“นี่แก จำงานที่หัวหน้ามาเร่งเราได้ไหม”
“จำได้สิ ทำไมหรอ”
“งานชิ้นนี้น่ะ เจ้าตัวรับมานานแล้ว แต่ลืมส่งต่อให้เรา”
“…”
มองซ้าย มองขวา พอเจ้านายเดินไปจนลับตาปุ๊บ เก้าอี้ทุกตัวก็เข็นมารวมตัวกันเป็นกลุ่มปั๊บ พร้อมใครสักคนเป็นตัวแทนผู้นำการประชุมแบบไม่เป็นทางการ เปิดด้วยหัวหน้าอย่างนู้น องค์กรอย่างนั้น งานไม่เสร็จไม่เป็นไร ตอนนี้ขอรับทราบทุกหัวข้อที่พูดคุยกันตรงนี้ก่อนเป็นพอ
การจับกลุ่มซุบซิบ พูดคุยเรื่องนู้นนี้ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องานและหัวหน้า ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารที่เรียกว่า ‘Grapevine Communication’ หรือการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นสิ่งที่แอบแฝงอยู่ในแทบทุกองค์กร เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่า หากเดินไปคอมเมนต์เจ้านายตรงๆ ติชมกันซึ่งหน้า วันถัดไปเราจะยังมีชื่อเป็นพนักงานอยู่ในบริษัทหรือเปล่า ดังนั้นการนินทาหรือบ่นอุบอิบลับหลัง ก็อาจเป็นสิ่งที่พนักงานอย่างเรายังพอทำได้อยู่บ้าง
แม้ฟังดูแล้ว การนินทาใครสักคนลับหลังจะดูเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร แต่มันก็พอมีประโยชน์สำหรับคนทำงานอยู่ด้วยเช่นกัน วันนี้ The MATTER จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักกับรูปแบบการสื่อสารแบบ Grapevine Communication พร้อมพาไปดูกันว่า การสื่อสารแบบไม่เป็นทางการนี้จะดีต่อการทำงานในแง่มุมไหนได้บ้าง

Grapevine Communication คืออะไร?
เชื่อว่าหลายคนน่าจะมองการซุบซิบนินทาเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควรเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในองค์กรหรือสถานที่ทำงาน เพราะคนอีกจำนวนไม่น้อยก็มองว่าการสื่อสารกันแบบตรงไปตรงมา น่าจะช่วยให้เราทำงานกันได้สำเร็จมากกว่าจะมานั่งจับกลุ่มนินทากัน
อย่างไรก็ดี หากมองในมิติด้านการสื่อสาร การนินทาก็ไม่ต่างอะไรจากการสื่อสารรูปแบบอื่นๆ เพราะมันก็มีทั้งผู้ส่งสาร สาร หรือกระทั่งผู้รับสารอยู่ร่วมกัน เพียงแต่การสื่อสารลักษณะนี้ ผู้ถูกกล่าวอยู่ในสาร อาจไม่ได้อยู่ในวงสนทนานี้ด้วยเท่านั้นเอง
การนินทาจึงนับเป็นการสื่อสารแบบลับๆ หรือที่เรียกว่า Grapevine Communication หมายถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากช่องทางทางการขององค์กร โดยการสื่อสารในรูปแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะ การพูดคุยกันเล่นๆ กับเพื่อนร่วมงาน การระบายความอัดอั้นส่วนตัว หรือแม้แต่การสนทนาที่หัวข้อดันหลุดประเด็นไปเป็นเรื่องซุบซิบส่วนตัว จนนำไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูลวงในกันต่อ
แม้ฟังดูแล้ว Grapevine Communication จะเกิดขึ้นแบบลับๆ ทั้งในวงสนทนาหรือวงนินทาเล็กๆ ทว่าแท้จริงแล้ว การสื่อสารรูปแบบนี้กลับเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในองค์กร ผลสำรวจจาก Gallagher บริษัทด้านประกันภัย ที่มีการสำรวจเกี่ยวกับวิธีการสื่อสารภายในองค์กรการทำงาน ซึ่งได้ศึกษาผ่านคนทำงานกว่า 2,000 คน ชี้ให้เห็นว่า การสื่อสารในช่องทางที่ไม่เป็นทางการกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เป็นผลมาจากพื้นที่เหล่านี้สามารถส่งต่อข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วมากกว่าช่องทางที่เป็นทางการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น อีเมล ประกาศบริษัท หรือการแจ้งข่าวสารระหว่างการประชุมทีม เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การนินทา เป็นเพียงประเภทย่อยของ Grapevine Communication เท่านั้น โดยการสื่อสารรูปแบบนี้ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ดังนี้
- Single strand chain: คือรูปแบบการสื่อสารที่คนหนึ่งเล่าคนถัดไปฟัง แล้วคนฟังคนนั้นก็ส่งต่อข้อมูลไปเรื่อยๆ เหมือนสายพานที่ลำเลียงส่งต่อข่าวสาร
- Gossip chain: คือรูปแบบการสื่อสารที่คนหนึ่งเล่าให้อีกหลายคนฟังพร้อมกัน และผู้ฟังทั้งหลายนี้ก็พร้อมจะส่งต่อข้อมูลต่างๆ จากผู้เล่าให้กระจายไปเรื่อยๆ
- Probability chain: คือการเผยแพร่ข้อมูลแบบสุ่มๆ ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเล่าให้ใครสักคนฟังเป็นพิเศษ โดยคนหนึ่งอาจเล่าให้ใครต่อใครฟังก็ได้ แล้วคนนั้นอาจส่งข้อมูลให้คนอื่นที่บังเอิญเจอกันรับรู้ต่อนั่นเอง
- Cluster chain: คือรูปแบบที่มีคนต้นทางหนึ่งคนเล่าให้เฉพาะกลุ่มที่สนิทหรือเกี่ยวข้องฟัง หากแต่กลุ่มนั้นอาจนำเรื่องนี้ไปเล่าต่อกลุ่มอื่น อีกทอดหนึ่งไปเรื่อยๆ
ด้วยความที่การสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ สามารถส่งต่อข้อมูลข่าวสารรวดเร็วทันใจได้มากกว่า แถมบางข้อมูลก็อาจไม่สามารถเผยแพร่ผ่านช่องทางที่เป็นทางการได้เสียทั้งหมดด้วย จึงไม่แปลก หากการซุบซิบนินทาจะเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมองค์กรที่แฝงอยู่ในแทบทุกบริษัท
แล้ว Grapvine Communication มีประโยชน์มั้ย?
มาถึงตรงนี้ หลายคนก็อาจเห็นพ้องตรงกัน ว่าการส่งต่อข้อมูลข่าวสารแบบลับๆ อาจไม่ได้มีผลดีต่อองค์กรเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะเป็นการระบายความอัดอั้นของคนทำงาน หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจในองค์กร การสื่อสารรูปแบบนี้ก็ไม่น่าสร้างประโยชน์อะไรได้
อย่างไรก็ดี การสื่อสารกันระหว่างคนทำงานด้วยกันเองผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการนี้แหละ คือระบบการสื่อสารที่มีประโยชน์ต่อทั้งระดับคนทำงานและระดับองค์กรได้เลย โดย แฟรงค์ ที. แมคแอนดรูว์ (Frank T. McAndrew) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคมเชิงวิวัฒนาการ ได้นำเสนอถึงข้อดีของ Grapvine Communication และการซุบซิบนินทา เอาไว้ดังนี้
-
การนินทาช่วยสร้างสังคม: การจับกลุ่มเม้ามอยและซุบซิบกันในที่ทำงานช่วยสร้างสังคมให้กับคนทำงานได้ง่ายขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งกับพนักงานที่มาใหม่หรือใครก็ตามที่อยากเข้าสังคมกับที่ทำงาน เพราะแง่หนึ่ง มันก็ช่วยลดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และค่านิยมของสังคม ผ่านการฟังความคิดเห็นหรือการตัดสินเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งช่วยให้คนใหม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
ลองนึกภาพว่า เราเป็นพนักงานหน้าใหม่ ผู้ไม่รู้ว่าจะวางตัวหรือแสดงพฤติกรรมอย่างไรให้เหมาะสมในองค์กร การได้ฟังคนอื่นๆ พูดคุยก็อาจช่วยให้เรารับรู้ได้ ว่าหากเราอยากมีสังคมหรือมีมิตรสหายในที่ทำงานจะต้องวางตัวเองอย่างไร
-
การนินทาช่วยส่งต่อข่าวสารลับๆ ขององค์กร: คนดีและคนไม่ดีมีอยู่ทั่วไปในสังคม รวมถึงองค์กรการทำงานด้วยเช่นกัน เมื่อมีใครสักคนทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งสิ่งนั้นอาจกระทบต่อตัวองค์กรโดยตรง เช่น การฉ้อโกง การทุจริต หรือการใช้เส้นสายในทางที่ไม่ดี การพูดคุยในช่องทางลับ อาจทำให้ข่าวสารเกี่ยวกับพฤติกรรมเหล่านี้ถูกส่งต่อ และช่วยยับยั้งการกระทำที่ผิดทั้งหลายได้
ตัวอย่างเช่น วันหนึ่ง พนักงานอาจมีการจับกลุ่มพูดคุยกันถึงการทุจริตในแผนกของตนเอง แต่ละคนก็อาจมาแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือรวมรวมหลักฐานกัน เพื่อนำข้อมูลไปส่งต่อให้ผู้มีอำนาจเป็นคนจัดการหรือลงโทษผู้กระทำผิดได้ ซึ่งช่วยให้องค์กร รวมถึงตัวเราเองถูกใครเอารัดเอาเปรียบด้วย
-
การนินทาช่วยทำให้คนทำงานแน่นแฟ้นกันมากขึ้น: หากตัดเรื่องของข้อมูลที่พูดถึงการในวงสนทนาออกไป การนินทาก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการสื่อสารที่ช่วยกระชับความใกล้ชิดให้แก่พนักงานด้วยกันเอง โดยบางคนที่ไม่ค่อยได้คุยกัน ทำงานด้วยกันไม่ค่อยได้ เวลามีประเด็นปัญหาร่วมกัน แล้วได้มาจับเข่าพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนความรู้สึกของกันและกัน ก็อาจนำไปสู่การร่วมมือในการทำงานได้ดีขึ้น
อย่างในตอนที่เรากังวลเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับทีม หากแต่ละคนในทีมมาสุมหัวพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาที่เจอมา อาจช่วยให้แต่ละคนมองเห็นปัญหาในการทำงานมากขึ้น หรือบางทีพบว่าปัญหามาจากตัวผู้นำ ก็อาจรวมตัวกันไปพูดคุยกับฝ่ายตรงข้าม เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขต่อไปได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ Grapevine Communication อาจมีประโยชน์ในบางแง่มุม แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ใช่วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะบางทีเราอาจส่งต่อข้อมูลที่ผิดพลาด เผยแพร่ในเรื่องที่ไม่ควรพูด รวมถึงพาดพิงบุคคลอื่น จนนำไปสู่ความเสียต่อบุคคลหรือระดับองค์กรได้
คงจะดีกว่า ถ้าเรานำปัญหาหรือข้อกังวลใดๆ ที่ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน ไปสื่อสารกับบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรง ก็อาจสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในองค์กรได้ดีกว่า โดยแต่ละคนสามารถเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น การพูดคุยแบบตัวต่อตัว การคุยกับหัวหน้าหรือผู้มีอำนาจโดยตรง กระทั่ง การเลือกใช้ระบบการสื่อสารแบบเป็นทางการขององค์กรในการพูดคุย แทนที่จะจับกลุ่มคุยกันแบบลับๆ ซึ่งมันอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด
ท้ายสุดแล้ว ตัวองค์กรหรือผู้นำเองก็ควรจะเปิดใจยอมรับฟังฟีดแบ็กและคำติชมอย่างตรงไปตรงมาด้วย เพราะการสื่อสารที่ดีจะเกิดขึ้นได้ หากสารจากผู้พูดส่งไปถึงผู้รับจริงๆ
อ้างอิงจาก