“เราเรียนประวัติศาสตร์เพื่ออะไร?”
4 พฤศจิกายน 2568 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดเสวนาเรื่อง “วิชาประวัติศาสตร์ในกระแสการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาในบริบทโลก” เพื่อมองทิศทางวิชาประวัติศาสตร์ในการศึกษาภาคบังคับที่ควรจะเป็นในอนาคต ณ ห้อง 307 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
การเสวนาครั้งนี้เป็นการร่วมถอดบทบาทของ ‘วิชาประวัติศาสตร์’ และหลักสูตรที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงทุกครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ว่าแท้จริงแล้วหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์กำลังทำหน้าที่อะไรกับพลเมืองในยุคใหม่?
ทั้งยังชวนผู้ฟังเจาะลึกตั้งแต่การเตรียมครูเข้าสู่ระบบการศึกษา บทบาทของวิชาประวัติศาสตร์ในการทำหน้าที่ทางการเมือง หลักสูตรที่มีอยู่ช่วยสร้างพื้นที่ถกเถียงและเปิดพื้นที่ให้ครูออกแบบการเรียนการสอนในห้องเรียนได้มากแค่ไหน และผู้ดูแลหลักสูตรระดับนโยบายกำลังทำอะไรอยู่บ้าง
โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ เฉลิมชัย พันธ์เลิศ ผู้อำนวยการสถาบันสังคมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ, อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล นักวิชาการอิสระด้านการศึกษาวิชาสังคมศึกษา และ นราวิชญ์ สังเกตการณ์ อาจารย์ประจำโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งและผู้ทำเพจสอนประวัติศาสตร์ ดำเนินรายการโดย พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เราเรียนประวัติศาสตร์เพื่ออะไร?

ภาพ พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การเสวนาเริ่มต้นที่อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ เขาชวนทุกคนตั้งคำถามว่า “เราเรียนประวัติศาสตร์เพื่ออะไร?” ก่อนชี้ให้เห็นว่า เดิมการเรียนประวัติศาสตร์เป็นการเรียนเพื่อสร้างสำนึก ‘ความเป็นชาติ’ ให้คนกับคนไทย ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์สังคมปัจจุบัน
พิพัฒน์ชี้ว่า วิชาประวัติศาสตร์ควรเป็นการเรียนรู้เพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน สร้างความตระหนักรู้ถึงสังคมในระดับสากล เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องพลเมืองโลก (Global Citizen) โดยสลายวิธีคิดแบบชาตินิยมที่มองว่าชาติตนเองเป็นศูนย์กลาง และเห็นถึงวัฒนธรรมร่วมที่เรามีกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA)
โดยก่อนหน้านี้สภาการศึกษาได้จัดกิจกรรมชวนนักการศึกษาและนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์มาร่วมจัดทำร่างแผนแม่บท (Master Plan) การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ฉบับใหม่ เพื่อให้การเรียนวิชาประวัติศาสตร์สอดคล้องกับความเป็นไปของโลก ไม่ใช่เพียงเน้นการท่องจำหรือใช้เนื้อหาแบบเดิม แต่เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจพลวัตที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์สำคัญต่างๆ
ยกตัวอย่าง ‘ประวัติศาสตร์ยุคสงครามเย็น’ ที่ส่งผลต่อสังคมไทยและหลายประเทศอย่างมหาศาล แต่ยังไม่ถูกให้ความสำคัญในแบบเรียน ‘ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น’ เพื่อให้ผู้เรียนเพื่อเข้าใจรากเหง้าและภูมิปัญญาในท้องถิ่นของตัวเอง และ ‘ประวัติศาสตร์โลก’ โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) และความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจของเครื่องมือที่ถูกหยิบใช้แพร่หลายอย่างซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)
นอกจากการปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังมุ่งเน้นการเรียนรู้ที่ขยายจากจุดเล็กไปสู่จุดใหญ่ และปรับเป้าหมายการเรียนรู้ตามช่วงวัย คือ ระดับชั้นประถมศึกษาเป็นการเรียนรู้เพื่อเข้าใจรากเหง้าของตัวเอง ครอบครัว และชุมชน เน้นการสังเกตและทำกิจกรรม
ขณะที่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจะเป็นการเรียนรู้เพื่อเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม การใช้ระบบคิดอย่างมีเหตุผล และการเข้าใจคนอื่นผ่านมิติทางประวัติศาสตร์ และมัธยมศึกษาตอนปลายก็จะเป็นการสร้างความตระหนักรู้ถึงอำนาจของประวัติศาสตร์ การรู้เท่าทันประวัติศาสตร์ (Historical Literacy) การคิดเชิงวิพากษ์ และความเข้าใจในยุคโลกาภิวัฒน์
เด็กไทยเรียนประวัติศาสตร์มาตลอด ไม่ได้ถูกถอดจากหลักสูตรอย่างที่หลายคนเข้าใจ
“เพราะประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ก็เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่ง”

ภาพ เฉลิมชัย พันธ์เลิศ ผู้อำนวยการสถาบันสังคมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ
เฉลิมชัย พันธ์เลิศ ผู้อำนวยการสถาบันสังคมศึกษา สพฐ. ชวนดูการเปลี่ยนแปลงของหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้หลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานโดยเฉพาะหลักสูตรปี 2503 ซึ่งถูกใช้มายาวนานถึงปี 2521 ก่อนจะมีการปรับปรุงในปี 2533 จากนั้นเป็นปี 2551
“เรามักเห็นคนในสื่อสังคมออนไลน์บอกว่า ‘นักเรียนไทยไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์’ อยู่เรื่อยๆ ผมอยากให้เห็นว่าวิชานี้ไม่เคยไปไหน ยังอยู่ตรงนี้ ถ้าถามลูกหลายที่ยังเรียนหนังสืออยู่ก็จะเห็นว่ามีตำราเรียน” เฉลิมชัย กล่าว
เฉลิมชัยได้กล่าวถึงการที่วิชาประวัติศาสตร์กลายเป็น ‘พื้นที่ทางการเมือง’ เพราะเมื่อใดที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ก็มักมีการหยิบยกประเด็นการถอดหรือเพิ่มวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง สิทธิเสรีภาพ ดังนั้น เรื่องราวเบื้องหลังบรรทัดของหลักสูตรจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หากดูหลักสูตรปี 2551 จะพบว่าเป็นการวางกรอบการเรียนการสอนและการประเมินผลการศึกษา ดังนั้นจึงมีการสร้างเอกสาร 2 เล่ม ได้แก่ ‘เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ครู’ และ ‘การสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย’ เพื่อขยายความจากตัวหลักสูตร สร้างความเข้าใจ และให้ตัวอย่างการสอนกับครูผู้สอนเกี่ยวกับหลักสูตรข้างต้น
ที่ผ่านมา สพฐ. ได้การพยายามผลิตสื่อสร้างสรรค์หรือใช้เทคโนโลยีมาประกอบการเรียนเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับผู้เรียน เช่น ‘ผลิตการ์ตูนประวัติศาสตร์’ จำลองสถานการณ์ให้นักประวัติศาสตร์มาเล่าเรื่องให้เด็กๆ ฟัง หรือ ‘การศึกษานอกห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Field Trip)’ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากประเทศนิวซีแลนด์ แต่ยังติดปัญหาเรื่องแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี จึงทำได้มากสุดเพียงสร้างวิดีโอสารคดี
หลังปี 2555 พรมแดนเริ่มขยาย แนวคิดเรื่องรัฐชาติและการให้ความสำคัญแค่เรื่องราวในชาติตัวเองอาจไม่ตอบโจทย์บริบทสังคมโลก จึงมีการตั้งเป้า ‘พัฒนาตามแนวทาง Education 2030’ หรือการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามแนวทาง SDG 4 ของสหประชาชาติ ที่พูดถึงปัญหาภาวะโลกร้อน การไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจเป็นผลพวงของการศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของคน
“อยากให้ผู้เรียนทุกคนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ การส่งเสริมวัฒนธรรม สันติภาพ การไม่ใช้ความรุนแรง ความเป็นพลเมืองโลก ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน” เฉลิมชัย กล่าว
เบื้องต้น สพฐ. ได้มีการจัดเตรียมหลักสูตรเพื่อการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองโลก โดยเริ่มจากการร่วมมือกับ UNESCO ในการสร้างแบบเรียนชุดสะท้อนให้เห็นถึงการมีวัฒนธรรมร่วมในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเพณีสงกรานต์, ลอยกระทง. พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี เป็นต้น
รวมถึงการการบูรณาการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อนำเนื้อหาที่ไม่ได้เป็นสากลและกำลังจะสูญหาย อย่างความคิด ความเชื่อ ศิลปะพื้นบ้าน เข้ามาในหลักสูตรแกนกลาง เพื่อทำให้หลักสูตรมีเรื่องราวของผู้คนที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวันของเด็กมากขึ้น
พร้อมเพิ่มบทบาทของครูในแต่ละพื้นที่ ในการทำหน้าที่ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพื่อนำมาผนวกเข้าในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจคุณค่าของการเคารพความหลากหลายและสิทธิมนุษยชน
จากสังคมศึกษาในสหรัฐอเมริกา สู่ความซับซ้อนของหลักสูตรไทย

ภาพ อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“สังคมศึกษาเป็นแขนงวิชาที่เรียกว่า ‘กลุ่มสาระการเรียนรู้’ ภายใต้กลุ่มสาระการเรียนรู้นี้มี 5 ส่วน โดยมี ‘ประวัติศาสตร์’ เป็นหนึ่งในนั้น” อรรถพล กล่าว
อรรถพล อนันตวรสกุล ผู้สร้างนักการสอนจากจุฬาฯ ได้วิเคระห์ที่มาของวิชาประวัติศาสตร์และแนวคิดว่าด้วย ‘สังคมศึกษา (Social Studies)’ ซึ่งเป็นร่มใหญ่ที่วิชาประวัติศาสตร์สังกัดอยู่ โดยเปรียบเทียบพัฒนาการในสหรัฐอเมริกากับการนำมาปรับใช้ในประเทศไทย
อรรถพล กล่าวว่า ‘สังคมศึกษา’ เป็นคำที่ถูกสร้างใหม่เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มนักวิชาการจากสหรัฐอเมริกา คือช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ต้องการสร้างชาติ รวมความเป็นหนึ่งจากพลเมือง 50 รัฐ จึงต้องการ ‘ชุดความรู้’ เพื่อสร้างสำนึกของชาติร่วมกัน
จากนั้น ‘สังคมศึกษา’ ก็ได้รับความนิยมทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และประเทศไทยก็รับแนวคิดดังกล่าวมาด้วยเช่นกัน จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นความรู้จากหลายศาสตร์มาหลอมรวมกันเป็นชุดความรู้สำหรับการเตรียมพลเมืองสำหรับเด็กและเยาวชน
โดยกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาในประเทศไทย ประกอบด้วยความรู้ 5 ส่วน ได้แก่ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม, หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม, เศรษฐศาสตร์, ประวัติศาสตร์, และภูมิศาสตร์
อรรถพลเทียบพัฒนาการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ของไทยและอเมริกาว่า ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ขณะที่อเมริกาพยายามถ่ายทอดความรู้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างชาติและพลเมือง เพื่อการผลิตคนให้มีผลิตภาพ สามารถประกอบอาชีพ และสร้างคุณูปการให้ประเทศ
ประเทศไทยยังรับอิทธิพลการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ผ่านการศึกษาใน ‘โรงเรียนวัด’ ซึ่งมีการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และศีลธรรม จริยธรรม แต่ไม่ได้นำมาบูรณาการร่วมกันเป็นวิชาสังคมศึกษาแบบอเมริกา ทั้งยังมีข้อจำกัดเรื่องการผลิตครู
กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดการเคลื่อนไหวด้านการศึกษาครั้งใหญ่ในอเมริกา มีนักการศึกษาหัวก้าวหน้ากลุ่มใหญ่นำโดย จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ซึ่งเชื่อว่าโรงเรียนควรเป็นที่ฝึกประชาธิปไตย ผ่านหลักสูตรวิพากษ์ทางสังคม ปลูกฝังชุดคุณค่าบางอย่างเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถเทียบเคียงกับยุคเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในปี 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มมีแนวคิดเรื่อง ‘พลเมือง’ อย่างจริงจัง แต่คำว่า ‘หน้าที่พลเมือง (Civic Duty)’ เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อใช้แทนคำว่า ‘Civic Education หรือการศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง’
“คำว่า ‘หน้าที่พลเมือง’ สามารถแปลความหมายได้ว่า ‘ฉันต้องทำหน้าที่เป็นพลเมือง’ แสดงว่ามีเจตจำนงของรัฐบางอย่างในการใช้ความรู้ในวิชาต่างๆ เพื่อปลูกฝังให้คนทำหน้าที่ต้องมีสำนึกบางอย่าง ซึ่งไม่ได้เป็นการเสริมพลังของพลเมือง” อรรถพล กล่าว
ถัดมาที่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลักคิดหลายอย่างของอเมริกาส่งผลต่อสังคมโลกอย่างกว้างขวาง ประเทศไทยได้ส่งนักการศึกษาไปเรียนต่อในสหรัฐอเมริกา ทำให้มีการหยิบใช้แผนแม่บทหลักสูตรในอเมริกามาปรับใช้กับการศึกษาไทย
“แต่บรรยากาศมันประหลาดนิดนึง ขณะที่เขาสร้างสำนึกประชาธิปไตย บ้านเรายังอยู่ในยุค จอมพลสฤษดิ์ ที่ควบคุมสังคมด้วยอำนาจนิยมสูงมาก แม้จะรับอิทธิพลการศึกษาแบบอเมริกันเข้ามา แต่ยังมีแรงต้านจากแนวคิดอำนาจนิยมรวมศูนย์ของผู้นำรัฐอยู่” อรรถพล กล่าว
โดยหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดอเมริกา คือ หลักสูตร 2521 และ 2524 โดยมีแบบเรียนหลักอย่างชุด ‘มานี มานะ’ เป็นผลผลิตสำคัญ ทำให้คนในรุ่นดังกล่าวที่จบจากโรงเรียนในสังกัด สพฐ. จะเติบโตมาพร้อมชุดความรู้เดียวกัน
หลักสูตรดังกล่าวจะมุ่งเน้นให้การเรียนในระดับประถมเป็นการบูรณาการอย่างสมบูรณ์ คือ การเรียนแบบควบรวมเรื่อง ‘โลกของเรา’ และ ‘ประเทศของเรา’ ก่อนเริ่มแตกแกนความรู้ในระดับมัธยมต้นที่จะแบ่งวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนสาระความรู้เฉพาะทางที่เข้มข้นขึ้นในระดับมัธยมปลาย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย
กระทั่งปี 2544 มีการเปลี่ยนหลักสูตรครั้งใหญ่ ตามเทรนการศึกษาของอเมริกา แต่ประเทศไทยทำเป็น ‘5 สาระการเรียนรู้’ ในหนึ่งวิชา ทำให้เกิดการสอนประวัติศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์ให้นักเรียนชั้นประถมศึกษา และต่างจากหลักสูตรเดิมที่เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ในปัจจุบัน สาระการเรียนรู้เหล่านี้ก็ถูกแยกย่อยออกมาเป็นวิชา ซึ่งล้วนเกิดจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น ‘วิชาประวัติศาสตร์’ ถูกแยกออกมานับหน่วยกิตต่างหากจากกระแสภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท (2544) หรือ ‘วิชาหน้าที่พลเมือง’ จากการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
“เหล่านี้ทำให้เกิดคำถามว่า ตอนนี้เรายังมีการเรียนรู้แบบบูรณการในความเป็นร่มวิชาสังคมศึกษาอยู่หรือเปล่า หรือถูกจับฉีกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว” อรรถพล กล่าว
