“คุณอาจถูกตำหนิกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถูกตำหนิที่ไปแจ้งความ ถูกตำหนิถึงท่าทีที่แสดงออกมา คุณอาจถูกทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ‘เล่นใหญ่’ เกินไป เพราะสังคมทำให้การโทษผู้เสียหายดูเป็นเรื่องปกติ”
#MeToo เป็นมูฟเมนท์ดังก้องโลกที่หลายคนรู้จักกันดี แต่ทุกวันนี้ปัญหาการคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศยังคงปรากฏอยู่ในสังคมจนทำให้ผู้เสียหายหลายคน ยังคงต้องกล่าวคำว่า “me too” หรือ “ฉันก็เหมือนกัน” อยู่เรื่อยๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกมาเปิดหน้าสู้ เมื่อสังคมถูกหล่อหลอมให้ผู้คนพร้อมเข้าโจมตีคนที่ถูกกระทำอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้น ในบางสังคมที่ความเชื่อเรื่องชายเป็นใหญ่เข้มข้นเสียยิ่งกว่าอะไร แค่ออกมากล่าวสั้นๆ ว่าสนับสนุนการเคลื่อนไหวนี้ ก็อาจทำให้คุณโดนถล่มไปด้วยเช่นกัน
ผู้ถูกกระทำไม่ใช่คนที่ควรต้องหลบซ่อน หรืออับอาย กลับกันผู้ก่อนเหตุต่างหากที่ควรถูกประณามและรับโทษตามกฎหมาย ดังนั้น The MATTER จึงขอพาไปดูเรื่องราวของเหล่าคนดังในทั่วโลก ที่ออกมาพูดถึงประสบการณ์ที่พวกเธอพบเจอ และฟังเสียงสนับสนุนการเคลื่อนไหว #MeToo นี้กัน
กิโกะ มิซุฮาระ (Kiko Mizuhara)
“ในอุตสาหกรรมนี้มีการบังคับขืนใจอย่างชัดแจ้ง โดยให้คิดว่า นักแสดงที่เปลื้องผ้าคือนักแสดงที่ดี”
กิโกะ มิซุฮาระ เป็นนักแสดงและนางแบบชื่อดังที่หลายคนคุ้นชื่อกันดี เมื่อเร็วๆ มานี้ กิโกะออกมาเปิดเผยถึงปัญหาที่เธอเผชิญจากการถ่ายทำฉากเซ็กส์ในภาพยนตร์เรื่อง Ride or Die เมื่อนักแสดงชายไม่ยอมติดเทปที่อวัยวะเพศเพื่อช่วยป้องกันจุดสงวนของเขาในการเข้าถ่ายทำฉากนั้น เธอจึงแจ้งกับฮารุโอะ อุเมคาวะ (Haruo Umekawa) โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ แต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธ และบอกว่า “ถ้าเป็นนักแสดงที่ดี ก็จะแสดงกันได้”
กิโกะ ได้ออกมาไลฟ์เล่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งน้ำตา พร้อมบอกว่า เป็นเรื่องน่าแปลกที่ในวงการคอยชื่นชมนักแสดงหญิงที่สามารถถอดเสื้อผ้าเพื่อให้สวมบทบาทได้ว่าเป็นนักแสดงที่ดี ซึ่งนี่เป็นประสบการณ์เลวร้ายและหลอกหลอนเธอมาตลอด
ไม่ใช่แค่ครั้งนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ กิโกะเคยออกมาเปิดเผยถึงปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศในอดีต ผ่าน #MeToo แล้วเช่นกัน โดยเธอเล่าถึงช่วงที่เธอเข้าวงการนางแบบในวัยยี่สิบต้นๆ เธอต้องถ่ายแบบให้นิตยสารดังเจ้าหนึ่ง ทีมงานได้ขอให้เธอเปลือยท่อนบน และใช้เพียงมือทั้งสองข้างปิดบังหน้าอกของเธอไว้เท่านั้น โดยมีพนักงานระดับหัวหน้างานมาร่วมชมการถ่ายภาพด้วยกว่า 20 คน
ตอนนั้น กิโกะแจ้งทีมงานว่า ไม่ต้องการให้มีคนมากมายมาอยู่ในห้องขณะที่เธอกำลังเปลือย แต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ทุกคนต้องอยู่เพื่อตรวจเช็กคุณภาพของการถ่ายแบบ
ชิโอริ อิโตะ (Shiori Ito)
“ฉันไม่ใช่ผู้เสียหาย A ฉันชื่อ ชิโอริ อิโตะ”
ข้อความจากหนังสือ Black Box ที่เขียนโดย ชิโอริ อิโตะ (Shiori Ito) นักข่าวอิสระผู้ปลุกกระแส #MeToo ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่เข้มข้นอย่างญี่ปุ่นขึ้นมาได้ เธอเป็นหนึ่งในคนที่ต่อสู้เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมหลังจากถูกโนริยูกิ ยามางุจิ (Noriyuki Yamaguchi) อดีตผู้สื่อข่าว TBS ประจำ Washington DC ข่มขืน
ช่วง 2 ปีแรก เธอไม่ได้เปิดเผยตัวตน และต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่เมื่อความเป็นธรรมมาไม่ถึงเสียที เธอจึงยอมเปิดชื่อจริงและหน้าตา เพื่อแลกกับความคืบหน้าของคดี
การกระทำของเธอ เรียกเสียงชื่นชมจากผู้คนจำนวนมากที่มองว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกมาแสดงตัวว่า เพราะผู้เสียหายคดีข่มขืนในญี่ปุ่นมักเลือกที่จะเงียบมากกว่าแจ้งความ อันเป็นผลมาจากการกดทับผู้หญิงที่มีมานานในสังคม และการลุกขึ้นมาต่อสู้ของเธอนี้ก็ยังเป็นแรงผลักดันให้กับผู้เสียหายคนอื่นๆ อีกด้วย
แต่ยังมีอีกหลายคนที่มองว่า การกระทำของเธอที่ลุกขึ้นมาสู้นี้ ไม่สมกับสิ่งที่ผู้เสียหาย ‘ควรจะ’ เป็น เพราะไม่เห็นว่าเธอจะดูโศกเศร้าอะไร ซ้ำบางคนก็โทษว่า เธอเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเองมากกว่า
ถึงอย่างนั้น ชิโอริก็ยังยืนหยัดต่อสู้ ด้วยข้อความว่า “ฉันไม่ใช่ผู้เสียหาย A ฉันชื่อ ชิโอริ อิโตะ” เพื่อให้เห็นว่า คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองนั้น ไม่มีอะไรจะต้องอาย และคนที่สังคมควรประณาม ก็ไม่ให้ผู้เสียหายอย่างเธอด้วย
อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2019 ศาลในกรุงโตเกียวมีคำสั่งให้โนริยูกิจ่ายค่าชดเชยให้กับชิโอริแล้ว ผลตัดสินนี้ถือเป็นเครื่องสะท้อนชัยชนะที่มีต่อความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคมญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
ซงจีฮโย (Song Ji Hyo)
“ฉันคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ มันทำให้ฉันเศร้ามากที่ #MeToo ต้องกลายเป็นมูฟเมนท์ ข้อเท็จจริงที่มี ‘Me Too’ เกิดขึ้นทำให้ฉันเศร้าและโกรธมาก”
ซงจีฮโย อีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถจากเกาหลีใต้ ที่เคยรับบทบาทเป็นนักบัลเล่ต์สาวในเรื่อง Princess Hours และเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ในบริษัทผลิตภาพยนตร์ในเรื่อง Was It Love? ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาสนับสนุนมูฟเมนท์ #MeToo ด้วยเช่นกัน
โดยเธอมองว่า การที่พูดหญิงหลายคนเคยผ่านการคุกคามจนกลายเป็นว่า ‘ฉันก็เหมือนกัน (Me Too)’ นั้นเป็นเรื่องเศร้ามากๆ และเธอก็เคารพผู้เสียหายที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมเหล่านั้นอย่างสุดหัวใจเช่นกัน
“ฉันขอชื่นชมผู้กล้าที่ริเริ่มการเคลื่อนไหวนี้อย่างแท้จริง เพื่อที่เราจะสามารถสนับสนุนร่วมกันได้ หลายคนคิดว่า สังคมเปลี่ยนไป (หมายถึง คนกล้าออกมาพูดมากขึ้น) แต่ฉันหวังว่ากลุ่มคนบอบบางจะไม่ตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป”
ซนเยจิน (Son Ye Jin)
“มันเป็นความเจ็บปวดที่ดีต่อสังคมเกาหลีใต้ ฉันหวังว่าแคมเปญ #MeToo นี้จะเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดที่ผู้ชายเป็นศูนย์กลางของสังคม รวมถึงเปลี่ยนวิธีการที่คนในสังคมปฏิบัติต่อผู้หญิงหรือคุกคามผู้หญิง”
ซนเยจิน นักแสดงเกาหลีใต้ ที่มีผลงานชื่อดังหลายเรื่อง เช่น Thirty Nine, Crash Landing on You, A Moment to Remember และ The Classic เป็นอีกหนึ่งคนที่มาร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหว #MeToo ที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยเธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับเกาหลีตั้งแต่ปี 2018 ว่า #MeToo เป็นความเจ็บปวดที่ดี
เยจินยังกล่าวอีกว่า เธอชื่นชมผู้หญิงทุกคนที่ออกมาพูดถึงประสบการณ์อันหยามเกียรติที่แต่ละคนเคยเผชิญ ซึ่งเสี่ยงที่จะต้องเผยตัวตนของตัวเอง ทั้งกล่าวว่า ในฐานะผู้หญิงด้วยกันแล้ว เธอรู้ดีว่าการเปิดหน้าสู้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ฉันขอปรบมือให้กับความกล้าหาญของพวกเขา”
ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาของวัฒนธรรมที่ผู้ชายเป็นศูนย์กลางในวงการภาพยนตร์ว่า บทภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักนำเสนอเรื่องของผู้ชายที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้ประสบความสำเร็จ ขณะที่คู่รักผู้หญิงของพวกเขากลับไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และต้องเฝ้ารอความช่วยเหลือจากผู้ชายเท่านั้น พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมการมีภาพยนตร์ที่มองโลกผ่านสายตาของผู้หญิงจึงเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน
แม็กกี้ นิโคลส์ (Maggie Nichols)
“ฉันต้องการให้ทุกคนรู้ว่า เขาไม่ได้ทำแบบนี้กับนักกีฬา A เขาทำแบบนี้กับ แม็กกี้ นิโคลส์”
แม็กกี้ นิโคลส์ (Maggie Nichols) คือนักกีฬายิมนาสติกมากความสามารถที่เข้ามาอยู่ในวงการนี้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เธอคือหนึ่งในคนที่ออกมาพูดถึงเหตุการณ์การถูกล่วงละเมิด โดยแลรี่ นาซาร์ (Larry Nassar) แพทย์เวชศาสตร์การกีฬาที่มีชื่อเสียงระดับโลก
จริงๆ แล้วเธอไม่ใช่คนแรกที่เจอเหตุการณ์นี้ เคยมีเด็กผู้หญิงที่ฝึกฝนเป็นนักกีฬายิมนาสติกหลายคนบอกเรื่องนี้กับผู้ปกครอง และเรื่องก็ไปถึงสมาคมยิมนาสติกในสหรัฐฯ แล้ว แต่เรื่องก็เงียบหายไป จนมาถึงคราวของแม็กกี้ ที่พอเธอแจ้งเรื่องนี้ไปแล้ว ผู้บริหารสมาคมกลับห้ามเธอแจ้งตำรวจ อ้างว่าจะจัดการกันเอง และหลังจากนั้นแม็กกี้ก็ถูกกีดกันจากงานต่างๆ อย่างไม่เป็นธรรม
จนเธอต้องออกมาเปิดเผยกับสื่อท้องถิ่น ในปี 2016 ทำให้มีออีกหลายร้อยคนเคยเป็นผู้เสียหายจากหมอคนดังกล่าว พากันออกมายืนหยัดเรื่องที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง และแลรี่ก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงและจำคุกไป 175 ปี
“จนถึงตอนนี้ ฉันถูกระบุว่าเป็น ‘นักกีฬา A’ จากคณะกรรมการของสมาพันธ์ยิมนาสติกสหรัฐฯ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งสหรัฐฯ และมหาวิทยารัฐมิชิแกน แต่ฉันต้องการให้ทุกคนรู้ว่า เขาไม่ได้ทำแบบนี้กับนักกีฬา A เขาทำแบบนี้กับ แม็กกี้ นิโคลส์”
เลดี้ กาก้า (Lady Gaga)
“ฉันเข้าใจถึงมูฟเมนท์ #MeToo ฉันรู้ดีว่าบางคนสะดวกใจที่จะออกมาบอกชื่อคนก่อเหตุ แต่ฉันไม่รู้สึกอย่างนั้น ฉันไม่อยากเจอหน้าคนคนนั้นอีกแล้ว ระบบที่เราอยู่มันช่างเป็นกดขี่ข่มเหงและอันตรายเหลือเกิน”
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมนั้นสามารถทำได้หลายทาง ในขณะที่หลายคนพร้อมออกมาเปิดหน้าชนกับผู้ก่อเหตุโดยตรง เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) ศิลปินป๊อปสตาร์ระดับโลก ผู้คอยสนับสนุนเรื่องสิทธิสตรีมาตลอด ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2021 ในรายการของโอปราห์ (Ophrah Winfrey) พิธีกรชื่อดังว่า เธอเคยถูกข่มขืน แต่ยังไม่พร้อมจะบอกชื่อของผู้ก่อเหตุ
กาก้า เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อตอนอายุ 19 ปี เธอถูกโปรดิวเซอร์คนนึงบอกให้ถอดเสื้อผ้าออก พอเธอไม่ทำตาม โปรดิวเซอร์ก็บอกว่า เขาจะเผาผลงานเพลงของเธอทั้งหมด แล้วเขาก็ไม่หยุด เธอได้แต่ยืนตัวแข็ง จำอะไรไม่ได้ ก่อนที่เธอจะกล่าวอีกว่า “ชายคนนั้นข่มขืนฉัน และทำให้ฉันตั้งครรภ์อย่างเลี่ยงไม่ได้” หลังจากเหตุการณ์นั้นมาอีกหลายปี เธอก็ต้องเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์
“ตอนแรก ฉันรู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบเต็มๆ แล้วถึงค่อยเริ่มชา จากนั้นฉันก็รู้สึกป่วยเป็นสัปดาห์ต่อๆ กันมา และฉันถึงได้รู้ว่า มันเป็นความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่ฉันรู้สึก เมื่อคนที่ข่มขืนฉันทิ้งให้ตั้งครรภ์ ฉันต้องไปอยู่บ้านพ่อแม่เพราะฉันอ้วกตลอดและไม่สบาย และเพราะฉันถูกล่วงละเมิด ฉันจึงถูกขังอยู่ในสตูดิโอเป็นเวลาหลายเดือน”
แม้กาก้าจะไม่ได้กล่าวชื่อของผู้ก่อเหตุ แต่หลายคนก็มองว่า การออกมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ก็นับว่าต้องใช้ความกล้าหาญอย่างยิ่งเช่นกัน
เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift)
“คุณไม่ควรถูกกล่าวโทษเพราะใช้เวลานาน 15 นาที 15 วัน หรือ 15 ปี ที่จะออกมาบอกว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศ และไม่ควรถูกตำหนิจากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากถูกเขาหรือเธอล่วงละเมิดหรือทำร้ายคุณ”
อีกหนึ่งคดีดังที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ถูกคุกคามทั่วโลก เมื่อเทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ศิลปินระดับโลกเป็นฝ่ายชนะในคดีที่ยื่นฟ้อง เดวิด มูลเลอร์ (David Mueller) อดีตดีเจสถานีวิทยุ KYGO-FM 98.5 ในข้อหาลวนลามและคุกคามทางเพศ โดยมีจุดไฮไลท์อยู่ที่ เธอเรียกร้องให้อีกฝ่ายจ่ายเงินชดเชยเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33 บาท
สวิฟต์ระบุว่า จำนวนเงินนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการไม่เพิกเฉยต่อการถูกคุกคามทางเพศ มากกว่าจะหวังเอาเงินชนะคดีจำนวนมหาศาล
เรื่องราวของคดีนี้ เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อเดวิดถูกกล่าวหาว่าลวนลามสวิฟต์ด้วยการใช้มือล้วงเข้าไปในกระโปรงแล้วจับบั้นท้ายของเธอ ทำให้มูลเลอร์ถูกสั่งปลดจากสถานีวิทยุ ซึ่งเขากล่าวว่า ตัวเองไม่ได้ทำแบบนั้น และพร้อมจะฟ้องกลับเทย์เลอร์และสถานีวิทยุ ข้อหาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
แล้วในปี 2015 มูลเลอร์ก็ฟ้องสวิฟต์ แม่ของเธอ และทีมงานบางส่วนของสถานีวิทยุเป็นมูลค่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 99.7 ล้านบาท ขณะที่สวิฟต์ก็ยื่นฟ้องมูลเลอร์กลับในข้อหากระทำอนาจารและคุกคามทางเพศ พร้อมเรียกร้องเงินชดเชยเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามที่กล่าวไปข้างต้น
หลังจากที่ศาลมีคำตัดสินออกมาว่าสวิฟต์ชนะคดี เธอก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ พร้อมส่งข้อความถึงคนที่เคยเจอการล่วงละเมิดทางเพศว่า “คุณอาจถูกตำหนิกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถูกตำหนิที่ไปแจ้งความ ถูกตำหนิถึงท่าทีที่แสดงออกมา คุณอาจถูกทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ‘เล่นใหญ่’ เกินไป เพราะสังคมมันทำให้การโทษผู้เสียหายดูเป็นเรื่องปกติ”
“ฉันขอแนะนำว่า คุณต้องไม่โทษตัวเอง และไม่ต้องไปรับคำกล่าวโทษที่คนอื่นๆ พยายามจะยัดใส่คุณ คุณไม่ควรถูกกล่าวโทษเพราะใช้เวลานาน 15 นาที 15 วัน หรือ 15 ปี ที่จะออกมาบอกว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศ และไม่ควรถูกตำหนิจากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากถูกเขาหรือเธอล่วงละเมิดหรือทำร้ายคุณ”
อ้างอิงจาก