เมื่ออยู่ในบริบทของการทำงาน สังคมไทยกำลังคาดหวังอะไรจากผู้พิการ?
ประเด็นเรื่องการทำงานและผู้พิการถูกกลับมาพูดถึงกันอีกครั้ง (พร้อมรถทัวร์คันใหญ่ที่แล่นมาจองที่จอดอย่างไว) บางคนมองว่าคนพิการไม่ลาบ่อย ทำงานแบบไม่ต้องการสิทธิพิเศษ รวมถึงอัตราการลาออกต่ำ แทนที่จะกระตุ้นให้บรรดานายจ้างตื่นตัว กลับทำให้ผู้คนวิพากษ์ถึงความไม่เหมาะสม เพราะมองว่าเป็นการลดทอนคุณค่าผู้พิการ The MATTER จึงใช้โอกาสนี้ไปพูดคุยกับผู้พิการ ว่าพวกเขาเคยเผชิญการเลือกปฏิบัติแบบไหนในการเข้าทำงาน
นา — อมีนา ทรงศิริ
คนพิการทางการเห็น
ถึงจะเคยได้ฟังมาเองกับหู แต่ นา — อมีนา ทรงศิริ ก็มองว่านายจ้างมีสิทธิที่จะพูดตามที่ใจคิด และบางครั้งก็เกิดจากความหวังดี แต่ผลลัพธ์อาจสวนทาง “มันไม่ได้ส่งเสริมให้คนพิการแอ็กทีฟ ถ้าอยากพูดให้เขาทำงานดีขึ้น พูดแบบนี้ไม่ช่วยอะไร แถมยังทำให้คนพิการไม่อยากพัฒนาตัวเอง เพราะสุดท้ายเขาก็จ้างเราแค่เอาบุญ”
สำหรับคำถามที่ว่าการดูแลเป็นพิเศษ คือการกดทับหรือไม่? อมีนาจึงตั้งคำถามกลับถึงความหมายของคำว่า ‘พิเศษ’ ดังกล่าว
“ถ้าหมายถึงสิ่งการสนับสนุนให้องค์กรมีความยืดหยุ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกในที่ทำงาน ก็ไม่ได้มองว่าเป็นการกดทับ เพียงลดข้อจำกัดของคนบางกลุ่ม แต่หากบอกไม่ต้องมาทำงาน จ่ายเงินแล้วอยู่บ้านไปเลย อันนี้แหละคือการด้อยค่าคนพิการ”
ที่ผ่านมาในฐานะพนักงานบริษัทคนหนึ่ง ที่เคยผ่านประสบการณ์ทำงานร่วม ทั้งรัฐและเอกชน อมีนาเห็นโอกาสการจ้างงานคนพิการ ผ่านการยืดหยุ่นและส่งเสริมศักยภาพที่มากขึ้น แต่สำหรับข้อความที่กำลังเป็นประเด็นในโลกออนไลน์ครั้งนี้ “คิดน้อยไปหน่อย” นับเป็นความคิดเห็นแรกของอมีนา
“มันไม่ได้ช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนมาจาก แค่บอกอยากได้ไหมของราคาถูกๆ คุณภาพอาจไม่ดีเท่าไหร่นัก” คือความรู้สึกและความหมายที่อมีนาสัมผัสได้
“ต้องเริ่มต้นปรับวิธีคิดว่า การจ้างงานคนหนึ่งไม่ใช่แค่เอาเงินให้เขา แต่ส่งเสริมให้ใช้ศักยภาพของเขาให้เต็มที่ นอกจากสร้างอาชีพยังทำให้เขามีคุณค่าด้วย”
ขวด — อภิชาติ บุตตะ
คนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย
เป็นหนึ่งปัญหาใหญ่ของการจ้างงานผู้พิการ ที่ ขวด — อภิชาติ บุตตะ เล่าให้ฟังจากประสบการณ์ของคนรู้จัก ที่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขาดความเข้าใจในข้อมูลสิทธิที่เขาจะได้รับจริงๆ
ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 กำหนดให้ มีการระบุในมาตรา 33 ให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานรัฐรับคนพิการเข้าทำงานตามลักษณะงานในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการหรือหน่วยงานของรัฐ
โดยสิทธิประโยชน์ที่พ่วงมา คือการที่พวกเขาจ้างคนพิการเข้าทำงานมากกว่า 60% ในสถานประกอบการ ก็มีสิทธิที่จะใช้ยกเว้นภาษีเงินได้ นั่นเลยยิ่งทำให้การจ้างงานลักษณะนี้เป็นได้ทั้งคุณและโทษ
