“จงเรียนให้หนัก จงมีงานที่ดีเเละมั่นคง เเละอย่าทำผิดพลาด”
คำสอนสั้นๆ จาก ‘ผู้ใหญ่’ ในครอบครัว ทั้งปู่ย่าตายายเเละพ่อเเม่ในสังคมเกาหลีใต้ที่ถูกส่งต่อมาถึงคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน เพราะชีวิตของพวกเขาถูก ‘วางเเผน’ ไว้ตั้งเเต่อยู่ในท้องเเม่
ทำให้คนรุ่นใหม่ในเกาหลีใต้รู้สึกเหนื่อยเเละสิ้นหวังว่า พวกเขาจะต้องทนอยู่ในประเทศนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะเขาเกิดในช่วงที่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก สวนทางกับพ่อเเม่ของพวกเขาที่เติบโตเเละทำงานในช่วงเวลานั้น
ขณะเดียวกันการพัฒนาประเทศนั้นเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยี จนกระทั่งปี ค.ศ.2015 คนรุ่นใหม่ในเกาหลีใต้รวมตัวกันผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เเละนิยามสังคมบ้านเกิดของพวกเขาว่า ‘Hell Joseon’
The MATTER ขอชวนทุกๆ คนมาทำความเข้าใจคำๆ นี้ ที่สะท้อนความเหนื่อยล้าจากการวิ่งตามสังคมที่เต็มไปด้วยการเเข่งขัน เเละความคับเเค้นใจจากสังคมที่ไม่เป็นธรรมที่วัยหนุ่มสาวเกาหลีใต้กำลังส่งเสียงถึงผู้ใหญ่ – คนต่างเจเนอเรชันที่ไม่เข้าใจพวกเขา
ที่แม้อาจไม่ใช่คำที่ใหม่นัก แต่เป็นสิ่งสะท้อนปัญหาใน ‘ยุคสมัย’ นี้ได้ดี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเกาหลีใต้ หรือกระทั่งบ้านเรา
นิยาม ‘นรกโชซอน’
Hell Joseon คือการประกอบร่างของคำว่า ‘Hell’ เเละ ‘Joseon’
Hell คือการสะท้อนเรื่องจริงในสังคมเกาหลีใต้ที่มีทั้งการเเข่งขัน ความเครียด เเละความกดดันตั้งเเต่เกิดจนตาย ส่วนคำว่า Joseon (โชซอน) มีสองความหมาย ความหมายเเรกคือ ชื่อประเทศเกาหลี (ทั้งเหนือและใต้) ในสมัยก่อนซึ่งเป็นภาพเเทนของชนชั้น วรรณะ เเละความไม่เป็นธรรม ส่วนความหมายที่สองหมายถึงการถอยหลังเเละเหยียดหยาม
ดังนั้น เมื่อทั้งสองคำมารวมกัน Hell Joseon จึงหมายความว่า ‘นรกโชซอน’ เพื่อเสียดสีเเละส่งเสียงจากคนรุ่นใหม่เกาหลีใต้ว่า พวกเขาจะไม่ทนอยู่ในสังคมที่มองไม่เห็นสว่างที่ปลายอุโมงค์นี้อีกต่อไป เเละอาจบอกได้ว่า คำนี้เป็นสัญญาณว่า คนรุ่นใหม่อย่างพวกเขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาเเข่งขันอีกครั้ง
Hell Joseon ถูกพูดถึงในสังคมออนไลน์ในปี ค.ศ.2015 ภายใต้การนำประเทศของประธานาธิบดีพัก กึน ฮเย เนื่องจากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวโดยให้เพื่อนสนิทเข้ามาพัวพันกับรัฐบาล ส่งผลให้สังคมเกาหลีใต้ตกอยู่ในระบบทุนนิยมเเละตอกย้ำความไม่เป็นธรรมในสังคม
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Hankyoreh ของเกาหลีใต้ อธิบายปรากฏการณ์นรกโชซอนว่า คนหนุ่มสาวหรือวัยรุ่นจะพูดถึง Hell Joseon ในผู้หญิง 83.1% เเละผู้ชาย 78.4% ขณะที่ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุไม่ได้มองว่า บ้านเกิดของเขาเป็นนรกมากเท่าคนหนุ่มสาว โดยคนรุ่นก่อนตระหนักถึงความเครียดในสังคม ในผู้หญิง 64.4% เเละผู้ชาย 63.9%
เรียนหนักเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ทำงานหนักในบริษัทที่มั่นคง เเละต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม
CedarBough Saeji อาจารย์มหาวิทยาลัยสถาบันเกาหลีจาก Indiana University Bloomington อธิบายว่า องค์ประกอบของ Hell Joseon มาจากเเรงกดดันของสังคม ทั้งการเรียนอย่างหนักของนักเรียน เรียนจบเเล้วไม่มีงานทำ ความกังวลของวัยทำงานที่ทำงานหนักเกินไป รวมถึงสังคมที่เต็มไปด้วยการเเข่งขัน ความเหลื่อมล้ำ เเละความไม่เป็นธรรม
ในมุมมองของภาวะการเรียนหนัก ทำงานหนัก เเละการว่างงานในเกาหลีใต้ ดินเเดนเเห่งนี้ขึ้นชื่อว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่เรียนเเละทำงานหนักที่สุดในโลก
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ หรือ KOSTAT ระบุว่า เวลาเรียนเฉลี่ยของนักเรียนเกาหลีใต้ทุกระดับชั้น คือ 6 ชั่วโมง 17 นาที เเละเรียนหนักขึ้นในชั้น ม.ปลายที่ใช้เวลาเรียนมากถึง 10 ชั่วโมง 13 นาที เเต่สำหรับนักเรียน ม.ปลายบางคนใช้เวลาเรียนตามตารางสอนในโรงเรียนเเละโรงเรียนกวดวิชาอย่างน้อย 14 ชั่วโมง
โดยเป้าหมายสูงสุดของการเรียนหนัก คือ การสอบเข้า 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำในเกาหลีใต้ หรือ SKY ประกอบด้วย S-Seoul National University (มหาวิทยาลัยเเห่งชาติโซล) K – Korea University (มหาวิทยาลัยเกาหลี) เเละ Y- Yonsei University (มหาวิทยาลัยย็อนเซ) เพื่อเป็นเเต้มต่อในการการหางานเเละยังเป็นตัวกำหนดอนาคตของตนเอง
เมื่อเรียนจบเข้าสู่โลกการทำงาน คุณสมบัติที่เพรียบพร้อมในการสมัคร ทั้งเกรดเฉลี่ย ประสบการณ์ฝึกงาน การทำจิตอาสา ทักษะภาษาอังกฤษ เเละใบกระกาศนียบัตรรวมถึงผลงาน ทำให้ตำเเหน่งงานหายากไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร
เเต่คุณสมบัติที่สมบูรณ์เเบบไม่ได้การันตีว่าคุณจะมีงานที่มั่นคง เนื่องจากข้อมูลจาก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่า อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้อยู่ที่ 3.8% ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อีกทั้งการเเพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลต่อการจ้างงานพนักงานชั่วคราวเเละรายวัน โดยมีอัตราการจ้างงานลดลง 6.5% เเละ 7.1% ตามลำดับ ขณะที่ข้อมูลจาก Statista ระบุว่า อัตราการว่างงานของคนอายุ 20-29 ปีนั้นสูงถึง 9.3%
รวมถึงเมื่อเข้าไปทำงานเเล้วอาจไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป เพราะโครงสร้างบริษัทเกาหลีใต้ที่ยังเป็นโครงสร้างเเนวดิ่ง ทำให้มนุษย์เงินเดือนต้องทำงานหนัก โดย Kisi บริษัทเทคโนโลยีที่ให้คำปรึกษาด้านการทำงาน จัดให้โซลเป็นประเทศที่ทำงานหนักที่สุดลำดับที่ 5 ของโลก ส่วนกรุงเทพฯ อยู่อันดับ 3 เเละต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในบริษัทจากระบบอุปถัมภ์ประกอบกับผู้หญิงยังต้องดิ้นรนในวัฒนธรรมสังคมชายเป็นใหญ่
รายงาน Economy Survey ของ OECD ปี ค.ศ.2020 ระบุว่า คนเกาหลีใต้ทำงานปีละ 1,970 ชั่วโมงหรือ 52 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยชั่วโมงการทำงานของประเทศสมาชิกกว่า 300 ชั่วโมง
อีกทั้งความไม่เป็นธรรมที่ทุกคนต่างดิ้นรนเพื่อมีชีวิตที่ดีในเมืองหลวงอย่างโซล การกระจุกตัวด้านความเจริญ ทำให้เป้าหมายของประชาชนเกาหลีใต้ คือ การเรียนในมหาวิทยาลัยหรือทำงานบริษัทในโซลเพื่อคว้าโอกาสในชีวิต
วีรญา กังวานเจิดสุข อาจารย์ผู้สอนวิชาเกาหลีศึกษา จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เกาหลีใต้สร้างลักษณะของพลเมืองด้วยกระบวนการเป็นเมือง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรรมเเละการพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้วยการศึกษา อีกทั้งหลังจากฟื้นฟูเศรษฐกิจสิ่งเหล่านี้ได้ผลิตกลุ่มชนชั้นกลางที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันขึ้น ส่งผลให้พวกเขากลายเป็น ‘คู่แข่ง’ กันในสังคม
“คุณจะยิ่งโดดเด่นกว่าคู่แข่งในสังคม ถ้าคุณได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ดี ไม่ใช่แค่ดี แต่เป็นมหาวิทยาลัยที่คนส่วนใหญ่คิดว่าดีและให้การยอมรับตามค่านิยมทางสังคม ถ้าคุณได้จบจากมหาวิทยาลัยเหล่านั้น คุณก็จะได้รับโอกาสที่ดีในชีวิตเเละได้ทำงานในบริษัทดีๆ
“การสอบติด SKY เป็นสิ่งที่ยาก เพราะมีการแข่งขันสูงมากๆ เนื่องจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของชาวเกาหลีใต้ หรือซูนึง ในหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียวเท่ากับมีโอกาสแค่ครั้งเดียว พวกเขาจึงต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทุ่มเทกับการเรียนพิเศษ หรือติวอย่างหนักเพื่อจะได้เข้าคณะหรือมหาวิทยาลัยที่ต้องการ
“พอเข้ามาทำงาน เกาหลีใต้จะมีพนักงาน 2 เเบบ เรียกว่าลูกจ้างประจำกับลูกจ้างชั่วคราว ส่วนใหญ่เข้าไปเเล้ว เขาจะเริ่มช่วงทดลองงาน เช่น เลือกเข้าไป 5 คน อาจจะเซ็นต์สัญญาเเค่ 3 คน ก็ต้องเเข่งขัน ซึ่งการเเข่งกันก็ต้องมีผลงานฉะนั้นเขาต้องอยู่ออฟฟิศให้นานเพื่อที่จะให้คนอื่นเรียกใช้ได้เเละเราไม่สามารถกลับก่อนหัวหน้าได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะถูกมองข้าม” อาจารย์วีรญากล่าว
หนีจากนรกออกนอกบ้านเกิด
เเรงกดดันจากการเรียนเเละทำงานหนัก เเละความไม่เป็นธรรมเเปรเปลี่ยนเป็นความรู้เศร้า หมดหวัง เเละเหนื่อยสำหรับคนๆ หนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตในสังคม
ผลสำรวจจากหนังสือพิมพ์ Hankyoreh เผยว่า 75% ของคนเกาหลีใต้ที่มีอายุระหว่าง 19-34 ปีมีความกังวลเรื่องการใช้ชีวิต โดยผู้หญิง 79.1% เเละผู้ชาย 72.1% ต้องการออกจากบ้านเกิด อีกทั้งพบว่า พบว่า 8 ใน 10 ของคนอายุดังกล่าว มองว่าประเทศของตนเองเป็นนรกเเละ ‘ต้องการออกจากประเทศ’
นอกจากนี้ รายงานจากกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา เเละการท่องเที่ยวเกาหลีใต้เมื่อปี ค.ศ.2019 ระบุว่า มีคนเกาหลีใต้ในต่างประเทศประมาณ 7.49 ล้านคน โดยพวกเขาเลือกจะย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา 2.54 ล้านคน จีน 2.46 ล้านคน เเละญี่ปุ่น 820,000 คน
