TW: Suicide, Mass Suicide, Murder, Mass murder
‘แปลกขนาดนี้ทำไมยังทำตามอยู่นะ?’ น่าจะเป็นปฏิกิริยาแรกเมื่อเราเห็นการเปิดโปงลัทธิที่เจ้าลัทธิที่ให้ผู้ติดตามทำกิจกรรมที่อาจไล่ไปตั้งแต่แปลก ไปจนอันตรายต่อตัวผู้ปฏิบัติเองและผู้อื่น
แก่นของคำถามน่าจะเป็นอะไรกันที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเชื่อในลัทธิที่เมื่อมองจากภายนอกยังไงก็ไม่เมคเซนส์แน่ๆ
ซึ่งหากเราลองมองไปยังลัทธิต่างๆ ที่เกิดขึ้นและจบลงในโลก เราอาจจะเห็นวิธีการที่ลัทธิเหล่านั้นใช้ และอาจจะเข้าใจก็ได้ว่าทำไมคนถึงยอมทำอะไรก็ตามหากเจ้าลัทธิบอก ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะหลุดโลกขนาดไหน
1. หน้าตาของเจ้าลัทธิ
ไม่ว่าจะความเชื่อเรื่องอะไร มีฐานะอะไร ลัทธิใหญ่แค่ไหน แนวคิดสุดโต่งขนาดไหน สิ่งที่เป็นจุดร่วมกันของลัทธิส่วนมากคือการมีผู้นำทางความคิด หรือที่เราเรียกว่าเจ้าลัทธิ ซึ่งเจ้าลัทธิมักเป็นกระบอกเสียงที่ถ่ายทอดแนวคิดและการกระทำของลัทธินั้นๆ และไม่ว่าจะเป็นเจ้าลัทธิที่แสดงออกด้วยความรุนแรง ความอ่อนน้อม ความเข้าใจ หรือความนิ่งเฉย พวกเขาทั้งหมดคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ
โจ นาวาโร (Joe Navarro) อดีตหน่วยต่อต้านข่าวกรอง FBI เขียนในบทความเกี่ยวกับการประสบการณ์การสังเกตลัทธิและเจ้าลัทธิอันตรายเมื่อตอนเขาทำงานให้แก่ FBI ว่า จุดร่วมของคนกลุ่มนี้คือพวกเขามักมีความเชื่อมั่นในตัวเองและสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้สูงมาก มีอำนาจที่ผู้ติดตามไม่อาจตั้งคำถามได้ ต้องการความชื่นชมทั้งจากคนในและคนนอก เอารัดเอาเปรียบผู้คน และมักมีอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อถูกตั้งคำถามไม่ว่าจากใคร ‘…แต่แม้ว่าพวกเขาจะมีลักษณะไม่น่าเข้าหาเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่พบกับอุปสรรคในการดึงดูดผู้คนที่พร้อมจะมองข้ามเรื่องเหล่านั้นเลย’ นาวาโรกล่าว
หนึ่งในเจ้าลัทธิที่เป็นที่รู้จักที่สุดคนหนึ่งคือ ชาลส์ แมนสัน (Charles Manson) เจ้าลัทธิ The Manson Family โดยหลังได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ แมนสันเริ่มเส้นทางการเป็นเจ้าลิทธิด้วยการเป็นกูรูฮิปปี้ที่รับผู้ติดตามหญิงส่วนมากผ่านหน้าตาและทักษะทางดนตรีของเขา ความโด่งดังของเขาเพิ่มพูนขึ้นจากการใช้ทักษะการเล่นดนตรีของเขาออกเพลงกับวงดนตรีชื่อดัง The Beach Boys ส่งผลให้ผู้ติดตามของเขาทวีคูณขึ้นไปอีก
ความเชื่อของ The Manson Family ต่างออกไปจากฮิปปี้กลุ่มอื่นๆ เพราะนอกจากการใช้สารเสพติดจำนวนมากแล้ว พวกเขายังเชื่อว่าจะเกิดสงครามเชื้อชาติระหว่างคนดำและคนขาวขึ้นในอเมริกา คนผิวดำจะชนะและพวกเขาในฐานะคนขาวจะรอกุมอำนาจหลังจากสงครามนั้นจบ โดยในการจะก่อชนวนสงครามนี้ พวกเขาต้องเริ่มจากการฆาตกรรมคนขาวในย่านที่อยู่อาศัยคนรวย Beverly Hills ที่นำไปสู่ความตายของคน 6 คน หนึ่งในนั้นคือดาราสาวชื่อดัง ชารอน เทต (Sharon Tate) โดยมีคำสั่งจากแมนสันว่า ‘ทำลายทุกคนให้โหดร้ายที่สุดที่ทำได้’
จากนักโทษผันตัวเป็นไลฟ์โคชนักดนตรี ที่ผู้ติดตามเชื่อว่าเป็นพระเยซูกลับมาเกิดใหม่ จะนำไปสู่คดีฆาตกรรมที่น่ากลัวที่สุดในสหรัฐได้?
