“SME กำลังจะตาย” คือเสียงสะท้อนส่วนหนึ่งบนโซเชียลมีเดียในช่วงที่ผ่านมา
ความกังวลที่ว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ กำลังซื้อที่ลดลง การแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมแรงกดดันจากต่างประเทศ ทำให้เหล่าเจ้าของธุรกิจ SME ต่างออกมาบอกเล่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงาน หรือต้องปิดกิจการไป เพราะสู้ต่อไปไม่ไหวในวันที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจให้กับธุรกิจรายเล็กเช่นนี้
แต่จริงๆ แล้วสถานการณ์ตอนนี้แย่ถึงเพียงนั้นจริงหรือ ในปัจจุบัน SME มีบทบาทสำคัญกับเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน และโจทย์สำคัญอะไรที่ภาครัฐควรคำนึงถึง?
จากคำถามสำคัญเหล่านี้ The MATTER ชวนไปพูดคุยกับ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เพื่อร่วมหาทางออกให้ SME ไทยไปต่อได้ พร้อมเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตได้มากยิ่งขึ้น
SME ช่วยดัน GDP ไทยถึง 1 ใน 3 แต่กลับกำลังเผชิญปัญหาหนัก
จากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ระบุว่า ในประเทศไทย ปี 2565 มีจำนวนผู้ประกอบการ MSME (หรือ SME ที่เราคุ้นหูกัน) จำนวนทั้งหมด 3,202,002 ราย ซึ่งสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของ MSME ในปี 2565 มีมูลค่าถึง 6,105,604 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 32.5% หรือกว่า 1 ใน 3 ของ GDP รวม
การมีผลมากต่อ GDP รวมนี้ พิพัฒน์อธิบายว่าเป็นเพราะ SME ในไทยนั้นมีจำนวนมาก เพราะความหมายของ SME คือธุรกิจที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ คือมีจำนวนคนงานไม่เกิน 200 คน และ/หรือมีรายได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท SME จึงมีจำนวนรวมกันมีจำนวนมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่อย่างแน่นอนอยู่แล้ว จึงตามมาด้วยตัวเลขการจ้างงานที่สูงอีกด้วย
“ขณะนี้มันเป็นคลื่นลูกหนึ่งของปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าคลื่นลูกก่อนๆ” คือคำอธิบายถึงสถานการณ์ของ SME ในตอนนี้ เพราะแม้ว่าธุรกิจจะมีขึ้นลงบ้าง รอดบ้างล้มบ้างตามสถานการณ์เศรษฐกิจรวมในประเทศและตามวัฏจักรของธุรกิจเอง แต่โดยปกติ แม้จะมี SME ที่ล้มหายตายจากไปบ้าง แต่ภาพปัจจุบันคือการที่เศรษฐกิจโตช้าลงมาเรื่อยๆ
“ถ้าเกิดใครล้มช่วงนี้ โอกาสที่จะลุกขึ้นมาใหม่มันก็จะมีไม่เยอะเท่าสมัยก่อน จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สําคัญ” พิพัฒน์สรุป โดยปัจจัยสำคัญคือธรรมชาติของ SME เองที่เข้าถึงทรัพยากรได้จํากัด และปรับตัวได้น้อย แถมยังเจอแรงกดดันจากกลุ่มทุนใหญ่ เปรียบเทียบได้กับภาพของชิ้นพายที่ถ้าหากยังขยายตัว ธุรกิจเล็กๆ ก็คงได้รับแบ่งชิ้นมาบ้าง แต่เมื่อพายชิ้นใหญ่หดลง คนที่ยังได้รับพายชิ้นใหญ่อยู่ ก็กัดกินโอกาสของคนพายชิ้นเล็กๆ เข้าไปด้วย
พิพัฒน์ขยายเพิ่มเติมถึงภาพใหญ่ว่า ดูเศรษฐกิจภายในประเทศโดยรวมก็ค่อนข้างหนืด เพราะแรงส่งของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเจอปัญหาค่อนข้างเยอะ ประกอบกับกำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแรง ยิ่งทำให้ SME เผชิญความท้าทายมากยิ่งขึ้น
ปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ความท้าทายที่ SME ต้องเผชิญ
SME ยังเผชิญกับ 3 ปัญหาใหญ่จากธรรมชาติของความเป็น SME นั่นก็คือ
- ด้วยขนาดที่เล็ก จึงสู้ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ได้ ทั้งในด้านการสเกล และความคล่องตัว
- มีสายป่านที่สั้น เช่น เปรียบเทียบระหว่างร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่ทำในบ้านหรือห้องตึกแถว กับร้านวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ SME จะมีต้นทุนในการสต็อกของที่น้อยกว่า เมื่อพบปัญหาจึงได้รับผลกระทบเยอะกว่า
- ความสามารถในการปรับตัวน้อยกว่า เพราะมีทรัพยากรที่ด้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างที่เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมีเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง SME จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก และมีผลกระทบที่กระจายไปในวงกว้างเนื่องจากมีการจ้างงานสูง
ซึ่งในระยะหลังนี้ มีปัญหา 3 คลื่นลูกใหญ่ด้วยกันที่กระทบต่อ SME
คลื่นลูกที่ 1 SME จำนวนมากเป็นธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป (dealer) ดังนั้น สำหรับ SME ที่เป็นดีลเลอร์สินค้าทางการเกษตร จึงได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรขึ้นๆ ลงๆ
คลื่นลูกที่ 2 คือ โมเดิร์นเทรด (modern trade) ที่เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งร้านสะดวกซื้อ หรือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่มาทำธุรกิจขายปลีกและขายส่ง แตกต่างจากในอดีตที่มีร้านขายปลีกเป็นเพียงร้านโชห่วยใกล้บ้าน ซึ่งถือเป็นกลุ่ม SME จำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ ในไทย แต่ภายหลังปรับตัวเป็นร้านสะดวกซื้อแบรนด์แฟรนไชส์ต่างๆ ทำให้มีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สำหรับคนทำธุรกิจค้าปลีกที่ปรับตัวไม่ทันก็จะต้องล้มเลิกไป
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีคลื่นต่อเนื่องกัน คือกระแสของ e-commerce ซึ่งผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงจากต้นทาง จึงเป็นการขจัดตัวกลางร้านค้าปลีกออกไป โดยในมุมผู้บริโภคย่อมชอบมากกว่าเพราะสะดวกในการไม่ต้องเดินหา และในแพลตฟอร์มออนไลน์ยังมีคูปองส่วนลดต่างๆ ทำให้ราคาถูกกว่าหน้าร้าน
คลื่นลูกที่ 3 ความสามารถในการแข่งขัน SME ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้ช้า แล้วก็เรื่องของความสามารถในการแข่งขัน โดยพิพัฒน์เห็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สําคัญว่า จากเดิมที่เศรษฐกิจไทยเดินไปได้ด้วยสินค้าธุรกิจที่ใช้แรงงานสูง แต่มีมูลค่าเพิ่ม (value added) ต่ํา เช่น งานตัดเย็บเสื้อผ้า แต่ตอนนี้ไทยดำเนินไปด้วยธุรกิจที่มีการสร้างมูล value added สูงขึ้น และใช้แรงงานน้อยลง
ซึ่งในด้านความสามารถในการแข่งขันนี้ ยังขยายได้เป็น 3 ประการย่อย คือ
- การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ไทยตามไม่ทัน เช่น รถยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยเคยมีความโดดเด่น มีการจ้างงานมากในระดับแสนคน ในอดีตน่าจะมีผลถึงประมาณ 10% ของ GDP แต่ในปัจจุบันนี้เมื่อเทคโนโลยีรถไฟฟ้าเข้ามา แม้แต่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างญี่ปุ่นยังมีการปิดโรงงาน ทำให้ยอดคำสั่งซื้อที่ลดลงกระทบไปถึง SME ไทยที่อยู่ใน supply chain ด้วย
- ต้นทุนแรงงานไทยแพงขึ้น ในอดีตไทยอาจมีคู่แข่งไม่มาก แต่ปัจจุบันมีคู่แข่งเป็นแรงงานทั้งจากจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และอื่นๆ ซึ่งมีแรงงานถูกกว่าไทย ทำให้หลายอุตสาหกรรมอยู่ในไทยต่อไปไม่ไหว
- การทุ่มตลาด (dumping – การกำหนดราคาเพื่อขจัดคู่แข่งขัน โดยผู้ผลิตส่งออกผลิตภัณฑ์ไปขายยังต่างประเทศในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ตั้งในตลาดของประเทศนั้น) ทำให้ต้นทุนสินค้าจากต่างประเทศ อย่างประเทศจีน มีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในไทยเอง
COVID-19 – ต่างประเทศ – การเมือง ปัจจัยสำคัญต่ออุปสรรค SME ไทย