“ถ้าเป็นคนพิการที่อยู่ดีๆ เดินเข้าไปสมัครงานเองเลย โดยที่ไม่ได้ผ่านการจ้างงานตาม มาตรา 33 ก็กลายเป็นเรื่องยาก เพราะเขาจะมองว่ายังไงคนพิการก็จะไม่สามารถทำงานให้เขาได้เต็มที่”
อย่างไรก็ดี แม้แนวโน้มหลายบริษัทมีความประสงค์ที่จะจ้างงานผู้พิการ แต่ยังติดปัญหาที่ ‘การเดินทาง’ ไม่เอื้ออำนวย เพราะสิ่งที่ต้องยอมรับคือ ต้นทุนทางเวลาในการเดินทาง เป็นเรื่องที่ผู้พิการต้องเสียไปมากกว่าด้วยหลายเหตุผล
“ลองคิดดูว่าค่าใช้จ่ายการเดินทางของคนพิการ มากกว่าคนทั่วไป 2-3 เท่า มันถึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่เขาจะทำงานในที่ที่ไกลบ้านออกไป”
อุ้ย — สุวิช อินทรนุกูลกิจ
คนพิการทางการเห็น
ด้วยอาชีพการเป็นนักร้อง นักดนตรี ทำให้ อุ้ย — สุวิช อินทรนุกูลกิจ เลี่ยงการถูกเลือกปฏิบัติ ในตอนต้นของการสมัครงานไปได้มาก แต่ต้องเผชิญกับการต้อง ‘พิสูจน์ตัว’ ไม่ต่างกับผู้พิการคนอื่น ด้วยการพยายามงัดทุกศักยภาพออกมาแสดง
“ทำไมเขาต้องจ้างเรา? เขาสามารถจ้างคนที่มองเห็นปกติ เราเลยต้องทำให้เขาเห็นว่า นี่แหละเขาจะได้อะไรที่มากกว่า”
ทั้งที่เมื่อถอยหลังออกมามองสักนิด จะพบว่า แท้จริงสิ่งที่นายจ้างจะได้รับจากกลูกจ้างทุกคน คือ การรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายอย่างครบถ้วน แต่วิธีคิดเช่นนี้กลับถูกเลือกปฏิบัติในหมู่ผู้พิการ
“แต่ต้องยอมรับว่ามีคนพิการบางส่วน ที่ทำให้ภาพการจ้างด้วยความสงสาร กลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำ จนสังคมชินกับสิ่งนี้”
ซึ่งโพสต์ของการชูจุดเด่นของการรับผู้พิการเข้าทำงาน ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนว่า หลายองค์กรยังมีความเข้าใจที่น้อยเกินไป เพียงต้องการทำตามข้อบังคับการจ้างงานตามกฎหมายเท่านั้น
ธันย์ — ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์
คนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย
ความเห็นเช่นนี้ของ ธันย์ — ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ เกิดขึ้นจากการปรับตัวตลอดช่วงเวลาของการก้าวสู่ช่วงชีวิตวัยทำงาน “ไม่มีจำนวนข้อชัดเจนว่า เราต้องแจ้งเพื่อนร่วมงานอะไรบ้าง และไม่รู้ว่าจะบอกได้ครบภายในวันเดียวได้ยังไง ว่าเราทำอะไรได้บ้าง เราต้องเรียนรู้กันไปทุกวันจริงๆ”
แต่ทั้งหมดต้องตั้งต้นมาจากวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดใจกับผู้พิการจริงๆ โดยสะท้อนสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือ สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน
“ตอนนี้มันเป็นเทรนด์ การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ได้มีเหตุผลว่าต้องทำมาเพื่อใคร มันคือวัฒนธรรมใหม่ที่พึงมี โดยไม่ได้คิดว่าทำเพื่อคนกลุ่มเดียว แต่ทุกคนใช้ได้ มันเป็นกำไรขององค์กรมากกว่า ต่อให้คนพิการไม่ได้ใช้ บริษัทก็ไม่รู้หนิว่าจะมีพนักงานลื่นล้มตอนไหน หรือลูกค้าคนไหนต้องนั่งวีลแชร์”
ทั้งนี้ เมื่อมองย้อนไปยังข้อความเชิญชวนรับสมัครงานที่ถูกพูดถึง ธันย์ก็คิดไม่ต่างกันว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนศักยภาพของผู้พิการ ไม่ว่าจะตรงหรือไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ตาม แต่ประเด็นที่พอจะทำให้ใจชื้นคือ การเห็นความพยายามในการเพิ่มการจ้างงานผู้พิการ ซึ่งเป็นหหัวใจสำคัญที่สุด
“มองว่าการจ้างงานมันเป็นโอกาส เป็นประตูแรกที่เปิดให้เราได้ทำ ส่วนที่ว่าจะทำงานได้นานหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพแต่ละคน และเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์กันทีหลังได้”
ป๊อก — ชนะพงษ์ บุญมี
คนพิการทางการเห็น
การไม่ถูกยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งจากสังคมเพื่อนร่วมงาน นับว่าเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ยิ่งกว่าการถูกปฏิเสธเข้าทำงานแต่ต้นเสียอีก ตามความเห็นของ ป๊อก — ชนะพงษ์ บุญมี เพราะท้ายสุดองค์กรก็เป็นต้องตัดสินใจตามคนทำงานส่วนใหญ่ มากกว่าจะมามุ่งแก้ปัญหาเล็กๆ
เช่นเดียวกับชีวิตคนทำงานทั่วไป ที่การสร้างความสัมพันธ์ เป็นส่วนหนึ่งที่จะตัดสินว่าสามารถทำงานดังกล่าวได้ยืดยาวหรือไม่ ซึ่งป๊อกเห็นว่า ทักษะการปรับตัวกับสังคมบ่อยครั้งเกิดปัญหาในกลุ่มผู้พิการ
“ทักษะการใช้ชีวิตประจำวันก็สำคัญ บางคนก็อาจจะเดินทางยังไม่คล่อง หรือแม้แต่การตีความคำพูดทั่วไปที่เขาอาจจะแค่แซวกัน แต่เราอาจมองว่าเขาว่าเราอยู่ แถมคนตาบอดก็อธิบายหรือแนะนำให้นายจ้างเพื่อนร่วมงานเห็นภาพไม่เป็น พอเขาถามก็หงุดหงิด โวยวาย”
นอกจากนี้ ในฐานะผู้ที่ทำงานในองค์กรผู้พิการ ป๊อกให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัจจัยของการจ้างงานผู้พิการที่ยังไม่สูงมาก มาจากทั้งเหตุผลขององค์กรที่คำนึงถึงความคุ้มค่า ประกอบกับศักยภาพของผู้พิการที่บางครั้งก็ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ยกตัวอย่างกรณีผู้พิการทางการเห็น งานที่มีก็ต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ที่เขาจะเข้าถึงได้ ซึ่งก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากของนายจ้าง “เขาอาจจะยอมให้โอกาส แต่พอไปทำงาน แล้วเขาอาจจะยังทำไม่ได้ หลายแห่งเลยเลือกส่งเงินเข้ากองทุนแทนดีว่า”
“ไม่มีคนพิการคนไหนอยากที่จะเป็นภาระของใครหรอกครับ เราก็อยากทำเองได้ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่เพราะข้อจำกัดต่างๆในตัวเรา เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนปกติ”
อาจจะไม่ครบถ้วนทั้งหมด แต่ฟังดูเหมือนการ ‘จ้างงานตามปกติ’ โดยที่ไม่ต้องมีสิทธิพิเศษ ขอเพียงการดูแลตามสิทธิพึงได้ น่าจะเป็นรูปแบบการจ้างงานในฝันของผู้พิการเกือบทุกคน