ทั้งนี้ อรรถพลได้มองเห็นถึงความน่าสนใจในการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ที่อาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีความเป็นเนื้อเดียวกัน คือ โรงเรียนภายใต้สังกัด สพฐ. โรงเรียนเอกชน โรงเรียนเครือสาธิต และโรงเรียนนานาชาติ ต่างมีรูปแบบการสอนที่แตกต่างกัน โดยบางโรงเรียนอาจเปิดพื้นที่ให้นักเรียนได้วิพากษ์ ขณะที่บางโรงเรียนเป็นการสอนเพื่อฝึกทักษะการท่องจำ
หากเปรียบกรณีสหรัฐอเมริกาซึ่งมี 50 รัฐ และมีความหลากหลายทางสังคมสูง ทำให้การกำหนดหลักสูตรมีความแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละรัฐ เช่น รัฐที่มีความก้าวหน้าก็จะมีการสอนเนื้อหาที่ก้าวหน้ากว่ารัฐที่เป็นอนุรักษ์นิยม
ด้วยความหลากหลายนี้ สมาคมวิชาชีพของสหรัฐฯ จึงต้องเป็นผู้กำหนด ‘กรอบแนวคิด (Framework)’ และความเข้าใจร่วมกันทางวิชาชีพขึ้นมา สำหรับวิชาประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสังคมศึกษาต่างๆ ซึ่งถือเป็น มาตรฐานวิชาชีพร่วมกัน
ขณะที่ประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐเดี่ยว จึงใช้หลักสูตรชุดเดียวกันที่ถูกกำหนดและบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่ก็ยังมีการตีความหลักสูตรและรูปแบบการสอนที่แตกต่างกันตามครูผู้สอนและโรงเรียนที่สังกัด
หลักสูตรการเรียนการสอนที่ถูกทำให้มองไม่เห็น ‘การเมือง’

ภาพ ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล นักวิชาการอิสระด้านการศึกษาวิชาสังคมศึกษา
ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล นักวิชาการอิสระด้านการศึกษาวิชาสังคมศึกษา ได้ร่วมแบ่งปันการสอนประวัติศาสตร์ในบริบทของเยาวชนและโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยเฉพาะยุคสมัยที่สื่อสังคมออนไลน์มีผลต่อการรับรู้ข้อมูลของนักเรียน
“สังคมศึกษาควรจะเป็นการเรียนการสอนที่การผสานปรากฏการณ์ หรือสถานการณ์บางอย่างมาในสังคมเป็นตัวตั้งต้น และใช้องค์ความรู้มาเป็นเครื่องมือในการอธิบายและทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น” ธนวรรธน์ กล่าว
สิ่งที่ธนวรรธน์สังเกตได้ คือ โรงเรียนหลายแห่งโดยเฉพาะในสังกัด สพฐ. ผู้สอนมักไม่ออกจากกรอบรูปแบบการสอนตามที่หลักสูตรกำหนดให้ โดยการสอนตามหนังสือ ไม่ได้ชวนนักเรียนคิด วิเคราะห์ หรือวิพากษ์เนื้อหาในแบบเรียน
ทั้งที่ในความเป็นจริง หลักสูตรการสอนที่ สพฐ. กำหนดมาให้ ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้ครูออกแบบหน่วยการเรียนรู้ได้ แต่ครูส่วนใหญ่กลับไม่ได้มองตนเองเป็นผู้สร้างหลักสูตรและเลือกที่จะสอนตามหนังสือเรียนมากกว่าการตีความตามหลักสูตร
นอกจากนั้น สถาบันครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มุ่งเน้นการผลิตหรือฝึกฝนครูให้เป็นนักวิพากษ์หรือตั้งคำถามกับความรู้ ครูหลายคนจึงมองไม่เห็น ‘ความเป็นการเมือง’ ที่ซ่อนอยู่ในหลักสูตรและตำราเรียน
“จริงๆ แล้วการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาสังคมศึกษาถูกลดทอนทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นการเมือง ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรหรือตำราเรียน ว่าเนื้อหาความรู้ที่ถูกเลือกมามีอุดมการณ์อะไรแฝงอยู่ อะไรที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อให้จำ และความรู้แบบไหนที่ไม่ถูกบรรจุเข้ามาในเนื้อหา” ธนวรรธน์ กล่าว
