดีกลับไปหรืออารมณ์เสียใส่อีกฝ่าย ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แถมมีแต่จะลุกลามจนความสัมพันธ์ขาดสะบั้นไปเปล่าๆ
“ปฏิบัติต่อคนแปรปรวนเหมือนเป็นปริศนา ไม่ใช่ปัญหา
แทนที่จะมองว่าอารมณ์ของเขาคือปัญหาที่ต้องแก้ไข
เปลี่ยนเป็นคิดให้ออกเพื่อทำความเข้าใจดีกว่า”
ทางที่ดีลองถามกลับไปว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า อยากระบายอะไรมั้ย หรือมีอะไรที่เราพอจะช่วยได้บ้าง เพราะเขาคงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีอย่างที่เห็น หากพยายามที่จะพูดคุยแล้ว เขาไม่มีท่าทีว่าจะใจเย็นลง การถอยออกมาเพื่อให้เขาได้สงบสติอารมณ์คนเดียวสักพัก แล้วค่อยกลับไปหาตอนที่เขาดูคงที่มากขึ้น ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่รักษาความสัมพันธ์ได้ดีที่สุดแล้วในสถานการณ์แบบนี้
สิ่งสำคัญในช่วงนี้คือการเห็นใจตัวเองและคนรอบข้างให้มาก เพราะอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ‘สมเหตุสมผล’ กับสิ่งที่พวกเราเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะโกรธ เหงา เศร้า หงุดหงิด หรือสิ้นหวัง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีที่มาจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ซึ่งการจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ต้องอาศัยการซัพพอร์ตทางจิตใจเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้น ก็อย่าลืมดูแลตัวเองตามคำแนะนำข้างบน เพื่อฝึกฝนให้ตัวเองมีสติและมีสภาพจิตใจคงที่กันมากขึ้นนะ
อ้างอิงข้อมูลจาก