ถ้าหาก ฟ้า—ษริกา สารทศิลป์ศุภา จะต้องกรอกเรซูเม่สมัครงาน เราคงเดาได้ว่าในช่องที่ให้ระบุอาชีพ คงมีทั้งการเป็นนางแบบ อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเบอร์ เคยได้ร้องเพลง เล่นมิวสิกวิดีโอ และนักแสดงภาพยนต์
ชีวิตที่ผ่านมาของฟ้า ไม่ได้มีเพียงแค่อาชีพที่หลากหลายที่เธอได้ทดลองทำ แต่ยังรวมไปถึงประสบการณ์ชีวิตที่ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งเรื่องที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต รวมถึงสิ่งเล็กๆ ที่เธอเก็บเกี่ยวมาตลอดเส้นทางการทำงานในโลกของความเป็นผู้ใหญ่
เรามีนัดพูดคุยกับฟ้าในวันที่เธอได้กลับมาสู่หน้าจอภาพยนต์อีกครั้ง กับการรับบทเป็นนักแสดงนำในภาพยนต์เรื่องใหม่อย่าง ‘วอน(เธอ)’ จากค่าย M39
ไหนๆ ก็ได้เจอกันทั้งที เราชวนฟ้าคุยถึงผลงานใหม่ เรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา และประสบการณ์มากมายที่เธอได้เรียนรู้ นับตั้งแต่เธอตัดสินใจเขียนใบลาออกจากนักศึกษาในตอนที่เรียนอยู่ปี 3 เพื่อออกมาเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่เธอเคยใฝ่ฝันเอาไว้
หนังเรื่องนี้พูดถึงชีวิตเพื่อนมหาลัย 4 คน เลยอยากรู้ชีวิตตอนมหาวิทยาลัย 3 ปีของฟ้าเป็นยังไงบ้าง
ด้วยความที่เป็นช่วงที่เราเพิ่งจบ ม.6 และเพิ่งได้ออกมาใช้ชีวิตมาเจอเพื่อนใหม่ เจอสังคมใหม่ เรื่องที่เรียนก็เป็นเรื่องใหม่ ทุกอย่างใหม่หมดเลย ก็เป็นช่วงชีวิตที่เรียกได้ว่า ได้ทำให้เราได้ค้นหาและได้ทดลองทำอะไรหลายอย่างเยอะมากเหมือนกัน
ซึ่งพอเรียนมหาวิทยาลัยมาได้ 3 ปีก็เริ่มทำงานเลย
มันก็สนุกแต่มันก็เหนื่อยมากในแง่ของการใช้ร่างกายเยอะจนเหนื่อย ช่วงสอบก็จะเหนื่อยเป็นพิเศษ เพราะต้องอ่านหนังสือด้วยทำงานไปด้วย ไหนจะเดินทางอีกเพราะด้วยมหาลัยฟ้ามันไกลและช่วงปีหลังๆ ฟ้าไม่ได้อยู่หอแล้ว ก็จะมีเรื่องของการเดินทาง ความเหนื่อยในการทำงาน นอนน้อย ใช้ความคิดเยอะ อะไรพวกนี้ก็ค่อนข้างจะแบบหมดแรงมากกว่า คือมันเป็นความหมดแรง แต่คือสนุกไหมมันก็สนุก แต่ว่ามันจะเหนื่อยมากจนถึงจุดนึงที่รู้สึกแบบ โห ต้องพักบ้างอะไรแบบนี้
จุดที่ว่านั้นคืออะไร
มันคือช่วงเวลาที่หนักที่สุด เป็นช่วงสอบและทำงานไปด้วย คือเหมือนทำหลายอย่าง มันเลยเหมือนรู้สึกว่าเราทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เราจะมาทรมานตัวเองทำไมให้มันรู้สึกหนักเกินหรือว่ามาใช้ร่างกายให้มันมากเกินพอดี จริงๆ แล้วเราไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ อะไรแบบนี้ ก็เลยทำให้มีจุดที่ตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต จึงพาไปจุดการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตก็คือ ไม่เรียนแล้ว
ตอนที่ต้องตัดสินใจว่าจะไม่เรียนแล้ว มันยากแค่ไหน
ไม่ยากนะ แต่กลัว คือเราอยากทำมากๆ แต่มันกังวลว่าถ้าตัดสินใจแล้วชีวิตจะยังไงต่อ แล้วจะทำงานอะไรต่อ จะรับผิดชอบตัวเองได้ไหม และจะบอกคนรอบข้างยังไง ซึ่งสุดท้ายมันก็ไม่ยากเลย เพราะว่าเราอยากอยู่แล้วและเราเหมือนชัดเจนกับมันอยู่แล้วว่าจริงๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ และเรารู้ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง
ฟ้าทำงานมาก่อน พอมีประสบการณ์ด้านการทำงาน และก็มีความมั่นใจประมาณนึงว่าสามารถทำงานต่อได้อีกยาวๆ สุดท้ายก็จะตัดสินใจได้จากการที่ปรึกษาคนรอบข้างไปเรื่อยๆ และทุกคนก็ซัพพอร์ทเรา มันก็เลยเหมือนแบบมูฟไปถึงจุดที่ตัดสินและลงมือทำ