2. ชุมชนที่เปิดรับ
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องลัทธิ สตีเวน ฮัสสัน (Steven Hassan) เขียนในบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาเบื้องหลังลัทธิว่าคนที่อยู่ในลัทธินั้นไม่ได้เข้าไปด้วยความสมัครใจเต็มร้อย แต่ถูกชักจูงเข้าไปโดยการเอาเปรียบในจุดที่เปราะบางของคนนั้นๆ
นอกจากความเชื่อและตัวผู้นำแล้ว อีกสิ่งที่ผู้ติดตามเดินเข้าหาลัทธิมาจากความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่พวกเขาตั้งอยู่ อาจจะจากการโดนทอดทิ้งจากครอบครัวหรือสังคมตั้งแต่ยังเด็ก เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงมุมมองต่อชีวิต การโดนกดทับโดยสังคม ฯลฯ และสิ่งที่ลัทธิสามารถให้แก่พวกเขาได้คือการมีกลุ่มคนที่เหมือนกันกับพวกเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ตัวอย่างแรกคือกลุ่มคนที่อยู่ใน The Manson Family นั้นเกือบทั้งหมดมีปัญหาชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ตัวชาลส์ แมนสันเองเกิดขึ้นมาโดยไม่มีพ่อและมีแม่อายุ 16 ปีที่พยายามทิ้งเขาไว้ในร้านเหล้า ผู้ติดตามใกล้ชิดของเขาหากไม่ครอบครัวแตกแยกก็หนีออกจากบ้าน บางคนเคยติดคุก และทั้งหมดตามหาที่พึ่งทางใจ และนั่นคือแมนสันและ LSD
แต่หากจะพูดถึงลัทธิที่ใช้ความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนสักชุมชนที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือลัทธิ The Peoples Temple นำโดยจิม โจนส์ (Jim Jones) ผู้ก่อตั้งชุมชนคริสต์ศาสนาที่มีแง่มุมในการเทศน์ต่างจากโบสถ์อื่นๆ ในช่วง ค.ศ.1950 ตรงที่โบสถ์นี้มีความเชื่อทางสังคมนิยมและ ‘เชื่อในความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ’ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ส่งคนผิวดำจำนวนมากเข้าร่วมเป็นสมาชิก Peoples Temple เพื่อหลบเลี่ยงการกดทับโดยสังคมจากโลกภายนอก
แต่หลังจากเข้าเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิแล้ว ความเป็นจริง จุดประสงค์ และวิธีการของลัทธิย่อมเหนี่ยวรั้งให้คนเหล่านั้นออกไปไหนไม่ได้ ระบบของ The Peoples Temple บังคับให้ผู้ติดตามเซ็นเอกสารที่เปิดเผยประวัติอาชญากรรมของพวกเขาต่อโบสถ์ที่จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแบล็กเมลหากผู้ติดตามต้องการที่จะออกจากลัทธิ และเมื่อโบสถ์ย้ายออกจากซานฟรานซิสโกไปสู่กายอานา ‘Jonestown’ เมืองใช้แรงงานทาสโดยผู้ติดตามก็ถือกำเนิดขึ้น
วิธีการที่ The Peoples Temple ใช้นั้นเรียกว่าการใช้อิทธิพลหรือ undue influence ที่สตีเวนให้คำอธิบายว่ามันคือการหลอกให้ผู้ติดตามคิดว่าพวกเขากำลังทำในสิ่งที่เขาเลือกเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่กดไม่ให้พวกเขาเลือกทำอย่างที่ใจต้องการ เช่น การขู่เข็ญ การใช้ความกลัว และการชักจูง
จุดจบของ Jonestown เกิดขึ้นเมื่อโจนส์เริ่มฝึกซ้อมหนีภัยเรียกว่า White Nights หากรัฐบาลสหรัฐจะเข้ามาจับพวกเขา พวกเขาต้องรวมตัวในโถงใหญ่แล้วดื่มน้ำที่ทีมงานของโจนส์จัดให้ และเมื่อเวลามาถึงเขาให้ผู้ติดตามทั้งหมดทำตามการซ้อมดังกล่าว แต่ในน้ำพันช์นั้นใส่ไซยาไนด์เอาไว้ และโจนส์ฆ่าตัวตายโดยการยิงตัวเอง
3. สู่โลกที่ดีกว่า?
นอกจากการสร้างชุมชนแล้วหลายๆ ลัทธิยังหยิบยื่น ‘ทางออก’ ให้แก่ผู้ติดตามอีกด้วย บ้างใช้การขายยารักษาทุกโรคเพื่อชักจูงผู้ที่เปราะบางจากความกลัวในความตายให้ใช้จ่ายกับลัทธิ บางลัทธิหยิบยื่นความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงโลก หรือบ้างก็หยิบยื่นอะไรที่เหนือจริงและอันตรายกว่านั้น
ในวันที่ 21 มีนาคม ปีค.ศ.1997 กลุ่มคน 39 คนใส่ชุดวอร์มสีดำ และไว้ผมทรงสกินเฮดเดินเข้าไปยังร้านอาหาร ทั้งหมดสั่งเมนูพายไก่งวง ชาเย็น บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก พนักงานเสิร์ฟของร้านกล่าวว่าในขณะนั้นดูตลกดีที่พวกเขาดูเหมือนกันหมด
ต่อมาพบร่างของทั้ง 39 โดยทั้งหมดเสียชีวิตด้วยการผสมยาฟีโนบาร์บิทัลเข้ากับซอสแอปเปิลและพุดดิง กินแล้วดื่มวอดก้าตาม ก่อนจะคลุมหัวตัวเองด้วยถุงพลาสติก โดยนี่คือจุดจบของลัทธิ Heaven’s Gate นำโดยมาร์แชล แอปเปิลไวต์ (Marshall Applewhite) กลุ่มลัทธิที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถหลีกหนีออกจากโลกที่เน่าเฟะนี้ผ่านการ ‘วิวัฒนาการผ่านระดับความเป็นมนุษย์’ ซึ่งได้มาผ่านการปลดปล่อยวิญญาณออกจากร่างกายของพวกเขาเมื่อดาวหางเฮลบอปป์โคจรใกล้โลกที่สุด พร้อมนำพวกเขาไปกับมันด้วย
ในสารคดี The Cult Next Door โดยสำนักข่าว ABC News มีการฉายวิดีโอการบอกลาผู้คนบนโลกของผู้ติดตามทั้ง 38 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านลัทธิ แจนจา ลาลิช (Janja Lalich) ให้ความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิตของผู้ติดตามว่า ‘สิ่งที่พวกเขาแต่ละคนพูดเป็นการเลียนแบบคำต่อคำจากสิ่งที่มาร์แชลพูดในคำสอนของเขา นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพึ่งพาคนคนนี้ขนาดไหน’ หนึ่งในคำพูดที่ใช้เป็นตัวอย่างคือ ‘เราทำอย่างนี้เพราะความต้องการของเราเอง’ แจนจาเรียกมันว่า ‘Bounded Choice’ หรือตัวเลือกที่เกิดจากการผูกมัดนั่นเอง
ย้อนกลับไปที่คำถามว่า ทำไมผู้ติดตามถึงเชื่อในความเชื่อที่แปลกประหลาดของลัทธิต่างๆ ก็ดูกลายเป็นว่าความงมงายแทบจะเป็นเหตุผลท้ายๆเพราะเหตุผลที่แท้จริงในความเชื่อและการกระทำเหล่านั้น มักเกิดจากการใช้ความเปราะบางของผู้คนในด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อใช้ประโยชน์จากพวกเขาในการเติมเต็มความต้องการของลัทธินั่นต่างหาก
อ้างอิงข้อมูลจาก