เคยเจอคนที่มีอาการ ‘สามวันดี สี่วันเศร้า’ กันมั้ย? บางวันเราพูดคุยเล่นกับเขาได้ปกติ แต่วันต่อมาเราอาจได้รับฟีดแบ็กที่ต่างไปจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ หรือจู่ๆ เราเห็นเขามีท่าทีที่หุนหันพลันแล่นผิดปกติ บ้างก็ทำอะไรดีดๆ แบบหาสาเหตุไม่ได้
อาการที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ ใช้อธิบายคนที่มีอารมณ์หรือพฤติกรรม ‘ไม่คงที่’ ซึ่งถ้าให้อธิบายในมุมของจิตวิทยา ก็จะมี 2 โรคหลักๆ ที่ว่าด้วยความผิดปกติที่เกิดขึ้น ได้แก่ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) และภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (Borderline Personality Disorder : BPD)
ด้วยความที่โรคไบโพลาร์มักจะถูกพูดถึงบ่อยกว่า ทำให้หลายครั้งเมื่อเราเจอคนที่มีอาการคุ้มดีคุ้มร้าย เราจึงเผลอเหมารวมไปว่าเขาต้องเป็นโรคนี้แน่ๆ แต่ความจริงแล้ว เขาอาจจะเป็นแค่ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งเฉยๆ ก็ได้
ซึ่งการเข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คือโรคอะไรกันแน่นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือการรักษาที่เหมาะสมและถูกวิธี วันนี้เราจึงอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจและแยกความแตกต่างของทั้งสองโรคนี้ พร้อมกับสำรวจตัวเองและคนรอบข้างไปพร้อมๆ กัน
ไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) เป็นโรคที่เราได้ยินชื่อกันบ่อยๆ เมื่อพูดถึงผู้ป่วยที่มีอาการแปรปรวนต่างขั้วกันอย่างชัดเจน ซึ่งได้แก่ ขั้วบวก (Mania) และขั้วลบ (Depress) โดยในช่วงที่อยู่ในขั้วบวก ผู้ป่วยจะมีอาการร่าเริง คึกคักผิดปกติ ทำให้บางครั้งร่างกายไม่ค่อยได้พักผ่อน ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน พูดเร็วขึ้น คิดเร็วขึ้น ไปจนถึงระบบการตัดสินใจผิดปกติ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จู่ๆ ก็ซื้อของให้คนอื่นเยอะแยะไปหมด
ส่วนในช่วงขั้วลบ ผู้ป่วยจะมีอาการดิ่ง เศร้า โดดเดี่ยว หรือท้อแท้หนักมาก จนไม่อยากทำอะไร มีอาการนอนไม่หลับหรือนอนหลับมากเกินไป เบื่ออาหาร ร้องไห้ง่าย และอาจรู้สึกเศร้าจนคิดฆ่าตัวตายได้ในที่สุด
เมื่อแต่ละขั้วเกิดขึ้น จะใช้ระยะเวลายาวนานหลายวันไปจนถึงเป็นสัปดาห์ หรืออาจจะหลายปี ซึ่งสิ่งที่ผู้ป่วยมักจะไม่ทันสังเกตคือในช่วงเมเนียหรือขั้วบวก พวกเขาจะคิดว่าตัวอยู่ในภาวะปกติ ไม่ได้เป็นอะไร แค่ร่าเริงมากเฉยๆ แต่จริงๆ แล้วอาการดี๊ด๊าเกินเหตุ ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่นำไปสู่โรคไบโพลาร์ได้เหมือนกัน
โรคนี้จำเป็นที่ต้องรีบเข้ารับการรักษาด้วยการใช้ยาปรับสารเคมีในสมองให้กลับมาสมดุล เพราะหากปล่อยไว้นานจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ทั้งในการทำงานหรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
ส่วน ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (Borderline Personality Disorder : BPD) คืออาการประเภทหนึ่งของความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (Personality Disorder) ที่ส่งผลให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะนี้มีความคิด การมองโลก และความรู้สึกในเชิงลบ เช่น รู้สึกว่าคนอื่นจะเข้ามาทำร้ายตัวเอง กลัวการโดนทอดทิ้ง มีพฤติกรรมที่รุนแรง เช่น ทำร้ายตัวเอง ใช้ความรุนแรงกับคนรอบข้าง ใช้สารเสพติด หรือมีพฤติกรรมกล้าได้กล้าเสี่ยง เช่น เล่นการพนัน มีเซ็กซ์แบบไม่ป้องกัน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะ BPD ได้แก่ พันธุกรรม โดยคนที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นภาวะนี้ จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป รวมไปถึงสภาพแวดล้อมหรือความเครียดในวัยเด็ก การมีอดีตที่เจ็บปวดทำให้เขามีการมองโลกในเชิงลบ และกลัวจะถูกทอดทิ้ง โดยจะเกิดอาการเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที ไปจนถึงหลายชั่วโมง ซึ่งบางอาการจะเห็นว่าคาบเกี่ยวกับขั้วลบในโรคไบโพลาร์ แต่ภาวะ BPD ไม่ได้มีช่วงขั้วบวกหรือช่วงเมเนีย
แม้ภาวะ BPD ไม่ได้รุนแรงเท่าโรคไบโพลาร์ และสามารถรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เร็วกว่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับภาวะนี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์ของคนรอบข้างได้เช่นกัน เพราะผู้ป่วยจะเริ่มไม่ไว้วางใจคนรอบข้างโดยไม่มีเหตุผล และพยายามทำร้ายร่างกายหรือฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า จึงต้องเน้นรักษาที่การปรับความคิดหรือพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy) หรือการรักษาที่เน้นตรวจสอบและยอมรับความรู้สึกของตัวเอง (Dialectical Behavior Therapy)
ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย นักจิตวิทยาจากแพล็ตฟอร์มให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา ooca กล่าวว่า ในความผิดปกติที่เกิดขึ้น หลายครั้งสาเหตุอาจจะมาจากการที่เราซ่อนความเครียด ความกลัว หรือความกังวลไว้ใน unconscious mind หรือ ‘จิตไร้สำนึก’ โดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นแล้ว การสำรวจตัวเองและหาปัจจัยที่ซ่อนอยู่ให้เจอโดยเร็ว แล้วกำจัดความรู้สึกเหล่านั้น จะช่วยป้องกันเราให้พ้นจากโรคหรือภาวะนี้ได้ดีที่สุด
สรุปแล้วความต่างที่ชัดเจนของทั้งสองก็คือ อารมณ์แปรปรวนสองขั้วเป็นโรคทางการแพทย์ที่เกิดจากสารเคมีในสมอง ส่วนอาการหุนหันพลันแล่นเป็นความผิดปกติทางบุคลิกภาพ และทั้งสองสามารถรักษาให้หายได้เป็นปกติ จึงอยากให้คนรอบข้างอย่าเพิ่งตัดสินไปว่าผู้ป่วยเป็นคนที่ล้มเหลวในการใช้ชีวิต จนต้องทอดทิ้งเขา หรือไม่ให้โอกาสเขาได้ทำหน้าที่ของตัวเอง
หากสังเกตเห็นคนรอบข้างมีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในโรคหรือภาวะทั้งสองนี้ ลองหาจังหวะที่เหมาะสมเพื่อพูดคุย หรือสะท้อนให้เขาเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตัวเอง ก็จะเป็นการช่วยให้เขาได้เริ่มปรับความคิด ปรับพฤติกรรม และเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องได้อย่างทันเวลา
อ้างอิงข้อมูลจาก