การมีที่ปรึกษาที่ดีคือสิ่งสำคัญมาก
สำคัญมากๆ โดยเฉพาะอย่างคุณพ่อฟ้าจะเป็นคนที่ให้อิสระในการตัดสินใจเยอะมาก จริงๆ อาจจะมีบางเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยหรือว่าอาจจะมีตั้งคำถามบ้าง แต่เรารู้สึกว่าเขาก็คือเป็นห่วง แต่เขาจะไม่ห้ามเขาจะแค่ถามว่าแบบ ตั้งใจแล้วใช่ไหม คิดมาดีแล้วใช่ไหม ก็จะมี เอ๊ะๆ นิดนึง แต่ไม่ได้แบบบอกว่า อย่าทำเลย อะไรแบบนี้
ถ้าย้อนกลับไปมอง 3 ปีที่ผ่านมาในรั้วมหาวิทยาลัย คิดว่ามันเป็น 3 ปีที่คุ้มค่าแค่ไหน
มันก็คุ้มค่านะ ฟ้ารู้สึกว่าทุกช่วงชีวิตมันก็มีเรื่องราวของมันมีประโยชน์ของมันอยู่แล้วแหละ มันไม่มีช่วงไหนที่เสียเวลาหรอกแม้กระทั่งตอนที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็ทำให้เราได้คิดได้เจออะไรหลายๆ อย่าง สุดท้ายแล้วมันก็สอนอะไรฟ้าหลายๆ อย่างนะ ทำให้ฟ้าได้เรียนรู้ว่าเพื่อน สังคม สิ่งที่เราเรียน หรือสิ่งที่เราพบเจอในช่วงวัยนั้นมันให้อะไรเราบ้าง หรือบางทีมันอาจจะไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงหรือในชีวิตการทำงาน แต่มันก็ทำให้เราได้ไปรู้จักอีกโลกนึง เรื่องบางเรื่องที่เรียนก็ไม่ได้มาใช้ในอาชีพที่ฟ้าทำหรอกแต่มันก็เหมือนให้แนวคิดให้วิธีการมองเห็นในเรื่องของเศรษฐกิจหรือว่าในเรื่องของงานอีกมุมมองนึง ไม่ว่าจะเรื่องสังคมหรือเพื่อน ซึ่งมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้คนหลากหลาย
เหมือนกับว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจแบบนี้
ใช่ๆ คิดถูกแล้วค่ะ คือฟ้าก็รู้สึกว่ามันจะถูกหรือผิดสุดท้ายแล้วก็เป็นสิ่งที่เราตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้มีใครมาบังคับหรือว่ามีอิทธิพลมาจากใคร มันคือเราเลือกเอง สุดท้ายถ้ามันพลาดหรือมันพังไปเราก็ต้องรับให้ได้
แล้วกลัวที่จะพลาด ไหม
ความกลัวมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ กลัวได้ระวังได้ คือฟ้าว่าความกลัวมันทำให้เราคิดมากขึ้นมากกว่า มันทำให้เราระแวดระวังกับแต่ละก้าวมากขึ้น ทำให้แบบสร้างความมั่นคงให้กับการเดินมากขึ้นมากกว่า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี เรากลัวได้แต่อย่ากลัวเกินไปจนไม่กล้าออกจาก comfort zone หรือออกจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ กลัวได้ตั้งคำถามได้แต่ว่าต้องไปต่อ
พอมาเล่นหนังเรื่องที่ 2 เราจะได้เห็นฟ้าในมุมไหนบ้างจากหนังเรื่องนี้
คิดว่าได้เห็นฟ้าในมุมที่ดูวัยรุ่นขึ้น ใสใสขึ้น ในความที่ตัวอายุของตัวละครและก็ตัวเรื่องมันก็จะมีหลายๆ มุมที่ไม่ได้เหมือนฟ้าเลยในตัวจริง ก็จะด้วยบริบท สภาพแวดล้อม และสังคมของเขาก็แตกต่างจากตัวฟ้า ก็ได้ทำให้ฟ้าได้เล่นอะไรที่ไม่เหมือนตัวเอง มีหลายๆ อย่างที่หลายๆ คนก็น่าจะรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็น
อยากให้เล่าหน่อยว่าบทนี้เป็นยังไงบ้าง
ตัวบท ‘เนเน่’ เรียกเนเน่เป็นน้องเลยนะ (หัวเราะ) น้องเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่มีความฝันมีความกล้าและก็มีความใสบางอย่างด้วยที่เป็นช่วงอายุของเขาและเป็นสิ่งที่เขายังไม่เคยเผชิญ บางทีมันดูเหมือนเขาแบบว่ารู้เยอะ แต่เขาก็ทำไปด้วยความซื่อบางอย่างที่มันไปได้ด้วยความอยากของชีวิตวัยรุ่น บางอย่างสิ่งที่เจอ คนที่คบหรือสิ่งที่ตัดสินใจทำ บางทีมันแค่มาจากความรู้สึกของเด็กสาวคนนึงที่อยากใช้ชีวิต
ทำไมถึงเลือกเล่นบทนี้ในเรื่องนี้
หนังและตัวละครมันมีบริบทที่แตกต่างจากตัวเรา แต่ก็มีบางอย่างที่เราน่าจะมีจุดร่วมกับตัวละครได้ และก็ชอบคอนเซปของหนังที่มันดีไซน์มาว่าแต่ละคนมีมุมมองของตัวเอง มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากเล่น และพี่ชิง (ผู้กำกับ) บอกเราว่า เวลาเราเล่นของคนอื่น เราก็ต้องเล่นเป็นมุมมองของเขา ซึ่งฟ้ารู้สึกว่ามันท้าทายดี
บทเน่เน่เหมือนฟ้าไหม
เหมือนในแง่ของความอยากของการใช้ชีวิตของช่วงวัยรุ่น แต่ว่าด้วยบริบทหรือด้วยสังคมของตัวน้องไม่ได้เหมือนกับฟ้าเลย สิ่งที่เขาเรียน การแต่งตัวหรือครอบครัว ไม่ได้เหมือนฟ้าเลย แต่ว่ามันมีความเด็กสาวบางอย่างที่มันเชื่อมโยงกันได้
ความท้าทายในการรับบทนี้คืออะไร
ยากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องครอบครัวกับเรื่องความรักเพราะว่าครอบครัวของเนเน่กับครอบครัวของฟ้ามันแตกต่างกันมากๆ ซึ่งหลายแผลหรือช่องว่างในจิตใจของเขามันก็ค่อนข้างกว้างกว่าของฟ้า เพราะของฟ้ามันก็ค่อนข้างเติมเต็ม ด้วยความที่พ่อฟ้าให้ทำไรก็ได้ แต่อย่างตัวเนเน่เขาจะมีช่องว่างบางอย่างในชีวิตครอบครัวและเรื่องของความรักด้วย เหมือนเรื่องครอบครัวมันส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาประมาณนึง ซึ่งส่งผลให้เนเน่ต้องทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ได้คิดมากที่จะทำ
พอเล่นหนังเรื่องนี้ไปรู้สึกว่าเราเข้าใจอะไรเกี่ยวกับเนเน่ และย้อนกลับมาตัวเองมากขึ้นไหม
ด้วยความที่เราได้ไปแสดง ไปเป็นตัวละครแล้ว พอเล่นไปแล้วมันก็มีผลกับความรู้สึกนิดนึง เรารู้สึกว่าแบบมันเป็นช่วงนึงของชีวิตที่คนเราจะต้องเจอหรือว่าเป็นอะไรที่บางอย่างฟ้าก็ไม่เคยเจอในชีวิตจริงแต่ว่ามันก็ทำให้เราเห็นชีวิตองค์รวามของวัยรุ่นคนนึง และมันก็มองย้อนกลับมาตัวได้นะ สุดท้ายฟ้าว่าทุกคนที่ดูเรื่องนี้มันมีอะไรหลายจุดที่เป็นจุดร่วมของคนดูกับตัวละครว่าถ้าเป็นเราเราจะตัดสินใจยังไง ถ้าเป็นตัวเองแล้วเจอกับสถานการณ์แบบตัวละครเราจะเลือกทำยังไง
คิดว่าความยากลำบากกับการเป็นวัยรุ่นในบริบทนั้น มันมีอะไรบ้าง
ความยากลำบากของการเป็นวัยรุ่นตัวนี้มันยากตรงที่เหมือนเขาไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองจริงๆ บางทีมันไปตามคนรอบข้าง ตามสิ่งที่เข้ามาซึ่งเขารับหมด บางทีพอรับหมดมันก็ถูกกลืนกินแล้วตัวตนเขาก็หายไป บางทีมันก็ยากในเรื่องของการแสดงด้วยเพราะต้องเล่นหลากหลาย เช่น อยู่คนนั้นก็เป็นแบบนี้ อยู่กับคนนี้ก็เป็นแบบนั้น ซึ่งฟ้าว่าตรงนี้ยาก
ในหนังมีคำโปรโมทประมาณว่า ตัวแต่ละคนก็เป็นพระเอก-นางเอกในมุมของตัวเอง ฟ้าคิดยังไงกับประโยคนี้
มันจริงนะ สมมติหนังสือเล่มเดียวกันคนอ่าน 10 คน ก็ตีความไม่เหมือนกันสักคนเลยถูกไหม มันเป็นเรื่องการที่เหมือนเราฟังเรื่องเล่าจากใคร เรื่องเล่าเรื่องเดียวกันจะเป็นเรื่องผี เรื่องรัก เรื่องคนอื่น เรื่องอะไรก็ตาม แต่เวลาเราฟังหลายคนเล่าก็จะไม่เหมือนกันเพราะว่าบางทีคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันเลยก็จริงแต่ก็จะมองเห็นคนละมุมก็รู้สึกกันคนละมุม และยิ่งเป็นคนถูกถูกกระทำกับคนกระทำ มันก็ยิ่งมองเรื่องเดียวกันแตกต่างกันอยู่แล้ว คนถูกกระทำอาจจะรู้สึกเจ็บกว่า
คนที่กระทำไปอาจจะมองว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลยเวลาเขาไปเล่าหรือว่าไปพูดกับใครมันก็ไม่เหมือนกันแน่นอน ซึ่งฟ้าว่ามันเป็นเรื่องที่แบบเราจะได้เห็นใจเขาใจเรามากขึ้นและได้เห็นเราื่องราวต่างๆ ได้มุมคนอื่นมากขึ้น
นอกจากการเป็นพระเอก-นางเอกแล้ว บางทีเราก็เป็นตัวร้ายของคนอื่นด้วยเพราะบางทีเราก็ไม่คิดหรอกว่าเราทำอะไร เพราะในเรื่องของเรา เราก็เป็นพระเอก-นางเอกไปแล้ว แต่ในเรื่องของคนอื่นเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขามองเรายังไง
ฟ้าเคยเจอเรื่องแบบนี้ในชีวิตจริงไหม
เคยนะ แต่อาจจะไม่ได้มารู้ได้ด้วยตัวเองขนาดนั้น อาจจะมีคนมาเล่าหรือบอกว่าเราไปทำอะไรนะ แล้วคนอื่นเขารู้สึกแบบนั้นแบบนี้ โดยที่เราเองก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นเขารู้สึกยังไงหรือว่าเขามองเรายังไง เรามารู้อีกทีก็ตอนหลัง ก็มีในชีวิตจริง แต่ฟ้าว่าเราจะรู้หรือไม่รู้มันก็อีกเรื่องนึง
ฟ้าคิดว่าอะไรคือความอันตรายของการที่เราไปตัดสินคนอื่นจากมุมของเราไปก่อน
มันไม่ได้อันตรายนะ แต่ว่ามันเป็นการปิดกั้นความสัมพันธ์ มันเป็นการปิดกั้นสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ เราปิดกั้นการเรียนรู้ของตัวเองแทนที่เราจะเลือกเรียนรู้เขาก่อนหรือว่าไปศึกษาด้วยตัวเองก่อน สุดท้ายแล้วเราควรไปเรียนรู้มันด้วยตัวเอง เราควรไปเข้าหาเขาด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งตัดสินใครจากมุมเราเองบางทีมันแคบเกินไป เราต้องมองให้ครบให้พร้อมมันถึงจะแบบเข้าใจอะไรบางอย่างอย่างแท้จริงครบทุกมุม
การที่ตัดสินคนอื่นจากมุมของเราเอง มันส่งผลต่ออะไรบ้าง
ถ้าเราไม่ได้ไปพูด ทำร้ายเขา หรือไปตัดสินเขาและไปพูดต่อ มันก็อาจจะไม่ได้มีผลแย่อะไรมาก แต่มันส่งผลเสียต่อตัวเองนี่แหละที่ไม่ได้เรียนรู้หรือได้เปิดโอกาสที่จะได้รู้จักใครคนนึงอย่างแท้จริง บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่ดีมากๆ ก็ได้ แต่เราดันตัดสินเขาด้วยสิ่งที่เราคิดว่ามันเกกิดจากประสบการณ์ของเราและก็คิดว่าเขาก็น่าจะเป็นแบบนี้แหละ
เราคิดแบบนี้เขาก็น่าจะเป็นแบบนี้สิ มันกลายเป็นว่าเราก็ปิดโอกาสตัวเองมากว่า สุดท้ายแล้วถ้าเราไม่ได้ไปพูดหรือไปทำร้ายเขาในทางอ้อมด้วยการพูดถึงเขาในมุมที่ไม่ดีจากมุมมองเรา มันก็โอเค แต่ถ้าสมมติเรารู้จักคนชื่อ เอ และเรามองเขาไม่ดีเลย แล้วเราก็ไปพูดกับ บี ว่าเอเป็นแบบนี้แบบนั้น แต่จริงๆ แล้วบีรู้จักกับเอนะ และเขาก็อาจจะรู้ว่า เอ เป็นคนยังไงมากกว่าที่เรารู้จักเอด้วยซ้ำ บีก็อาจจะมองว่าทำเราไปตัดสินคนอื่นแบบนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนในการเข้าใจคน
ฟ้าว่ามันเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา การตัดสินคนด้วยความรู้สึกของตัวเองมันเป็นอะไรที่ทำได้นะแต่ว่าเราก็ต้องมีประสบการณ์มากพอ สุดท้ายแล้วมันก็ควรจะต้องเรียนรู้เขาอย่าเพิ่งตัดสินใคร 100% ด้วยความรู้สึกของตัวเอง เพราะมันเสี่ยงมากที่จะไม่เข้าใจเขา และมันก็จะกลายเป็นเสียโอกาสดีๆ ไป
แล้วฟ้ารับมือยังไงเวลาเจอเรื่องแบบนี้
ฟ้าว่าฟ้าไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องการตัดสิน ฟ้าว่ามันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่คนจะมอง จะตัดสินเรา หรือจะคิดกับเรายังไง แต่ว่าฟ้าก็จะพยายามเป็นตัวเองให้มากที่สุด ส่วนตัวฟ้าเป็นคนที่แบบจริงใจมากๆ กับทุกการสนทนา ฟ้าจะพยายามรับฟัง เข้าใจ และสังเกตด้วยว่าเขารู้สึกยังไงกับเรา คือการรับมือมันเป็นเรื่องที่แบบเราต้องสังเกตด้วยว่าคนฟังรู้สึกยังไง คนพูดรู้สึกยังไง หรือว่าคนที่เราอยู่ด้วยเขาโอเคไหม
บางคนคิดว่าโลกนี้มันเข้าใจยากจังนะคือเราอยู่ในโลกที่ทุกคนพร้อมจะตัดสินกันได้ง่ายตลอดเวลา ฟ้ามองเรื่องนี้ยังไง
มันก็ยากอยู่แล้วนะโลก (หัวเราะ) คือฟ้าไม่ได้มองว่าเรื่องยากเป็นเรื่องที่ไม่ดีนะ ความยากเป็นเรื่องที่ดีสำหรับฟ้า ทุกคนจะบอกว่าชีวิตมันยาก โลกมันยาก ซึ่งฟ้ารู้สึกว่าก็ใช่ไง เพราะถ้าทุกคนบอกว่ามันยาก มันก็ยากจริงๆ มันไม่มีอะไรง่ายเสมอไปเพราะถ้ามันง่ายมันก็คือง่าย เราทำมันได้สบายๆ แต่ว่าความยากมันทำให้เราเก่งขึ้น ในมุมของฟ้าคือเหมือนเวลาเราเล่นเกมส์ แล้วรู้สึกว่า Level 1 ชิวๆ ง่ายๆ พอ Level 2 มันก็ยากขึ้น แสดงว่าทุกครั้งที่เราเจออะไรยากๆ และเราผ่านมันไปได้เราก็จะเก่งขึ้น
ตอนนี้เก่งขึ้นเยอะแค่ไหน
ก็ไม่เยอะนะ เอาเป็นว่าเราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุดได้ถึงแม้จะเจอเรื่องยากๆ อาจจะไม่ได้เก่งขึ้นเพราะฟ้ามองว่าเดี๋ยวชีวิตก็ต้องเจออะไรที่ท้าทายหรือยากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้วซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรามีความสุขได้ทุกๆ วันมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ แล้ว
ถ้าจะมี Resume ของชีวิตฟ้า ตอนนี้คงมีทั้งเป็นศิลปิน นักร้อง และเล่นหนังเรื่องที่ 2 ฟ้าแฮปปี้กับการที่ตัวเองทำอะไรได้เยอะขนาดนี้ไหม
แฮปปี้มากเพราะว่า ณ ตอนทำก็มีความสุข แล้วยิ่งเห็นผลงานและมีคนมาพูดถึง มันเหมือนเป็นความสุขที่ส่งต่อไปได้เรื่อยๆ มันให้อะไรกับชีวิตฟ้าเยอะ มันทำให้ฟ้าค้นพบความสามารถที่เราสามารถพัฒนามันต่อไปได้เรื่อยๆ อย่างการแสดงฟ้าก็รู้สึกชอบมากทุกครั้งที่ได้แสดงหรือได้ลองเป็นคนอื่น มันทำให้ฟ้าตื่นเต้นและมันเป็นความรู้สึกใหม่ๆ อยู่ทุกครั้ง ฟ้าเป็นคนเบื่อง่ายและก็ชอบลองทำอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด การได้แสดงก็เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ในเรื่องตรงนี้
ความตื่นเต้นที่ได้รับบท ‘เนเน่’ คืออะไรบ้าง
หลักๆ น่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์นะ ได้เจอคนหลายๆ แบบและก็ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน
เป็นคนที่พร้อมเจออะไรใหม่ๆ ตลอด
ใช่นะๆ แต่ก็ต้องเลือก ไม่ใช่ว่าทำทุกอย่าง เลือกจากความชอบ ฟ้าว่าทุกคนมี base เรื่องความสามารถของตัวเองหรือว่าความชอบของตัวเอง ฟ้าเป็นคนที่ค่อนข้างมีความเข้าใจในตัวเองค่อนดีประมาณนึงนะอาจจะเพราะคุยกับตัวเองบ่อย แต่ก็มีบางจุดบ้างที่ไม่ได้เข้าใจตัวเอง แต่ก็คิดว่าเข้าใจตัวเองมากพอที่จะรู้ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำอะไร
ก่อนที่ฟ้าจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงจะเข้าใจตัวเองได้ขนาดนี้
ผ่านการคุยกับตัวเองและการให้เวลาตัวเยอะๆ ชีวิตคนเราปกติมันมีอะไรให้ทำอยู่ตลอดอยู่แล้ว เดี๋ยวต้องไปทำงาน ต้องไปกินข้าว ต้องไปทำอะไรหลายๆ อย่างที่มันต้อง interact กับภายนอก มันมักจะมีเวลาอยู่คนเดียวน้อยมาก และน้อยคนมากที่จะนั่งอยู่คนเดียวแล้วคุยกับตัวเองจริงๆ ฟังเสียงตัวเองจริงๆ
ฟ้ามีเวลาทำอะไรแบบนี้เยอะ อาจจะด้วยงานหรือด้วยการตัดสินใจใช้ชีวิตของฟ้า มันอาจจะแบบทำให้ฟ้ามีเวลากับการอยู่กับตัวเองเยอะ แล้วก็ได้ทดลองทำหลายๆ อย่าง จริงๆ การทดลองเป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าไม่รู้หรือไม่มีเวลาได้คุยกับตัวเอง การทดลองทำอะไรหลายๆ อย่างมันให้คำตอบได้เลยว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร มันช่วยตัดช้อยส์ได้ บางทีคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรจนได้ลองทำถึงรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ
เวลาพูดถึงว่า skill คนทำอะไรได้หลายอย่างมันจะมีความ suffer ว่าพอทำได้หลายอย่างเราจะไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆ
เราเคยสงสัยว่า ถึงแม้เราจะทำอะไรได้หลายอย่าง แต่สรุปแล้วเราชอบทำอะไรที่สุดกันแน่ ซึ่งสุดท้ายฟ้าเชื่อว่ามันจะมีบางอย่างที่เราชอบมันมาตั้งแต่เราจำความได้ ตั้งแต่เรารู้สึกได้ หรือเรามักจะเห็นมันชัดเจนอยู่เสมอ ฟ้าว่าสิ่งนั่นแหละคือสิ่งที่เป็นเราจริงๆ
ถ้าพูดในสิ่งที่ฟ้าเป็นอยู่ตอนนี้และจริงจังที่สุดก็คงเป็นอาชีพ youtuber รึเปล่า
จริงๆ ตอนนี้ฟ้า suffer กับ youtube อยู่นะ รู้สึกว่าต้องการการพัก เพราะว่าฟ้าทำ youtube แบบไม่เคยพักเลย ฟ้าไม่รู้ตัวด้วยว่าแบบตัวเองไม่เคยพัก แต่ถ้าเอาว่าชอบอะไรมากที่สุดจริงๆ ฟ้าอาจจะชอบการแสดงมากที่สุด
ฟ้ามีเวลาให้ตัวเองน้อยเพราะต้องไปแสดง c]tจะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนอื่น ในความหมายว่าต้องไปใช้ชีวิตแบบคนอื่นและทำงานหนัก ฟ้าก็จะเหลือเวลาให้ตัวเองน้อยแล้วรู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะหมดพลังง่าย มันมีข้อที่ชอบและไม่ชอบต่างกัน แต่ถ้าในแง่ของความชอบที่ได้ลงมือทำจริงๆ พอๆ กันเลยนะ ไม่ได้มีอันไหนที่เหนือกว่า แต่ว่าถ้าให้พูดองค์รวมๆ ฟ้าชอบความรื่นรมย์ ความเป็นศิลปะในสื่อในความสวยงามของมัน อย่างหนังมันก็มีเรื่องศิลปะการแสดง Youtube มันก็มีศิลปะการ perform การ entertain การเล่าเรื่อง ฟ้าเลยออาจะชอบอะไรตรงนั้นมากกว่า
บางคนคิดว่าเวลาเรามีความชอบ เราควรมีความชอบเดียว ทำให้มันเสร็จและทำมันให้ดีที่สุด แต่คุยกับฟ้าเหมือนกับฟ้าคิดว่า ไม่จำเป็นต้องมีความชอบเดียวตลอด
มันมีข้อดีในแง่ของเราชอบอะไรสักอย่างมาก เราอาจจะเหลามันให้คมสุดๆ ได้และใช้ประโยชน์จากมันได้สูงสุด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี ฟ้าก็ชอบในจุดนั้นนะ แต่ฟ้าก็รู้สึกว่าเราหลายๆ คมได้นะ เรามีคมหลายๆ อันได้ เราเก่งหลายๆ อย่างได้ อย่าไปจำกัดตัวเองกับความสามารถเดียว เพราะเรายังเหลือเวลาใช้ชีวิตอีกเยอะมาก เราคงสามารถเรียนรู้อะไรได้อีกเยอะ เราอาจจะไม่ได้เก่งไปทุกอย่างหรือเก่งหลายอย่าง แต่สุดท้ายแล้วเราอย่าปิดกั้นตัวเองที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
ฟ้ามองเป้าหมายชีวิตเป็นแบบไหน เช่น มองระยะยาวมาก หรือมองเป็นสเต็ปๆ ไป ฟ้าเป็นคนแบบไหนมากกว่ากัน
น่าจะเป็นระยะยาวมากกว่า มองแบบกว้างๆ มองความต้องการลึกๆ ว่าเราอยากใช้ชีวิตยังไงน่าจะเป็นระยะยาวถ้าให้เปรียบเทียบ ไม่ได้มองอะไรเป็นขั้นตอนขนาดนั้นเป็นคนมองกว้างๆ
คำตอบนี้คือสิ่งที่ได้จากคุยกับตัวเองมาแล้ว
ใช่ (หัวเราะ) จริงๆ ก็คุยมาเยอะนะ แต่เรียกว่าอาจจะไม่ใช่ระยะยาว แต่ฟ้ามองว่าฟ้าชอบธรรมชาตินะ ชอบที่จะมีเวลาใช้ชีวิตง่ายๆ จริงๆ แล้วมันแค่อาจจะเป็นความธรรมดาบางอย่างที่มันทำให้เรามีความสุขได้
ฟ้าเคยมีความรู้สึกว่าเรารายล้อมไปด้วยสิ่งที่มนุษย์สร้าง เช่น เก้าอี้ ตึก ต่างๆ เราหาธรรมชาติจากสิ่งรอบตัวไม่ได้เลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากใช้ชีวิตที่แบบเข้าใกล้ธรรมชาติมากขึ้น อาจจะไม่ใช่เชิงที่ไปอยู่ป่าหรือแยกตัวไปเข้าป่าคนเดียวนะ แต่อาจจะเป็นเชิงที่ว่าเหมือนไปเข้าหาเขามากขึ้น ฟ้าก็ไม่รู้จะเป็นยังไงหรอกนะ ฟ้าก็คงหาวิธีไปเรื่อยๆ
ดูเป็นคนที่ต้องการหาวิธีการฮีลตัวเองอยู่ตลอด
เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ฟ้ารู้สึกว่าถ้าเรามีความสุขกับตัวเองได้มันก็มากพอที่จะแจกจ่ายคนอื่นด้วย และมันมากพอที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุขด้วย
แล้วชอบอยู่คนเดียวมากแค่ไหน
ชอบมาก (หัวเราะ) เราชอบอยู่คนเดียวมาก แต่ว่าไม่ได้ไม่ชอบอยู่กับคนอื่นนะ หมายถึงว่า เราชอบที่ตัวเราสามารถทำอะไรโดยที่เราตัดสินใจจากความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็นไหม หรือว่าเราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร เราจะเลือกทำอะไรเพื่อตัวเองจริงๆ รวมถึงมีเวลาได้คุยกับตัวเองแบบตั้งใจคุย แบบมาพูดคุยกันว่าเราต้องการอะไร
ความสำคัญของการได้คุยกับตัวเองคืออะไร
มันเยียวยาได้นะ การพูดคุยกับตัวเองมันเยียวยาได้ทุกเรื่องเลย มันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นและก็เข้าใจศักยภาพ ความสามารถ ความรู้สึก ความชอบ การที่ได้รู้จักตัวเองมันก็ทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น เพราะว่าเราก็จะมีความสุขกับอะไรง่ายขึ้น เราไม่สงสัยว่าเราชอบหรือไม่ชอบทำอะไร เรื่องง่ายๆ อย่างเช่นวันนี้ได้กินอาหารที่ตัวชอบก็มีความสุขแล้ว ได้ฟังเพลงที่ชอบก็มีความสุขแล้ว หรือได้เจอคนที่เรารักก็มีความสุขแล้ว อะไรแบบนี้มันสำคัญมากนะว่าบางคนเวลามีปัญหาชีวิตหรือว่ามีเรื่องอะไรก็ตามที่คิดไม่ตกแก้ไม่ออกก็มักจะไปปรึกษาคนอื่นใช่ไหม
สิ่งสำคัญเลยเราต้องปรึกษาตัวเองด้วยเพราะว่ามันเป็นเรื่องของเราเอง โอเคการปรึกษาคนอื่นมันช่วยได้ในมุมมองของคนอื่นเหมือนเราส่องกระจกและเราเห็น แต่ว่าเวลาเราคุยกับตัวเองมันจะได้คำตอบบางอย่างที่คนอื่นให้ไม่ได้
เรื่องสำคัญที่สุดที่ฟ้าเคยคุยกับตัวเองและได้เรียนรู้กับมันมาคือเรื่องอะไร
ถ้าเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันก็เป็นเรื่องลาออกจากมหาวิทยาลัย จริงๆ โดยตลอดมาก็น่าจะเป็นเรื่องของชีวิตการทำงานด้วยที่มีผล อย่างการเป็น youtuber ฟ้าก็ค่อนข้างทำคอนเทนต์ที่เป็นตัวเองเยอะ ก็เหมือนได้ไปพบเจออะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่คิดว่าเราจะพาตัวเองไปเจอซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก และมันก็ส่งผลไปทุกเรื่องเลยนะ
จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่มากอย่างเช่นการเลือกกิน สุขภาพของตัวเอง การดูแลตัวเอง หรือเรื่องชีวิตโดยรวม อะไรแบบนี้มันก็ส่งผลหมดแม้กระทั่งในวันเล็กๆ น้อยๆ บางทีการตัดสินใจด้วยตัวเองมันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันมันก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์ และเราก็สามารถนำมันมาใช้ได้เรื่อยๆ
ชีวิตหลังจากที่ออกจากมหาวิทยาลัยมา ฟ้าได้เรียนรู้อะไรที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
น่าจะเป็นเรื่องอิสระในการตัดสินใจ การที่ให้โอกาสตัวเองตัดสินใจทำอะไรโดยที่มันอาจจะเสี่ยงหรืออาจจะไม่ได้ถูกใจคนอื่น แต่ว่าฟ้ารู้สึกว่าฟ้าดีใจที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเองจริงๆ และก็ตัดสินใจด้วยความรู้สึกของตัวเองจริงๆ มันก็อาจจะโยงมาเรื่องตัวเองเยอะแต่ว่ามันได้เรียนรู้จากตรงนั้นจริงๆ
สุดท้ายมันกลับไปเพิ่มความรักและการเห็นคุณค่าในตัวเอง
ใช่ๆ มันเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น พอเรารักตัวเองเรามีความสุขกับตัวเองได้ และเราก็จะสามารถแชร์กับคนอื่นได้ การที่เรามีความสุขกับตัวเองได้ เราแชร์ได้ เราก็มักจะเป็นที่พึ่งที่ดีให้คนอื่นได้ด้วยและเราก็จะสามารถมีพลังไปทำอะไรหลายๆ ที่มันก็น่าจะดีกับคนรอบข้างเรามากๆ ฟ้ารู้สึกว่าเวลาที่เรามีความสุขหรือเวลาที่เรามีพลัง คนรอบข้างก็จะรู้สึกมากับเราด้วย มันก็จะเป็น vibe ที่ดี เราเป็น vibe ที่ได้ให้คนอื่นได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ แล้ว
สมมติว่าฟ้าอยู่บนทางแยก ทางนึงมีคนปูทางให้แล้ว กับอีกทางนึงมีหญ้ามีต้นไม้ที่รกมาก ฟ้าจะเลือกทางไหน
น่าจะเลือกทางที่มีต้นไม้และหญ้า (หัวเราะ) มันน่าสนใจดีนะที่เราจะได้เด็ดหญ้าออกหรือได้เห็นว่ามันคือต้นอะไรบ้าง เราคงได้เรียนรู้ว่ามันเจ็บยังไง มันต้องผ่านอะไรมาบ้าง อย่างที่บอกมันทำให้เราแข็งแกร่งกว่า ระหว่างทางเป็นเรื่องที่น่าจดจำและคงสอนอะไรเราได้ดี หญ้าอาจจะมีหลายชนิด ต้นไม้อาจจะมีหลายแบบ วิธีตัด ดึง ถอน มันก็อาจจะไม่เหมือนกัน ถ้าเราได้ทำอะไรตรงนั้นก็คงมีประโยชน์กับชีวิตเราด้วย
เมื่อสักครู่นี้ที่ฟ้าพูดถึงความเจ็บปวด เราอยากรู้ว่า แล้วความเจ็บปวดที่เจอมามันหล่อหลอมฟ้าในวันนี้ยังไงบ้าง
ความเจ็บปวด ความผิดพลาดหรือเรื่องอะไรที่ทำให้เรารู้สึกแย่มันเป็นสิ่งที่ชัดและเรานึกถึงมันง่าย บางทีให้นึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต เรื่องที่แย่ๆ อาจจะนึกได้เร็วกว่าเรื่องที่ทำให้มีความสุขที่สุด เพราะเรื่องที่มีความสุขอาจจะเยอะมากหรือว่าเล็กน้อย หรือเราอาจจะไม่ได้จดจำเพราะเรามีความสุขเราก็ผ่านไป แต่ว่าพอเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเรามักจำฝังใจ เหมือนเราเป็นแผลแล้วเราไม่หาย เวลาเราเห็นแผลแล้วเราจะนึกถึงมัน แต่ว่าข้อดีของมันคือมันทำให้เรามีภูมิต้านทาน ทำให้เราไม่กลัวที่จะต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก พอมันเจ็บครั้งนึงแต่พอครั้งต่อไปเราจะเข้าใจและเยียวยาตัวเองได้เร็ว และเราก็จะไม่เจ็บปวดอีกแล้ว แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่มันต้องมีบ้างเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง
ถ้าฟ้ากลับมาเห็นแผลเหล่านั้น ฟ้าจะมองแผลนั้นยังไง
มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา มันเกิดไปแล้วและมันก็ไม่หายไป ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือเราอยู่กับมันให้ได้ เมื่อเราอยู่กับมันได้ดีขึ้นได้ง่ายขึ้น เราก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นจุดบกพร่องหรือเป็นจุดด้อยแต่ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเรา อย่างที่บอกมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราแข็งแกร่งมีภูมิต้านทานมากขึ้น
แผลนั้นอาจจะสำคัญกับชีวิตมากก็ได้ ถึงแม้มันจะดูไม่สวยงามแต่ว่ามันทำให้เรามีภูมิต้านทานที่ดีกว่าเดิม