ในโลกนี้มีมนุษย์ที่มองเห็นอนาคตได้จริงหรือเปล่า?
นั่นคือคำถามที่เรามักถามอยู่ตลอด แม้จะไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่ามีอยู่จริง เพราะน้อยสิ่งนักในโลกนี้ที่จะทำให้มนุษย์กลัวได้เท่า ‘ความไม่แน่นอนของอนาคต’ บ่อยครั้งเราอาจไม่เชื่อว่าจะมีใครมองเห็นอนาคตได้ แต่ก็มีคนหลายคนที่มีคำพยากรณ์แม่นๆ จนเรารู้สึกกระตุกนิดๆ ว่า แท้จริงแล้วเขามีความลับอะไรบางอย่างที่มนุษย์คนอื่นไม่รู้หรือเปล่านะ?
คนบางคนสามารถมองอนาคตแล้วทำนายมันได้ยังไง? หรือจริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเขามองเห็นไม่ใช่อนาคต แต่คืออย่างอื่น?
หากจะถามว่า นักพยากรณ์คนไหนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลที่สุดจนถึงทุกวันนี้ น่าจะต้องยกตำแหน่งให้นักโหราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอย่าง มีแชล เดอ. นอสทร์ดาม (Michel de. Nostredame) หรือที่เรารู้จักกันในนาม นอสตราดามุส (Nostradamus) ชายผู้เริ่มเส้นทางการพยากรณ์จากการเป็นนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่ง ผู้ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา เนื่องจากกาฬโรคระบาด ระหว่างนั้นเขาเริ่มสนใจการปรุงยาพื้นบ้าน ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้ามที่ทำให้เขาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเป็นครั้งที่ 2 ก่อนจะเรียนจบ และหลังยึดถืออาชีพแพทย์ได้ราว 15 ปี เขาจึงเปลี่ยนความสนใจจากแพทยศาสตร์ไปสู่ไสยศาสตร์
ความสนใจเกี่ยวกับไสยศาสตร์ของนอสตราดามุสนำไปสู่การเขียนคำพยากรณ์ แม้จำนวนของคำพยากรณ์ที่เขาเขียนไว้นั้นจะไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แต่ก็มีงานเขียนซึ่งทำให้เขาเป็นที่พูดถึงจนทุกวันนี้คือ เล โพรฟาทีส์ (Les Prophéties) เขาเขียนออกมาในรูปแบบโคลง 4 บรรทัด ซึ่งหลายๆ คนเชื่อกันว่า เป็นคำทำนายตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ไปจนถึงการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอน เอฟ เคนเนดี (John F. Kennedy) และก่อการร้าย 9/11 มาจนสงครามรัสเซีย-ยูเครน
นอสตราดามุสทำได้ยังไง? พ่อมดเมาลูกจันทน์เทศ (Nutmeg) ผู้มองท้องฟ้าแล้วบอกว่าเขาเห็นอนาคต ทำยังไงให้คำพยากรณ์ของเขาอยู่รอดผ่านกาลเวลามานานหลายทศวรรษเช่นนี้? ทั้งนี้เราจะไม่พูดถึงวิธีการที่เขาตีความสิ่งที่เขาเห็น เนื่องจากข้อมูลในส่วนดังกล่าวไม่มีใครรู้ได้นอกจากเจ้าตัว แต่สิ่งที่เราสามารถพาไปดูได้ คือวิธีการและบริบทที่เขาเขียน
ในหนังสือเล โพรฟาทีส์ มีคำพยากรณ์ไม่ได้บอกวันและเวลาอยู่ทั้งหมด 942 บท ซึ่งธรรมชาติงานเขียนของเขาก็กว้างเป็นทะเล จนสามารถนำไปเทียบกับอะไรก็ตรงทั้งสิ้น
“จากโทสะและความเกลียดกลัวภายในเหล่าผู้ถูกเนรเทศ
จะวางแผนอันยิ่งใหญ่ต่อต้านกษัตริย์
พวกเขาจะสร้างภัยในรูปแบบศัตรู
แล้วพรรคพวกเก่าของราชาจะหาและจัดการกับพวกเขา”
หากอ่านจบแล้วจะบอกว่า มันเป็นคำพยากรณ์ที่ตรงกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ใดเหตุการณ์หนึ่งก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันเหตุการณ์รูปแบบนี้เอง ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั่วโลกหรือเปล่า? หากอ่านแล้วสมมติว่าทั้งหมดเป็นแบบนี้ไปอีก 900 กว่าบท จากมุมมองความน่าจะเป็นแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ตรงกับเรื่องที่เกิดขึ้น นี่ยังไม่นับรวมกับวิธีการที่มนุษย์มองย้อนกลับไป แล้วเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับประสบการณ์ตัวเอง เช่น วันหวยออกว่าเคยเห็นเลขรางวัลที่ 1 แล้วตะโกนออกมา “อ๋อ วันนั้นฝันเห็นแล้ว…แต่ไม่ได้ซื้อ” หรือเปล่าล่ะ?
กรณีที่สุดโต่งและใกล้ตัวกับปัจจุบันมากขึ้นของการเขียน ‘คำพยากรณ์’ รูปแบบนี้ คือบัญชีทวิตเตอร์ @sugree หรือสุกรี ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า สุกรีไม่เคยบอกว่าสิ่งที่ตัวเองทวิตออกไปนั้นเป็นการทำนายอนาคต แต่เป็นชาวเน็ตเองที่เริ่มสังเกตเห็นถึงข้อความต่างๆ ที่เขาเผยแพร่ว่ามันตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแปลกๆ แม้จะเขาไม่ได้โพสต์อะไรเพิ่มเติมเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว
ต่างจากนอสตราดามุสที่มีจำนวนคำพยากรณ์อยู่ในหลักร้อย ข้อเขียนของสุกรีอยู่ในหลักแสน และไม่ได้มาในรูปแบบของโคลง 4 บรรทัด แต่มาในรูปแบบประโยคหรือวลีภายใต้การจำกัดตัวอักษรของทวิตเตอร์ ฉะนั้นหากจะหยิบอะไรมาจากไหนก็แทบจะตีความได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2010 สุกรีทวิตว่า “คืนนี้สองเราจะรวมเป็นหนึ่ง” ก็มีผู้โต้ตอบว่า นี่เป็นการจับมือกันระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย ส่วนอีกคนบอกว่านี่เป็นเรื่องระหว่างทรูกับดีแทค
ทว่านั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้การพยากรณ์ของสุกรีตรง เพราะส่วนหนึ่งแล้วในบางแง่มุม โลกของเราไม่ได้เดินไปไหนไกลเลย และอีกหนึ่งสิ่งที่ชาวเน็ตบอกว่าเป็นการพยากรณ์อนาคตเช่นเดียวกัน คือการ์ตูนซิตคอมเสียดสีสังคม เดอะซิมป์สัน (The Simpsons) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1989 นอกจากการ์ตูนจะพูดถึงปัญหาชีวิตประจำวันของครอบครัวบ้านซิมป์สันแล้ว มันยังเล่าถึงวิถีชีวิตวายป่วงของประชาชนในเมืองสปริงฟีลด์ (Springfield) เมืองที่แม้จะไม่ได้เผชิญปัญหาในโลกจริง แต่ปัญหาต่างๆ ที่ถูกเล่าในเรื่องกลับจริงจนน่าตกใจ
หากตัดภาพปลอมในจอออกไป หลายๆ อย่างที่การ์ตูนเรื่องนี้พูดถึงก็เกิดขึ้นจริง เช่น
-
- อาหารปนเปื้อนด้วยเนื้อม้า
- Disney ซื้อ 20th Century Fox
- โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald John Trump) ขึ้นเป็นประธานาธิบดี
- เรียกร้องการเซ็นเซอร์ประติมากรรมเดวิดของมีเกลันเจโล (Michelangelo)
แม้ทั้งหมดนี้จะถือเป็นตัวอย่างเพียงไม่กี่เรื่อง แต่เราจะมองว่ามันคือการทำนาย หรือมองมันเป็นอะไรอย่างอื่นดี?
สำหรับโลกทุนนิยมแล้ว การที่บริษัทยักษ์ใหญ่สักบริษัทจะซื้ออีกหนึ่งบริษัท การพยายามลดต้นทุนอาหารหรือสินค้าหรือบริการใดๆ ผ่านการฉ้อโกง เศรษฐีสักคนจะลงมาเล่นการเมือง หรือในโลกที่คนบางกลุ่มยึดถือตัวเองเป็นผู้ถือครองศีลธรรมอันดี โลกใบนั้นก็ต้องมีการต่อสู้กับการเซนเซอร์สักรูปแบบ หากมองไปที่การเมืองของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงปีก่อนที่เดอะซิมป์สัน จะเกิดจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีการใช้สโลแกน “ทำเพื่อลูกหลาน” สำหรับต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่ เช่น อาจจะเป็นการต่อต้านการเผยอวัยวะเพศอื่นใดในงานศิลปะ เพราะเชื่อว่าจะเป็นอิทธิพลไม่ดีต่อเด็ก หรือมองในยุคปัจจุบันที่ต่อต้านการแสดงแดร็กควีนในปี 2023 ด้วยข้ออ้างเดียวกัน
“พูดตรง ๆ นะ สถานการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันเลย ตอนนั้นคือรัฐประหารไง ตอนนี้ก็อาจเรียกว่า รัฐประหารซ่อนรูปไหม จริง ๆ แล้วเราก็ยังอยู่ในยุคนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” สุกรีพูดในการปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้งของเขาในงาน HPCNC Sharing Day 2022
บางทีสิ่งที่เรามองเห็นจากการทำนายแบบใดก็ตาม
ทั้งนอสตราดามุส เดอะซิมป์สัน และสุกรี อาจไม่ใช่การพยากรณ์อนาคต
แต่มันคือความจริงในอดีตที่หวนกลับมาหาเราอีกครั้ง
“ประชาธิปไตย คือ เลือกตั้ง ชนะเป็นนายก แพ้ไปประท้วง แล้วก็จบที่ยุบพรรค” ข้อความข้างต้นนี้ สุกรีทวิตไว้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2010 โดยเสียงตอบกลับต่อทวิตนั้นก็ไหลยาวเวียนวนกลับมาแทบทุกปีหลังจากนั้น เพราะสังคมเราไม่ได้เดินไปไหนเลยตั้งแต่วันนั้น อาจเรียกว่าเราเดินถอยหลังเลยก็ได้ เพราะในการเมืองปัจจุบัน ชนะการเลือกตั้งไปก็ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ดี
อนาคตของเราไม่ใช่เพียงอนาคต แต่คือประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย ในขณะที่เราไม่อาจล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ผ่านการมองไปยังดวงดาว แต่เราสามารถรู้ได้จากการขับเคลื่อนมันเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมของเรา โดยเราสามารถเดินหน้าต่อสู้ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้
การเปลี่ยนแปลงที่มากพอจะทำให้คำทำนายเหล่านั้นไม่เป็นจริงอีกต่อไป
อ้างอิงจาก
zelalemkibret.files.wordpress.com