พิพัฒน์ได้สรุปถึงปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อสถานการณ์ของ SME ในปัจจุบันไว้ ดังนี้
- ‘COVID-19’ แม้จะผ่านช่วงของสถานการณ์แพร่ระบาดใหญ่มาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ผลของมันกลับยังคงทิ้งร่องรอยแผลเป็นให้กับเศรษฐกิจไทยมาจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการย้ายแรงงาน และความสามารถในการแข่งขัน และสถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดเป็นวงกว้าง ทำให้ภาพของการลงทุนและภาพการค้าเปลี่ยนไป ในยุคนี้ SME จึงต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะไม่ได้แข่งอยู่ในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่โดนแรงกดดันจากประเทศอื่นเข้ามาด้วย
- ‘การแข่งขันกับต่างประเทศ’ แน่นอนว่าระบบการค้าเสรี (free trade) นั้นก่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค ในการจะได้มีทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้า แต่ผู้ประกอบการจะเหนื่อยในการแข่งขันจากผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ํากว่า ในที่นี้คือผู้ผลิตจากต่างประเทศ ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางการค้าจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา ควรตั้งโจทย์ว่าปัจจัยหรือแรงกดดันที่มากระทบต่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการในประเทศในขณะนี้ เราควรต้องทําอะไรบ้าง หรือเราควรเชื่อในการค้าเสรีต่อไปแม้อาจจะเสี่ยงทำให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระที่หนักขึ้น อันเป็นเรื่องที่ต้องหาจุดสมดุล
- ‘โครงสร้างสังคม’ ประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ค่าแรงสูงขึ้น แรงงานขาดแคลน และความสามารถในการแข่งขันของเราก็ค่อยๆ ด้อยลงไป ในขณะที่ประเทศอื่นเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ มีการสร้างฐานที่แข็งแรงหรือขยับขยายมากขึ้น
- ‘การเมือง’ ควรมีการตั้งโจทย์ขึ้นมาถกเถียงถึงการออกนโยบายที่เหมาะสม ว่าควรจะมีนโยบายเพื่อปกป้องผู้ประกอบการ SME หรือไม่ ซึ่งอาจยังไม่มีคำตอบว่าทางไหนเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะส่วนหนึ่งมันก็เป็นกลไกทางการเมืองเช่นกัน ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่มีคนกลุ่มนึงกําลังได้รับผลกระทบ ทางการเมืองควรจะทำอะไร จะปกป้องหรือไม่ปกป้องคนเหล่านั้น และถ้าไม่ปกป้องจะมีมาตรการในการให้ปรับตัวเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ และสุดท้ายคือจะหากลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (engine of growth) ใหม่ให้คนเหล่านี้อย่างไรบ้าง
SME ไทย จะฝากความหวังไว้กับการ ‘ลดดอกเบี้ย’ และ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ได้หรือไม่?
บนโซเชียลมีเดียจะปรากฏข้อเรียกร้องหนึ่งจากกลุ่ม SME คือการขอให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ แต่นโยบายนี้จะมีส่วนช่วย SME ได้จริงหรือ? พิพัฒน์เห็นว่าอาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นต้นทุนที่ SME อาจนำไปใช้ในการพิจารณาลงทุนเพิ่มการขยายกิจการได้ ดังนั้นดอกเบี้ยต่ําย่อมดีกว่าดอกเบี้ยสูง แต่ถ้าลดดอกเบี้ยโดยไม่แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างก็อาจจะกลายเป็นปัญหาใหม่ เช่น ธนาคารไม่ปล่อยกู้ ซึ่งในช่วงระยะหลังมานี้ ประเด็นการปล่อยกู้อาจเป็นปัญหามากกว่า เพราะธนาคารเห็นว่า SME มีปัญหาเรื่องการจ่ายคืนหนี้ จึงระมัดระวังอะไรที่เกี่ยวข้องกับ SME มากขึ้น ดังนั้นการลดดอกเบี้ยจึงอาจจะช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ได้บ้าง แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาทั้งหมดที่ SME กำลังเผชิญ
