ความเชื่อทางจิตวิญญาณมีพื้นที่อยู่ในสังคมของเราเสมอ
มันอาจทำหน้าที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจ เมื่อเราเริ่มตั้งคำถามกับการมีอยู่ของตัวเอง เป็นที่เยียวยาจิตใจ เมื่อเรารู้สึกเปราะบาง หรือเป็นได้แม้แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัย สำหรับคนที่ถูกผลักให้อยู่ชายขอบของสังคม ฯลฯ ไม่ใช่ทุกสิ่งจะต้องพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์และเหตุผล ซึ่งคำว่างมงายก็ไม่ใช่เพียงการบอกว่าไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่ในนัยหนึ่งอาจแปลถึงการไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยสายตาของมุมมองหลักในสังคม
การดูดวงไพ่ทาโรต์ ดูดวงจากราศี การดูออร่า หรือการคลีนพลังงาน ฯลฯ หน้าตาของความเชื่อทางจิตวิญญาณที่เราเห็นกันอยู่ในสังคมทุกวันนี้ เป็นการควบรวมศาสตร์และความเชื่ออันหลากหลาย หน้าตาคล้ายคลึงกับการเคลื่อนไหว New Age ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อราวๆ ช่วงปี 1960 หรือ Modern Paganism ที่หากจะแจงให้ครบถ้วนคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ แต่ใจความคือ มันเป็นพื้นที่ที่มีมุมมองเปิดรับความเชื่ออันหลากหลายภายใต้ความสามัคคี โดยแตกต่างจากศาสนาหลักของโลก
ความเชื่อรูปแบบดังกล่าวกลับมาได้รับความนิยมในสังคมปัจจุบันของเราด้วยหลากหลายเหตุผล แต่โดยภาพมุมกว้างแล้ว มีโอกาสเป็นเพราะโลกของเราในปัจจุบันไม่มั่นคงขึ้นไปทุกวัน โดยเฉพาะสำหรับคนจากเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ และจากสถิติเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคนเจน Y และ Z ก็สะท้อนความไม่มั่นคงเหล่านั้น เราต่างคนจึงต่างต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจสักแห่งอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกันกับทุกกลุ่มความเชื่อและทุกชุมชน เมื่อมีผู้คนเดินเข้ามามากขึ้น ก็มีผู้ที่เดินเข้ามาเพื่อไขว่คว้าหาประโยชน์จากผู้คนเหล่านั้นด้วย ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนำความเชื่อเหล่านั้นมาประกอบเป็นอาชีพ เพราะนั่นคือเรื่องปกติที่ไม่ได้มีพิษภัยอะไร แต่การหาประโยชน์ดังกล่าวที่เราหมายถึง คือการใช้ความเชื่อและอำนาจทางจิตวิญญาณเป็นฉากหน้าเพื่อเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหง และบงการผู้อื่น และด้วยวิธีการ การวางตัว ธรรมชาติของมนุษย์ และมิติพลังที่เชื่อมโยงกับความเชื่อทางจิตวิญญาณในบางรูปแบบ จึงอาจถูกคนที่ไม่หวังดีนำไปใช้อย่างบิดเบี้ยวได้
แน่นอนว่าเราจะไม่ปฏิเสธการดูดวงว่าเป็นศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะเราไม่อาจนำวิทยาศาสตร์ไปจับกับทุกเรื่องได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่า จิตวิทยาและความสามารถในการชักจูง ถือเป็นส่วนสำคัญของการดูดวง ตัวอย่างชัดๆ เช่น เทคนิคการชักจูงที่ใช้กันอย่างแพร่หลายอย่าง Cold-Reading การถามคำถามกว้างๆ ที่ทำให้หมอดูเหมือนจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับลูกดวงมากกว่าที่เขาควรรู้ โดยข้อมูลต่างๆ อาจได้มาจากการสังเกตจากคำตอบของลูกดวง วิธีการที่ตอบคำถามนั้นๆ ภาษากาย หรือการจับสังเกตจากการพูดคุยก็ได้
ทว่านี่ไม่ใช่การด้อยค่าการดูดวงแต่อย่างใด บ่อยครั้งบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างหมอดูกับลูกดวง ก็เป็นเหมือนชั่วโมงแห่งการเยียวยาหัวใจย่อมๆ บางครั้งการพูดคุยกับคนที่มีมุมมองความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ อาจสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนและการฮีลหัวใจให้กับเราบางคนได้อย่างมาก บางครั้งชีวิตต้องการเพียงแค่ความอุ่นใจ ในการได้มองเห็นหนทางที่เป็นไปได้ในอนาคตอันไม่แน่นอนของเรา หรือเพียงการได้พูดอะไรออกไปแล้วมีคนที่พร้อมรับฟัง เข้าใจ และอนุญาตให้เราพูดต่ออยู่ที่ปลายสาย แต่โลกของเราก็เต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถในการชักจูง แล้วใช้มันในแง่ร้ายเช่นกัน
การชักจูงทางจิตวิทยานั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก คนที่ใช้อยู่ทุกวันจึงจำเป็นต้องหาสมดุลของมันอยู่เสมอ แต่เมื่อไรกันที่เราก้าวข้ามเส้นการชักจูงให้ใครสักคนเปิดใจกับเราได้อย่างสบายใจ ไปสู่การควบคุมและปลูกความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา?
เมื่อเริ่มมองเช่นนี้เราอาจพอเข้าใจขึ้นได้บ้างว่า เหตุใดคนที่มีลักษณะเป็น Abuser จึงสามารถแฝงตัวเข้ามาในกลุ่มเหล่านี้ได้อย่างแนบเนียน นั่นเพราะว่าบ่อยครั้ง พวกเขามีความสามารถในการซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้เบื้องหลังผู้หวังดีที่อบอุ่น ด้วยการกระทำที่บงการจิตใจของเราและคำพูดปั่นหัว และมันจะยิ่งแย่ลง เมื่อนึกถึงสภาพจิตใจของเราหลายๆ ครั้งที่ต้องการพึ่งพาคนที่พร้อมจะให้คำปรึกษาจริงๆ
การเดินเข้าไปหาที่ปรึกษาภายใต้บทบาทของหมอดูคนหนึ่ง เกือบจะ 100% เรามักเดินเข้าไปด้วยความต้องการเชื่อและต้องการคำปรึกษาจากเขาผู้นั้น ในห้วงเวลาเหล่านั้น เราอาจจะเปราะบางในความรู้สึก มีความไม่เติมเต็มในแง่หนึ่งของชีวิต มีความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอน หรือครอบครัวที่ไม่มั่นคง ฯลฯ ดังนั้นการอยากรู้ดวงชะตาจะหมายถึงอะไร หากไม่ใช่ความหวาดผวาต่ออนาคตที่เราไม่อาจเดาได้?
ในห้วงเวลาเปราะบาง เราต่างคนต่างต้องการหาหลัก
ที่จะจับให้ตัวเองลุกขึ้นได้ เป็นหลักที่มีไว้ให้เราค้ำเพื่อเดินต่อไป
ความโหดร้ายของเหล่า Abuser ผู้แอบซ่อนอยู่ในร่างของผู้ให้คำปรึกษา คือพวกเขารู้และใช้ความเปราะบางของเรา เป็นเป้าในการฝังคมเขี้ยวของพวกเขา แล้วลากให้คนที่พร้อมจะเชื่อใจเข้ามาเป็นเหยื่อของตัวเอง โดยบ๊อบ ไนการ์ด (Bob Nygaard) นักสืบเอกชนผู้ถนัดเฉพาะทางเรื่องการเปิดโปงคดีการต้มตุ๋นโดยร่างทรง ได้กล่าวถึงคำพูดของร่างทรงที่หลอกเอาเงินผู้คนว่า “พวกเขามักตามหาใครสักคนที่กำลังอยู่ในห้วงเวลาเปราะบางของชีวิต แล้วสร้างความรู้สึกว่าพวกเขาพึ่งพาได้ โดยสร้างโลกหลอกลวงอีกโลกขึ้นมา”
ชีวิตของเราบางคนก็ทำร้ายเราอย่างหนัก ในบางครั้งบางห้วงเวลา หากไม่เคยยืนอยู่ในจุดที่มืดแปดด้าน ก็คงจะไม่เข้าใจว่า ความรู้สึกว่าเราไม่ต้องการและไม่มั่นใจให้ตัวเองเลือกทางเดินชีวิตเองอีกต่อไปแล้ว และจะเป็นยังไง หากมีใครสักคนบอกว่าเขารู้คำตอบของชีวิตเรา? จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเดินไปหาคนคนหนึ่งด้วยสภาพจิตใจเช่นนั้น ด้วยความพร้อมที่จะเชื่อเขาอย่างเต็มที่ แล้วอยู่ดีๆ เขาก็เป็นผู้ชี้ทางให้กับเราด้วยความมั่นใจเต็มร้อย บอกว่าเราต้องตัดขาดอะไรบ้าง บอกเราว่ามีอะไรรออยู่ในอนาคต และหยิบยื่นทางออกบางอย่างให้กับเรา?
นี่จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่บอกเพียงว่า “แค่เดินออกมาสิ” แล้วจะทำได้ทันที เพราะกว่าจะรู้ตัว Abuser คนนั้นอาจจะตัดหนทางการหนีที่เราเคยมีออกไปหมดเสียแล้ว
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำความเข้าใจโลก ผ่านการเชื่อมโยงและเปรียบเทียบอยู่เสมอ แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งเราอาจเผลอทึกทักบางอย่างไปเอง เพราะความเคยชินจากบรรทัดฐานที่เราเคยถูกสอนมา เช่นเดียวกันกับประเด็นมิติพลังระหว่างหมอดูกับลูกดวง เช่นเดียวกับที่เด็กน้อยมองพ่อแม่เป็นผู้ชี้ทางในการเอาชีวิตรอด หรือหัวหน้าที่ทำหน้าที่เป็นจ่าฝูง เราอาจเผลอไผลมองคนที่รู้อะไรมากกว่าเราเป็นคนที่อยู่สูงกว่าโดยห้ามไม่ได้
ความไม่เท่ากันเกิดขึ้นตั้งแต่การใช้คำเล็กๆ น้อยๆ คำเรียกหมอดูผู้เป็นที่ปรึกษาของเราว่า ‘พ่อหมอ’ หรือ ‘แม่หมอ’ กับเรียกคนที่เข้ามาดูดวงว่า ‘ลูกดวง’ วาดเส้นวรรณะให้เราเห็นอย่างชัดเจน คำที่ใช้ย่อมมาพร้อมกับอำนาจและบทบาทที่เชื่อมโยงในหัวของเรา และบางสำนักก็ตีความไพ่ของหมอดูว่าคือ จักรพรรดินี (The Empress) เพราะในบางทีเราอาจเผลอคิดว่า พวกเขาคือคนที่ลงลึกในการเรียนรู้ด้านจิตวิญญาณมากกว่าเรา เป็นคนที่ใกล้ชิดพระเจ้า รู้อนาคต รู้โชคชะตา และมีสายตากว้างขวางกว่าเรา
บ่อยครั้งเมื่อเราดันไปเจอกับ Abuser ที่บอกให้เราตัดขาดจากเพื่อนและครอบครัว ให้ทำอะไรแปลกๆ เพราะจะช่วยให้พลังงานของเราดีขึ้น หรือโยนความฝันที่ตัวเองถือเอาไว้ เพื่ออนาคตที่เขามองเห็นในตัวเรา ใจหนึ่งดันอดคิดไม่ได้ว่าเราจะปฏิเสธคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? แล้วเราเป็นใครที่จะสามารถปฏิเสธชะตาได้? บางครั้งถึงกับบอกตัวเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุ และมันจะนำไปสู่อะไรบางอย่างแน่ๆ เพียงแต่เราต้องทนไปอีกสักนิด
พื้นที่สำหรับความเชื่อทางจิตวิญญาณ เต็มไปด้วยผู้คนที่พร้อมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่กันและกัน แต่เช่นเดียวกับทุกที่ที่มีคนให้สามารถเอารัดเอาเปรียบได้ ก็มีคนที่พร้อมจะใช้โอกาสเหล่านั้นทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ คือการตรวจตราหา Abuser ที่แฝงตัวอยู่เหล่านั้น แล้วกระจายเรื่องราวการกระทำของพวกเขา เพื่อลดความเสี่ยงในการทำร้ายผู้อื่นต่อไปของพวกเขา
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกิน คนเหล่านี้หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังคนที่ดูไม่มีพิษมีภัย
อ้างอิงจาก