เชิ้ตตัวเก่งแมทช์คู่กับกระโปรงเข้ารูป พร้อมท่วงท่าเดินที่มั่นใจ ช่วยเสริมให้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเข้ามารัศมีสายตาของเราสะดุดตากว่าเดิม เสียงของรองเท้าส้นสูงที่กระทบพื้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะไล่สายตาลงมอง แต่วัตถุสีดำคล้ายกล่องไม้ขีดไฟขนาดใหญ่ ที่ถูกรัดไว้บริเวณข้อเท้าเล็กๆ นั้น กลับชวนสงสัยและขัดตาอยู่ในที
ด้วยน้ำหนักราว 300 กรัมของ ‘Electronic monitoring’ หรือ ‘กำไล EM’ อาจไม่ได้หนักหนา แต่เมื่อต้องผูกติดไว้ตลอดเวลา อย่างไรเสียก็ไม่สามารถเลี่ยงความไม่สะดวกสบายได้ คล้ายกับที่ ลูกเกด-ชลธิชา แจ้งเร็ว หนึ่งในนักเคลื่อนไหวทางการเมือง กำลังประสบอยู่
ศาลอาญารับฟ้องคดีของลูกเกด เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์ข้อความถึงสถาบันกษัตริย์ในการเคลื่อนไหว ‘ราษฎรสาส์น’ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563
เย็นวันเดียวกันศาลอาญาได้ให้ประกัน โดยให้วางหลักประกันเป็นเงินสด 90,000 บาท และให้ใส่กำไล EM พร้อมทั้งกำหนด 4 เงื่อนไข อย่างห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 20.00-05.00 น. และให้มารายงานตัวต่อศาลทุก 15 วัน เป็นเวลา 3 เดือน
ราว 2 สัปดาห์หลังได้รับอิสระนอกสถานที่กักขัง The MATTER มีโอกาสไปพูดคุยกับลูกเกด ถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปเมื่อมีกำไล EM คอยสอดส่อง ซึ่งนับเป็นคดีแรกที่มาพร้อมการติดกำไล ท่ามกลาง 28 คดีความติดตัว ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าทำรัฐประหาร
ตอนที่ฟังคำตัดสินจบ แล้วรู้ว่าต้องกลับบ้านพร้อมกำไล EM รู้สึกยังไง
โกรธมาก ผิดหวังค่อนข้างมาก เพราะเราเชื่อว่าตอนให้เหตุผลคัดค้านการติดกำไล EM เราให้เหตุผลไปค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์แบบทุกอย่างแล้ว ทั้งเหตุผลของหน้าที่การงาน เหตุผลของที่อยู่อาศัย หรือตัวพฤติการณ์คดีของเราเองด้วยซ้ำที่มันเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก มันไม่ใช่คดีที่เกิดขึ้นจากการฆ่าคนตาย หรือว่าไปลักทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อยต่างๆ มันไม่ใช่
มันเกิดขึ้นเพียงเพราะเรามีความคิดเห็นที่แตกต่าง ก็ยอมรับว่าตอนนั้นโกรธมาก และค่อนข้างกังวลกับการประกอบอาชีพของเรา ตัวเกดเองก็เป็นวิทยากรจัดอบรมเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสิทธิมนุษยชนทั่วประเทศ ซึ่งอันนี้กระทบแน่นอน
ยอมรับเงื่อนไขด้วยความสมัครใจใช่ไหม
เมื่อวันที่ 15 มี.ค. เราได้กล่าวถึงคำแนะนำของประธานศาลฎีกาจริง แต่ไม่ได้หมายความว่า เรายินยอมในการที่จะติดกำไล EM กับเรา แต่เรากำลังพูดถึงการปล่อยตัวชั่วคราวนั้นมีความจำเป็นในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่มีผู้ติดเชื้อไม่เว้นแม่แต่ในเรือนจำ และมีวิธีการอื่นที่ผู้พิพากษาสามารถเลือกใช้ได้
ต้องขอยืนยันว่าเกดเองไม่ได้ยินยอมพร้อมใจในการติดกำไล EM ที่สำคัญในวันนั้นเกดได้มีการทำหนังสือคัดค้านเงื่อนไขการติดกำไลให้ศาลด้วย แต่ว่าศาลได้ยกคำร้องดังกล่าว