เสกสรร อานันทศิริเกียรติ นักวิจัยศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) ผู้ติดตามนโยบายสังคมและการเมืองของเกาหลีใต้มายาวนาน ตั้งข้อสังเกตต่อปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า สามารถมอง Hell Joseon ได้ 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือการสะท้อนสภาพสังคมเกาหลีใต้ที่เต็มไปด้วยการเเข่งขัน การกลั่นเเกล้ง เมื่อเรียนจบต้องเข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ อาจมีคนที่ชนะ เเต่อีกมุมหนึ่งคนเกาหลีใต้ก็มองว่า การทำงานในบ้านเกิดจะเป็นแต้มต่อ โดยเฉพาะเมื่อมีนโยบายเปิดรับชาวต่างชาติมากขึ้น
Hell Joseon ที่หายไปกับรัฐบาลที่รับฟัง
เสกสรรมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า กระแส Hell Joseon อาจไม่ได้มีการพูดถึงเท่าเเต่ก่อน เมื่อเทียบกับ 6 ปีที่แล้ว สถิติ 10 คำสำคัญด้านสังคมที่คนเกาหลีใต้ถกเถียงกันในทวิตเตอร์ในช่วง 3-4 ปีมานี้ ไม่มีคำว่า Hell Joseon ติดอันดับอยู่เลย อาจเป็นผลจากแนวทางการสื่อสารของรัฐบาลมุนเเจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนปัจจุบัน ที่พยายามรับฟังและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น
ล่าสุด ประชาชนอาจมีความไม่พอใจที่รัฐบาลจัดสรรวัคซีนล่าช้า แต่ก็ไม่ถึงกับใช้คำว่า Hell Joseon กลับมาโจมตีรัฐบาลดังที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลก่อน
ขณะเดียวกันเกาหลีใต้ มีโครงสร้างพื้นฐานของเมืองที่มีประสิทธิภาพ เเละสนับสนุนการคลายเครียดของคนในสังคม เช่น มีพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนเข้าไปเดินหรือนั่งเล่นได้ รวมถึงมีบริเวณจัดแสดงงานศิลปะเพื่อผ่อนคลายได้
“โครงสร้างพื้นฐานมีความสำคัญอย่างมากต่อความรู้สึกของคนเกาหลีใต้ การมีถนนหนทาง รถเรือราง มีระบบแอพพลิเคชันต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ช่วยลดความตึงเครียดในชีวิตเเละความรวยจนลงไปได้มาก” เสกสรรอธิบายในฐานะอดีตนักศึกษาไทยในเกาหลีใต้
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ยังมีนโยบาย Citizen Diplomacy ที่เปิดโอกาสให้คนที่ต้องการเปลี่ยนเเปลงประเทศมาทำงานร่วมกับรัฐบาล โดยมีการเเข่งขันเเละคัดเลือกทีมที่ดีสุด เเละยังเป็นการเพื่อระดมความคิดเพื่อช่วยด้านการต่างประเทศ รวมถึงมูลนิธิเกาหลีเองก็ร่วมมือกับรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนเเละเด็กเข้าร่วมโครงการ KF Public Diplomacy Program ด้วยเป้าหมายเดียวกัน
ความรู้สึกสิ้นหวัง หมดหวัง ไร้เป้าหมาย เเละเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตของผู้คนในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยที่ยังมีความใฝ่ฝันและมีพลังอยากเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้น ให้เป็นในสิ่งที่เขาคิดว่าดีกับชีวิตของพวกเขา คนในครอบครัว และคนอื่นๆ ในสังคม อาจเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วโลก สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า ประเทศนั้นๆ มีรัฐบาลที่รับฟัง ‘เสียง’ เหล่านั้น และพร้อมออกแบบโครงสร้างที่สะท้อนความต้องการของประชาชน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขามากน้อยแค่ไหน