นอกจากนั้น ยังมีคำถามที่ว่า หากเริ่มใช้งานดิจิทัลวอลเล็ต จะเข้ามาช่วยให้การจับจ่ายใน SME คึกคักมากขึ้นหรือไม่ พิพัฒน์เห็นว่า สุดท้ายแล้วนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการแจกเงินให้ใช้จ่าย ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-off) คืออาจมีผลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการทำให้คนมีกําลังซื้อดีขึ้นในระยะสั้น และอาจช่วย SME ได้บ้าง แต่ไม่มีอะไรมาบอกได้ว่า 6 เดือนหลังจบโปรแกรมแล้วจะมีผลที่ยั่งยืนต่อไปได้
แน่นอนว่าการกระตุ้นระยะสั้นก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัด พิพัฒน์เห็นว่าภาครัฐควรพิจารณาว่าจะสามารถนำเงินก้อนเดียวกันนี้ไปทำอะไรที่มีผลตอบแทนในระยะยาวได้หรือไม่ เพราะจะต้องไม่มองแค่ต้นทุนที่เกิดขึ้นกับภาครัฐเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่อาจนำเงินก้อนนี้ไปทําอย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่าได้
และยังมีปัญหาที่ควรแก้ในระยะยาว อย่างเรื่องความสามารถในการแข่งขัน อุตสาหกรรมใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยี การเพิ่มทักษะของแรงงานเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันกับการกระตุ้นกำลังซื้อในระยะสั้น
ดังนั้น การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ก็จะต้องใช้การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยชี้ให้ชัดว่าปัญหาคืออะไร เราแข่งกับประเทศอื่นๆ ไม่ได้เพราะอะไร เป็นเรื่องของเทคโนโลยีหรือเปล่า ถ้าหากเป็นเรื่องของเทคโนโลยี แล้วไทยจะเอาเทคโนโลยีมาจากไหน ต้องใช้การถ่ายทอดเทคโนโลยี (technology transfer) หรือต้องการการลงทุนจากต่างประเทศหรือไม่
รวมถึงปัญหาการขาดแคลนของแรงงานที่มีทักษะ เราจะเอาแรงงานที่มีทักษะมาจากไหน อาจต้องปรับแก้ที่การศึกษา หรือทำนโยบายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างการจัดการปัญหาคอร์รัปชัน ประเด็นพวกนี้ก็สําคัญมากที่ไม่ควรจะละเลยไป “การกระตุ้นระยะสั้นก็ต้องทำ เพราะเศรษฐกิจมันค่อนข้างแผ่วและมีแรงส่งค่อนข้างจํากัด แต่ว่าอย่าลืมว่าทําไปแล้ว เราก็อย่าละทิ้งนโยบายระยะยาวด้วย เพราะวันนี้ดูเหมือนว่าเราแทบจะไม่ได้เอาทรัพยากรมาลงทุนกับนโยบายระยะยาวเท่าที่ควร” พิพัฒน์กล่าว
‘ปัญหาเชิงโครงสร้าง’ นโยบายระยะยาวที่ควรให้ความสำคัญ
พิพัฒน์เห็นว่า สำหรับการทำนโยบายระยะยาวควรจะเน้นเรื่องการลงทุน เพราะประเทศไทยขาดการลงทุนมาเป็นเวลานาน อันมาจากโอกาสในการเติบโตที่ค่อนข้างจํากัด อย่างการเข้าสู่ aging society ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะประชากรวัยทํางานกำลังมีจำนวนลดลง จึงต้องนำการลงทุนมาช่วย ซึ่งถ้าหากการลงทุนในประเทศไม่เพียงพอ ก็จะต้องหาวิธีดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้น
การจะทำเช่นนั้นได้ ต้องค้นหาสาเหตุของปัญหาที่ทำให้ต่างชาติไม่มาลงทุนที่ไทยว่าเกิดจากอะไร ข้อจํากัดคืออะไร ไทยแข่งกับประเทศอื่นไม่ได้ตรงไหนและภาครัฐจะจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างไร
พิพัฒน์เห็นว่าประเด็นนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ผลิตเทคโนโลยีเอง โดยเทคโนโลยีส่วนใหญ่มาจากการลงทุนจากต่างประเทศ และใช้การโอนย้ายเทคโนโลยีเข้ามา ถึงจะทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้
3 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ไทยยังขาด และทำให้ชาวต่างชาติไม่เข้ามาลงทุน จึงได้แก่
- ขาดแรงงานมีทักษะที่มีคุณภาพเหมาะสมกับงานที่อยากจะทํา เช่น แรงงาน STEM ซึ่งอาจต้องแก้ไขตั้งแต่ระบบการศึกษาที่จะเตรียมคนให้พร้อมสำหรับงานสายนี้ได้ หรืออาจแก้ในนโยบายรับคนเข้าเมือง เพราะถ้าหากไทยผลิตคนไม่ทัน ก็อาจใช้การดึงดูดให้คนจากต่างประเทศเข้ามาทํางานในเมืองไทยได้ง่ายขึ้นได้ เช่น สิงคโปร์ หรือสหรัฐอเมริกา ในสายงานที่คนขาดแคลนก็จะรับคนต่างชาติเข้ามา แต่ในกลุ่มแรงงานที่ไม่ขาดแคลนก็ยังขีดเส้นเอาไว้เฉพาะคนในประเทศเท่านั้น
- ปฏิรูปโครงสร้างเกี่ยวกับรัฐบาล เพราะมีเสียงเรียกร้องว่ารัฐบาลมีกฎระเบียบหรือข้อบังคับทางราชการที่วุ่นวายกว่าความจำเป็น
- หาโอกาสขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยต้องไม่ให้ธุรกิจขนาดใหญ่มีโอกาสในการกินรวบจนกระทบกับธุรกิจรายเล็ก จึงจะเป็นการเปิดโอกาสให้ SME ขยายความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นได้ เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่เคยใช้ ‘นโยบายลูกศรสามดอก’ (นโยบายทางการเงินเชิงรุก การผ่อนคลายนโยบายทางการคลัง และยุทธศาสตร์การสนับสนุนการเติบโต หรือการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน) ในปี 2012 ซึ่งใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าจะทําสําเร็จ
นโยบายดังกล่าวประกอบด้วยการปฏิรูปหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตลาดแรงงาน ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ การปฏิรูป corporate governance ทําให้คนสนใจอยากลงทุนมากขึ้น ไทยจึงต้องปฏิรูปสิ่งเหล่านี้เช่นกัน เพื่อให้มีความหวังเพิ่มมากขึ้น และไม่ทำให้คนรู้สึกว่าประเทศไทยมีแต่ปัญหา
“ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเรามีปัญหาเนี่ยผมว่าเราก็จะไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาพวกนี้ได้”
การเมืองฝั่งนโยบายจำเป็นที่จะต้องตระหนักว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยมีปัญหา และปัญหาที่มีจะแก้อย่างไร ซึ่งไม่ว่าจะทำอะไรก็จะต้องมีคนเสียประโยชน์แน่นอน แต่วิธีที่จะทําให้คนเสียประโยชน์มาร่วมมือได้ จะต้องมีภาพทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง โดยอาจมีการเจรจาต่อรองเพื่อที่จะคลี่คลายข้อขัดแย้ง โดยหาทางออกที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อทุกฝ่ายน้อยที่สุด
โอกาสใหม่ของ SME ไทย
“ต้องหาว่าเราเก่งอะไร และเป็นสิ่งที่เรา (ประเทศไทย) สู้กับเขา (ต่างประเทศ)ได้ เพราะถ้าทำอะไรที่สู้เขาไม่ได้ วันนี้โลกมันก็อยู่ยากขึ้นเรื่อยๆ” พิพัฒน์เห็นว่า SME ไทย มีหลายอุตสาหกรรมที่เป็นแนวหน้า อย่างในเรื่องเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ การออกแบบชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์
แต่ด้วยโครงสร้างในตอนนี้ที่ทำให้มีต้นทุนแรงงานที่น้อยลง รวมถึงการแข่งขันจากทั่วโลกที่ดุเดือดขึ้น จึงจะต้องหาอุตสาหกรรมเหมาะกับความสามารถของไทย และต้องมี value added ซึ่งอาจจะบอกอย่างเฉพาะเจาะจงได้ยากว่าไทยควรจะไปทําธุรกิจอะไร จึงอยากแนะนำว่าให้ทำในสิ่งที่มี passion และ strenght
สำหรับคนที่พิจารณาจะเริ่มทำธุรกิจ SME ในขณะนี้ พิพัฒน์แนะนำให้ละเอียดรอบคอบกับแผนธุรกิจ และดูสภาพแวดข้องอุตสาหกรรมธุรกิจที่อยากเข้าไป ว่าปัจจุบันมีผู้เล่นเป็นใครบ้าง ความสามารถในแข่งขันเราเป็นยังไง และจะสู้ได้จริงหรือไม่
“ไม่อยากให้หมดความหวัง ผมว่ายังไงมันก็มีโอกาสเสมอ”
ในไทยเอง SME หลายแห่งก็ประสบความสําเร็จ ถึงแม้ว่าภาพใหญ่จะเห็นว่ามีปัญหา แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจจะเห็นโอกาสอย่างไรบ้าง เช่น หลายอุตสาหกรรมต้องทํางานหนักขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการทําธุรกิจให้มากขึ้น จึงจะแข่งกับคนอื่นได้
อ้างอิงจาก