โดยในตัวคำร้องได้พูดถึงว่า ปัจจุบันเรามีหน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง ทั้งในฐานะเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ และเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคก้าวไกล จ.ปทุมธานี นอกจากนั้นด้วยหน้าที่การงาน เกดต้องเดินทางไปต่างจังหวัดด้วย รวมถึงพฤติการณ์ในเชิงคดีที่เราไม่ได้หลบหนี หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เรามองว่ามีน้ำหนักเพียงพอที่ศาลจะพิจารณาการกำหนดเงื่อนไขในการติด EM ของเรา แต่ศาลก็ยกคำร้อง
จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเราถึงต้องยอมติดกำไล EM เพราะถ้าไม่ยอมในวันนั้น หมายความว่าเราก็ต้องเดินเข้าเรือนจำในเย็นวันที่ 15 มี.ค. ทันที
อย่างแรกในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปคืออะไร
ปกติแล้วเกดจะใช้รถขนส่งสาธารณะเป็นหลัก เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งรถเมล์รถไฟฟ้า แต่พอเราติดกำไล EM ก็ค่อนข้างกังวลกับการถูกตีตรา และอาจนำมาซึ่งความปลอดภัยทางร่างกายของเรา อาจจะมีคนที่เห็นต่างกับเราจำเราได้ เห็นว่ามีกำไล EM ติดที่ข้อเท้าเรา บ่งบอกเลยว่านี่ลูกเกดตัวจริงแน่นอน แล้วเลือกที่จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย เพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเกดเจอปรากฏการณ์แบบนี้หลายรอบ
สุดท้ายหลังติดกำไล EM เราตัดสินใจว่าใช้ Grab หรือแท็กซี่แทน มันก็ไปเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของเราด้วย นอกจากค่าใช้จ่ายจากการชาร์จแบตเตอรี่กินไฟตลอดเวลา มันก็จะมีค่าเดินทางตรงนี้ที่พ่วงมา
หลังจากนั้นละ มีอะไรตามมาจากเครื่องพันธนาการชิ้นนี้อีกไหม
สารภาพเลยว่ากังวลกับความปลอดภัยของตัวเองมาก วันที่กลับบ้านวันแรกโชคดีว่านายประกันไปส่งที่ป้ายรถเมล์ จากนั้นเกดต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้าน
เอาเข้าจริงเราค่อนข้างกังวล เพราะการติดกำไล EM เป็นเรื่องที่หลายคนในสังคมไม่เข้าใจ อาจจะมองเป็นเรื่องใหม่ มองว่าการติดเพราะคุณเป็นผู้ต้องหา หรือเป็นจำเลยในคดีร้ายแรงใช่ไหม เช่น คดีฆ่าคนตาย คดีลักทรัพย์ คดีที่เป็นภัยกับสังคม ภัยกับชีวิตของประชาชนคนอื่น
วันที่เรานั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน แล้วก็ต้องเดินขึ้นคอนโดที่พักอาศัยอยู่ ก็มีหลายคนที่เขามองข้อเท้าเรา แล้วก็มองหน้าเราเหมือนแบบเกิดคำถาม สงสัยว่าอินี่คือใคร ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ซึ่งเราก็ค่อนข้างกังวลในเรื่องของการถูกตีตรา
เวลาที่เราเดินมันก็จะไปเสียดสีกับบริเวณข้อเท้าตรงตาตุ่ม เกดเองตอนแรกเราไม่รู้ว่าต้องรับมือกับมันยังไง หมุนตัวกำไล EM ไว้อีกฝั่ง หรือไว้ฝั่งด้านในเพื่อให้เดินถนัดมันก็เป็นปัญหา
ย้ำหลายครั้งว่าเป็นมือใหม่ อะไรที่ยังไม่ชินที่สุด