ธนวรรธน์ มองว่า ผู้สอนควรเชื่อในหน้าที่และพลังความสามารถของตนเองที่จะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ส่งต่อตำรา เป็น ‘ปัญญาชนนักวิชาการ’ ที่สามารถตีความและตั้งคำถามกับความรู้ เพื่อปรับการสอนให้เชื่อมโยงกับชีวิตผู้เรียน
โดยเขาได้ใช้เทคนิคการสอนเพื่อดึงความสนใจของผู้เรียนให้มาจดจ่อกับแบบเรียนมากขึ้น เช่น ชวนตั้งคำถามว่าทำไมครอบครัวของนักเรียนถึงย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่กรุงเทพฯ การเชื่อมโยงเรื่องราวกับโลกที่กว้างขึ้น อย่างการค้าขาย ‘น้ำตาล อ้อย โกโก้’ ที่เชื่อมโยงกับยุคล่าอาณานิคม
นอกจากนั้น ธนวรรธน์ยังเน้นการรูปแบบการสอนที่ใช้หลากหลายของชุดความคิด โดยไม่ตัดสินว่าชุดใดผิดหรือถูก ผ่านการจำลองบทบาทของตนเองเป็นผู้มีแนวคิดทางการเมืองหนึ่งในการตั้งคำถามให้นักเรียนร่วมถกประเด็นต่างๆ
หรือแม้แต่การสอดแทรกประวัติศาสตร์ของผู้ถูกทำให้ลืมหรือไม่ให้ความสำคัญในแบบเรียน เช่น กบฏผู้มีบุญ กบฏเงี้ยว ที่เกิดขึ้นสมัยการปฏิรูปสังคมในรัชกาลที่ 5 ประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ เช่น การค้าทาส สิทธิการเลือกตั้งของสตรี สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น
การตีความหลักสูตรประวัติศาสตร์และความท้าทายในการพัฒนาครู

ภาพ นราวิชญ์ สังเกตการณ์ อาจารย์ประจำโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งและผู้ทำเพจสอนประวัติศาสตร์
นราวิชญ์ สังเกตการณ์ อาจารย์ประจำโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งและผู้ทำเพจ ‘สอนประวัติศาสตร์’ ได้ร่วมวิพากษ์ถึงอำนาจและอิสระของครู ในการออกแบบหลักสูตรประวัติศาสตร์ของไทย โดยถึงการเข้าใจว่าหลักสูตรประวัติศาสตร์ไทยมีการล้างสมองอย่างสมบูรณ์นั้น ‘ไม่เป็นความจริง’
นราวิชญ์ กล่าวว่า แท้จริงแล้วช่องว่างและอิสระของครูในการออกแบบการเรียนการสอนนั้นถูกซ่อนอยู่ใน ‘ตัวชี้วัด’ เพราะหลักสูตรประวัติศาสตร์มีการเขียนกำกับมาตฐานและตัวชี้วัดที่กว้าง หากเทียบกับวิชาพุทธศาสนาที่ต้องการให้นักเรียนรู้และเข้าใจหลักธรรมของศาสนาพุทธแบบเป๊ะๆ
ยกตัวอย่างตัวชี้วัดหนึ่งที่อาจดูอนุรักษ์นิยมอย่าง “วิเคราะห์ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อพัฒนาการของชาติไทย” ซึ่งสามารถตีความให้เป็นแบบวิพากษ์ได้ ผ่านการชวนนักเรียนวิเคราะห์การตัดสินใจของรัชกาลที่ 7 ในช่วงหลังการปฏิวัติ 2475 โดยพิจารณาจากบริบทและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อย่างจดหมายส่วนพระองค์ แทนที่จะเป็นการท่องจำพระราชประวัติเพียงอย่างเดียว
“ผู้คนมักวิเคราะห์การเรียนประวัติศาสตร์ผ่านแบบเรียน ‘แต่แบบเรียนไม่ใช่หลักสูตร’ แบบเรียนเป็นเพียงการตีความหลักสูตรในแนวทางหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเนื้อหาที่รัฐยอมรับในเรื่องเล่านี้ ซึ่งอาจเป็นแบบอนุรักษ์หรือชาตินิยมที่สุด แต่หากเราไปดูที่หลักสูตรจริงๆ ก็จะเห็นแล้วว่า จริงๆ แล้วเรามีช่องว่างพอสมควรที่จะคิดหรือออกแบบการสอนในห้องเรียน” นราวิชญ์ กล่าว
ทั้งนี้ นราวิชญ์มองว่าการที่ครูผู้สอนมักยึดเนื้อหาตามแบบเรียนเกิดจากการยึดติดกับระบบราชการ และความเคยชินในการสอนตามตำรา และอาจขาดความเข้าใจในธรรมชาติการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ทำให้ไม่สามารถจินตนาการถึงวิธีการสอนที่หลากหลายไปกว่าการทำตามแบบเรียนได้
