ตอนเด็กฝันอยากเป็นนักดนตรีชื่อดังระดับโลก แต่ตอนนี้แค่มีหมาซามอยด์สักหนึ่งตัวก็ดีใจแล้ว อะไรที่ทำให้ฝันของเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แล้วการที่เราไม่ได้มีความฝันอะไรที่ยิ่งใหญ่เหมือนใครเขามันผิดไหมนะ
เรามักจะถูกถามอยู่เสมอในตอนเป็นเด็กว่า ‘โตขึ้นฝันอยากเป็นอะไร’ ซึ่งคำตอบในตอนนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ได้ มีทั้งคนที่อยากโตไปเป็นนักบัลเลต์ นักดับเพลิง นักเขียนนิยาย นักแสดง ไปจนถึงสิ่งที่ไม่มีจริงอย่างไดโนเสาร์ เจ้าหญิง อัศวิน หรือจอมเวทย์
เพราะในวัยเด็ก ยังไม่มีอะไรมาขวางกั้นทางฝันของเรา สำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็นนางฟ้า แค่แม่ซื้อปีกนางฟ้ามาให้ใส่ก็รู้สึกเหมือนฝันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว หรือเด็กมัธยมคนหนึ่งที่เพิ่งดูหนังเกี่ยวกับวงดนตรีมาแล้วฝันอยากจะเป็นนักดนตรีที่ได้ขึ้นแสดงโชว์บนเวทีระดับโลก แค่เขาได้ตั้งวงดนตรี ขึ้นแสดงในงานโรงเรียนกับเพื่อนก็รู้สึกเข้าใกล้ความฝันเข้าไปอีกนิด แต่โลกแห่งความจริงไม่ปล่อยให้ชีวิตเราง่ายขนาดนั้นแน่นอน
ยินดีด้วย! คุณได้รับเครื่องบดขยี้ฝันเป็นของขวัญวันเกิดปีที่ 20
เมื่อเราเติบโต มีเรื่องราวผ่านเข้ามาให้ว้าวุ่นใจมากยิ่งขึ้น บางครั้งเราก็ลืมไปว่าเราเคยฝันอยากเป็นอะไร และยิ่งในวันที่เราก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ชีวิตก็ให้ของขวัญวันเกิดเรามาชิ้นหนึ่ง แม้ว่าเราจะไม่ได้อยากได้เลยก็ตาม ของขวัญชิ้นนั้นคือ ‘เครื่องบดขยี้ความฝัน’
ไม่ว่าเราเคยฝันว่าอยากทำอะไรในวัยเด็ก เครื่องบดขยี้ความฝันนี้จะคอยย้ำกับเราว่า สิ่งนั้นอาจจะไม่มีทางเป็นจริง อยากเป็นนักดนตรีชื่อดังใช่ไหม มีเวลาว่างจากการทำงานมาวอร์มมือไหม? จนท้ายที่สุด เครื่องบดขยี้ความฝันก็จะขยี้แผลของเราซ้ำอีกครั้ง ด้วยการถามว่า ทุกวันนี้มีเงินใช้พอหรือยัง ถ้าซื้อกีตาร์ตัวนี้จะต้องกินมาม่าไปกี่เดือน หรือฝันอยากจะมีบ้านหลังใหญ่ มีสวนไว้ปลูกต้นไม้ ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วดอกเบี้ยที่กู้ซื้อบ้าน จะจ่ายไหวหรอ กี่ปีจะผ่อนหมด
นอกจากเรื่องนั้น ก็ยังมีเรื่องรอบตัวอย่างคนรอบข้างที่ไม่สนับสนุนความฝันของเราบ้าง หัวเราะเยาะบ้าง ระบบการศึกษาที่ไม่เคยอนุญาตให้เราได้ลองทำอะไรที่อยากจะทำ คุณภาพชีวิตแสนแย่ในเมืองที่ยิ่งทำให้เราเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไร จนเราต้องยอมทิ้งความฝันที่มี แล้วเดินทางตามเส้นทางชีวิตที่สังคมมองว่า ‘นี่แหละดีแล้ว’
ไม่ได้ฝันยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่พยายาม
เมื่อเครื่องบดขยี้ความฝันทำให้เรารู้ว่าการวิ่งไล่ล่าความฝันที่ยิ่งใหญ่นั้นมันเจ็บปวด บางครั้งเราก็เก่งไม่พอ ทุนทรัพย์ไม่มี หรือบางครั้งเราก็เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ยิ่งเป็นคนที่มีความฝันเหมือนกัน แต่ความฝันของเขาเป็นจริงแล้วก็ยิ่งท้อ สิ่งที่เราสามารถทำให้ตัวเองได้คือ กลับมารักษาใจตัวเองด้วยการฝันเล็กๆ ที่น่าจะเป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้ดู
Noam Shpancer ศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยาและนักจิตวิทยาคลินิก ได้ให้คำแนะนำไว้ในบทความว่า เราอาจจะเคยได้ยินว่าเราต้องฝันให้ยิ่งใหญ่ แต่ที่จริงแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จมักจะฝันไม่ไกลตัวมาก ฝันเท่าที่ตัวเองพอจะเอื้อมถึง และไม่ท้อระหว่างทาง บางความฝันมันอาจจะยากและท้าทายหน่อย แต่ด้วยความพยายามของเราก็ยังพอเป็นไปได้ และเมื่อเราคว้าฝันนั้นได้แล้ว เราก็สามารถก้าวต่อไปด้วยการฝันถึงเรื่องอื่นที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้อีกนิด ให้ความฝันมันเติบโตไปพร้อมกับความสามารถที่เรามี
ในวัยใกล้ 30 มีคนมากมายที่ยอมเก็บความฝันที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ก่อน และแทนที่มันด้วยความฝันเล็กๆ ที่ไม่นานก็คงจะเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะจากภาระหน้าที่หรือกำลังทรัพย์ที่พอจะมีอยู่ตอนนี้ จากที่เราคุยกับคนวัยใกล้ 30 มา เราก็พบว่าความฝันเล็กๆ ของพวกเขาน่ารักและน่าจะเป็นจริงในเร็ววันได้
“เราเพิ่งออกกำลังกายได้ไม่นาน แข็งแรงขึ้นมานิดหน่อย บางทีก็ฝันว่าอยากดึงข้อ วิดพื้นโดยมีเพื่อนนั่งบนหลังได้ เฮดสแตนด์ หรือตีลังกาล้อเกวียนก็อยากลอง เห็นคนเก่งๆ ทำได้แล้วรู้สึกว่าเค้าเท่จัง เป็นความฝันเล็กๆ แหละ แต่ใช้แรงกายอันใหญ่ยิ่งเลย” หมี, อายุ 28 ปี
“เราแค่อยากมีเวลาออกไปนั่งตกปลาบ้าง ตอนเด็กเราชอบตามพ่อไปตกปลา เวลาเห็นคนตกปลาเราก็จะนึกถึงพ่อ ยิ่งตอนนี้พ่อเป็นอัลไซเมอร์ไปแล้ว คงจำเรื่องตอนนั้นไม่ได้แล้วแหละ เราเลยรู้สึกว่าถ้าเรามีเวลาว่างกลับไปนั่งตกปลาอยู่ที่ไหนสักที่ มันคงมีความหมายกับเรามาก” มู้, อายุ 29 ปี
“เรามีร้านเบเกอรี่ร้านนึงที่เราชอบมาก ความรู้สึกเวลาเปิดประตูร้านเข้าไป เพราะร้านเขาจะหอมนมเนย เราชอบขนมปังนมของร้านนั้นมาตลอด เราเคยซื้อไปให้เพื่อนสนิทแล้วเขาก็ชอบมากเหมือนกัน เราก็เลยอยากจะมีร้านเบเกอรี่เป็นของตัวเอง เราอยากให้เพื่อนสนิทได้กินขนมปังนมอันนั้นอีก แต่คราวนี้เป็นฝีมือเราทำเองนะ” เม้บ, อายุ 25 ปี
การไม่ได้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร อย่างน้อยก็มีใครสักคนหนึ่งที่รอแสดงความยินดีในวันที่ความฝันเล็กๆ ของเราเป็นจริงอยู่นะ
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Kodchakorn Thammachart