เรื่องหนึ่งคือการชาร์จแบตเตอรี่ อย่างวันแรกที่ได้มาเราไม่ทราบว่าต้องชาร์จนานแค่ไหน หรือชาร์จหนึ่งครั้งอยู่ได้นานแค่ไหน เพราะกำไล EM มันเหมือนให้แค่ตัวสัญญาณไฟขึ้น ไฟสีเขียวที่แปลว่าแบตเตอรี่ดี สีเหลืองที่เป็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่เริ่มน้อย และสีแดงที่บอกกว่าถึงเวลาชาร์จแบตฯ
เวลาที่เกดต้องเดินทางไปทำงาน ก็กลายเป็นว่าเราต้องพกพาวเวอร์แบงก์ติดตัวตลอดเวลาเพื่อชาร์จแบตฯ มันก็จะมีความยุ่งยากในการใช้ชีวิต
ก่อนหน้านี้หลายคนแนะนำว่า เวลานอนให้ชาร์จแบตฯ ไปด้วยสิ ตื่นเช้ามาถ้าต้องออกไปทำงานก็จะได้ออกได้เลย แต่ในความเป็นจริงถ้าคุณนอนแล้วเอาเท้าไปวางไว้กับปลั๊กไฟตลอดเวลา มันไม่สะดวก แล้วมันก็เป็นเรื่องของความปลอดภัยเหมือนกันเราก็กังวล คร้านจะใช้พาวเวอร์แบงก์วางไว้บนเตียงแล้วชาร์จกับตัวกำไล EM ตลอดตอนนอน เกดลองแล้วค่ะ เกดไม่สะดวก เรานอนไม่ถนัด
ช่วงแรกที่เราเป็นมือใหม่ติด EM เราก็ยังไม่รู้ว่าต้องชาร์จตอนไหน ยังไง ก็มีบ้างที่เจ้าหน้าที่ส่งข้อความมาแจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดแล้ว กรุณาชาร์จแบตฯ
เกดโดนติดกำไล EM ไม่พอ มันมาพร้อมเงื่อนไขการกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน เกดจะไม่สามารถออกข้างนอกได้หลังสองทุ่ม ไปจนถึงตีห้า นั่นหมายความว่าการทำงานหรือการเดินทางของเรา ต้องจัดสรรให้มันดีขึ้น ทำให้เรากลับบ้านทันเวลา
ส่งผลกับความสัมพันธ์รอบข้างไหม
เงื่อนไขของศาลกำหนดให้เราต้องเลือกว่า เราจะอยู่ที่ไหนหนึ่งที่ที่เป็นเคหสถาน เราตัดสินใจเลือกที่กรุงเทพฯ เพราะเรามีคดีความส่วนใหญ่อยู่ที่ศาลในกรุงเทพฯ ทำให้อย่างตอนนี้เราก็ไม่สามารถไปกินข้าวเย็นกับครอบครัว (ที่ปทุมธานี) ถ้าพ่อแม่อยากกินข้าวก็ต้องมากินข้าวกลางวันแทน เป็นไปได้คือมากินที่กรุงเทพฯ ไม่งั้นก็กระทบการเดินทางของเรา
แม้แต่เรื่องที่วางแผนไว้ ว่าจะเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของคนรักที่ต่างประเทศ ก็ติดเงื่อนไขนี้อีกเหมือนกัน
คิดอย่างไรกับการติดกำไล EM ให้กับจำเลยทางการเมือง
จริงๆ เกดคิดว่าจำเลย หรือผู้ต้องหาคดีทางการเมือง ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพการแสดงออก ควรจะได้รับสิทธิในการประกันตัว นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ควรที่จะถูกขังคุก เพียงเพราะว่าคิดต่าง
ถ้ามีใครแสดงความเห็นว่า น่าจะคุ้มค่ากับอิสรภาพที่แลกมา จะตอบพวกเขายังไง
เกดมองว่าไม่คุ้ม และไม่ใช่สิ่งที่ควรจะแลกด้วยซ้ำ เกดยืนยันว่าการติดกำไล EM สุดท้ายต้องดูเรื่องความได้สัดส่วน และความจำเป็นของคดีนั้นๆ คดีของเกดทั้งหมดก็ยังไม่มีคดีใดที่ถูกตัดสินว่าเราเป็นผู้กระทำความผิด
เวลาที่มีประชาชนเขามองกำไล EM ของเรา ก็อยากจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขาเหมือนกัน ว่านี่แหละค่ะ คือประเทศไทยที่เรา นี่แหละค่ะคือกระบวนการยุติธรรมที่เราอยู่ ที่ทำให้เราต้องโดนติดกำไล EM เพียงเพราะเราแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างจากรัฐ แค่นี้เลย แค่นี้จริงๆ ที่อยากจะบอกเขา