ดังนั้น เขาจึงเสนอแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว คือ เสนอให้มีการสร้างเครือข่ายระหว่างครูกับนักประวัติศาสตร์ เพื่อให้ครูได้อัปเดตงานวิจัยและชุดความรู้ใหม่ในสังคม พร้อมการสร้างหลักสูตรระยะสั้นสำหรับการพัฒนาชุดความรู้ของครูผู้สอน เพื่อสร้างพื้นที่เรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหาบางอย่างในเชิงลึก โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาต่อในรูปแบบปริญญาโทหรือปริญญาเอก
‘วิชาประวัติศาสตร์’ ในนโยบายภาคการเมือง
หลังจบการเสวนา The MATTER ได้เข้าไปพูดคุยกับ พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์ประสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ดำเนินรายการและจัดกิจกรรมเสวนานี้ขึ้นมา เกี่ยวกับความมุ่งหวังเกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์ในอนาคต
พิพัฒน์กล่าวว่า ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผู้บริหารหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมักจะพูดถึงการปรับปรุงวิชาประวัติศาสตร์หรือสังคมศึกษาโดยทันที ทั้งที่ประเด็นเหล่านี้ไม่เคยถูกหยิบยกมาหาเสียงอย่างจริงจังในเวทีการเมือง
หากพูดถึงการปรับปรุงหลักสูตรก็มักขาดทิศทางที่ชัดเจน และไม่เคยมีการทำอย่างจริงจัง โดยสาเหตุหลักอาจเกิดจากการขาดความเข้าใจในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร หรือมีความสับสนระหว่างแกนหลักสูตรกับเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอน
และที่ผ่านมาการกำหนดหลักสูตรการเรียนก็มักเน้นกำหนดเพียงเนื้อหา ว่าต้องเรียนเรื่องอะไร ต้องรุ้เรื่องอะไร แต่ไม่ได้กำหนดแกนหลักหรือปรัชญาที่ต้องการพัฒนาความเป็นพลเมืองที่ต้องการให้เกิดขึ้นผ่านวิชาประวัติศาสตร์
โดยพิพัฒน์หวังว่า เวทีเสวนานี้จะทำให้เสียงของผู้อยู่ใต้นโยบายหรือการกำหนดหลักสูตรต่างๆ ถูกได้ยิน โดยเป็นเสียงสะท้อนจากครูผู้สอนหรือผู้ปฏิบัติงานในระดับล่าง ซึ่งไม่เคยถูกนำมาหารืออย่างจริงจัง
หากเป็นได้ พิพัฒน์ก็อยากให้เรื่องการพัฒนาหลักสูตรเหล่านี้ได้รับความสนใจจากฝ่ายการเมือง เพราะวิชาประวัติศาสตร์มีส่วนในการกําหนดจิตสํานึกของคนในประเทศ ว่าคุณจะเคารพใคร จะรักชาติอย่างไร
พร้อมการให้ความสำคัญกับ ‘ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น’ อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นฐานสำคัญของทุนทางวัฒนธรรมของชาติ ทั้งนี้ ต้องมีการกำหนดเนื้อหา ที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่โยนความรับผิดชอบไปให้โรงเรียนต่างๆ
ทั้งนี้ การให้ความสำคัญต่อหลักสูตรเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องให้ความสําคัญไปถึงเนื้อหาหรือการสร้างพิมพ์เขียวจากการระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการหลากหลายกลุ่ม เพื่อร่วมกันถกเถียงหาข้อสรุปเนื่องจากความรู้ทางประวัติศาสตร์มีผลกระทบโดยตรงต่อสำนึกของเยาวชนที่จะเติบโตไปเป็นพลเมืองของชาติ
“ถ้าคุณมองว่าประวัติศาสตร์ คือวิชาที่สอนให้คนคิดเป็น คุณก็จะเลือกทางปฏิบัติแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุณมองว่าประวัติศาสตร์คือวิชาว่าด้วยเรื่องของการปลูกฝังความรักชาติ คุณก็จะไปอีกทางหนึ่ง” พิพัฒน์ กล่าว
สุดท้ายนี้การศึกษาก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจต่อเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์ที่สามารถปลูกฝังหลักคิดหรือทัศนคติบางอย่างให้เยาวชน
ดังนั้น ผู้มีส่วนสำคัญในระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ผู้ผลิตหลักสูตร หรือครูผู้สอน ต่างต้องทบทวนว่าา เนื้อหาที่กำลังส่งต่อนั้น สร้างผลดีหรือผลเสียต่อผู้เรียนในการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคปัจจุบัน