เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนรู้
จะไปเร็ว หรือไปช้า วันนึงก็ต้องไป ทุกคนรู้
แต่พอถึงเวลาใครสักคนที่เรารักมากจากเราไปแบบไม่ทันตั้งตัว บางทีวินาทีนั้นก็ไม่รู้จะรับมือกับมันยังไงเหมือนกัน The MATTER ชวนผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์สูญเสียคนใกล้ตัว ว่า ณ นาทีที่เหมือนโลกถล่ม ฟ้าดินทลาย จนหัวใจสลาย พวกเขารับมือและผ่านมันมายังไง
ฟาลิม
อาชีพ : นักชิมไวน์
“เราเสียแม่ไปเมื่อปีที่แล้ว ทุกอย่างยากไปหมดเลย เพราะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ตอนนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือเตรียมตัวทุกอย่างว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนั้นก็บอกตัวเองว่า ให้เข้มแข็งไว้ ถ้ายอมแพ้ตอนนี้สิ่งที่แม่ทำมาตลอดจะสูญเปล่า และเราต้องกลายเป็นเสาหลักของบ้านแทนแม่ ถ้ายอมแพ้ตอนนี้ก็จบ”
สิริกัญญา กาญจนประกร
อาชีพ : แม่บ้าน, รับทำหนังสือ บางทีก็ขายอาหาร
“ตอนนั้นแม่เสีย…คือแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เราก็ลาเรียนกลับไปเฝ้าแม่ที่ต่างจังหวัด เฝ้าอยู่ประมาณเดือนครึ่ง จนถึงช่วงสอบ เรากระซิบบอกแม่ที่นอนไม่ได้สติว่า ขอกลับไปสอบนะ เดี๋ยวรีบกลับมาหา บอกน้องชายว่าถ้าไม่มีอะไร ไม่ต้องโทรมานะ
“ผ่านไปไม่ถึง 48 ชั่วโมง ตอนนั้นนั่งทำงานกลุ่มอยู่กับเพื่อน น้องโทรเข้ามา แล้วรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น..แม่ไปแล้วนะ… เพื่อนเข้ามารุมกอดเรา แล้วขับรถจากนครปฐมไปส่งที่หมอชิต 7 ชั่วโมงที่นั่งรถกลับบ้านมันทรมานมาก ฝนก็ตก ฟ้าก็ครึ้ม นั่งน้ำตาไหลไปตลอดทาง ใจนึงโกรธที่แม่ไม่รอ อยู่ด้วยตั้งนานก็ไม่ไป แต่อีกใจก็รู้สึกโล่ง เราเห็นมาตลอดว่าช่วงที่เค้าป่วยคือทรมานมากๆ
“เอาเข้าจริงทุกวันนี้ก็ยังแอบร้องไห้คิดถึงแม่บ่อยๆ เดือนหน้าครบ 7 ปีแล้ว สิ่งที่ทำให้อยู่กับปัจจุบันได้ก็คือ เรายังเหลือคนอื่นๆ ในครอบครัว ยังต้องประคับประคองกันไปเพราะเราเป็นลูกคนโต ถึงแม่จะไม่อยู่ แต่เราบอกแม่ในใจเสมอว่าเราจะดูแลทุกคนเอง
“เราไม่เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้เลย ทุกวินาทียังฝังอยู่ในความรู้สึก แค่โตขึ้นและคิดว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดา…วันข้างหน้าถ้าต้องเสียอะไรไปอีก ก็คงดึงสติกลับมาได้เร็วขึ้น ทุกวันนี้คือปลงมากนะ 55555 ไม่ค่อยอยากได้อยากมีอะไร เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็ต้องเสียมันไป…”
พิมพ์พร อุปนิ
อาชีพ : นักศึกษา
“เมื่อไม่นานมานี้ ได้สูญเสียพี่ชายด้วยโรคมะเร็งด้วยวัยเพียง 26 ปี เราสนิทกันมาก รักกันมาก เรียกได้ว่าตลอดชีวิตเรามีพี่อยู่ทุกช่วงชีวิต มันเป็นการสูญเสียที่หนักที่สุดในชีวิตและมันเกิดขึ้นเร็วมาก
“หลังจากวันที่เสียพี่ชายไปก็เสียใจแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้อีก ช่วงแรกๆ ก็ทำใจไม่ได้ แต่ผ่านไปสักเดือนสองเดือนก็โอเคขึ้น เพราะคิดว่าตลอดช่วงเวลาสุดท้ายของเขาเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาแล้ว มีแค่เรื่องเดียวที่แอบเสียใจคือ ตลอดเวลาเราโกหกเค้าตลอดว่า “เขาจะไม่ตาย เขาจะรอดและจะผ่านมันไปได้” เรามองว่าคนเราทุกคนเกิดมาต้องตาย จะตายช้าตายเร็วแค่นั้น ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ความจริงก็คือความจริง
“อย่างน้อยการจากไปของพี่ก็ถือว่าเป็นการจากไปที่ไม่เจ็บปวด แค่นี้เราก็พอใจแล้ว อีกอย่างด้วยนิสัยของพี่ชายคือเค้าเป็นคนจิตใจดี แล้วโลกนี้มันชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน การที่เขาจากไปเร็วก็เหมือนกับเขาได้หลุดพ้นจากความลำบากตรงนี้
“เอาจริงๆ ก็ไม่คิดว่าเขาหายไปไหนนะ แค่เขาไปอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ดีแล้วเขามีความสุข แล้ววันหนึ่งเราก็จะตามเขาไป สรุปแล้ว เราก็ต้องมองในด้านดีเพราะคนตายไม่มีวันฟื้นแต่คนที่ยังอยู่ต่างหากที่ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป เรายังมีคนรอบข้างที่ต้องดูแล”
Psychedelic boy
อาชีพ : ธุรกิจส่วนตัว
“ตอนนั้นญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักกำลังจะเสียชีวิต เริ่มแรกทำใจไม่ได้เลยโทรไปร้องไห้กับแฟนอยู่เรื่อยๆ คิดว่าทำไมอะไรที่อยู่รอบข้างเรามันต้องเปลี่ยนแปลงไปเสมอๆ หลังๆ เริ่มทำใจได้ ไม่ฟังเพลงเลยช่วงนั้น แล้วก็งดแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพื่อไม่ให้บีบเค้นอารมณ์มากเกินไป อยากให้ตัวเองมีสติมากที่สุด บางทีก็คิดว่าเขาไม่ได้จากไปไหน เขาเพียงแค่ย้ายที่อยู่ใหม่”
ชาญณรงค์ เอื้ออุดมโชติ
อาชีพ : นักศึกษา
“โดยส่วนตัวเรา เราเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นความอ่อนแอเรา เราจะไม่ค่อยแสดงอะไรออกมามันจึงเหตุผลว่าเวลาเราเจอกับเรื่องสูญเสียเรารับมือด้วยวิธีการพยายามทำใจ หรือเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด เช่น คนใกล้ตัวเราเสีย เราจะเสียใจและนึกถึงเขาไม่เกินอาทิตย์เราก็จะพยายามทำใจให้เข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อ ง่ายๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เราจะสร้างคำนิยามเวลาเกิดเรื่องสูญเสียของเราคือ ช่างมัน เราต้องก้าวไปข้างหน้า เสียใจได้แต่อย่าจมไปกับมัน เราต้องหาทางอื่นหรือเดินหน้าต่อไป และเมื่อย้อนกลับเราคงรู้สึกว่า เออ เราก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้เนอะหรือว่าเราก็ผ่านมันมาได้และเราคงได้ตกตะกอนความคิดของตัวเองและมีภูมิคุ้มกันหรือทางแก้กับเเหตุการณ์ที่ผ่านมาและในอนาคตถ้ามันเป็นลักษณะเดียวกัน”
สุทธิอร ณ ลำพูน
อาชีพ : Producer
“การสูญเสียหนักที่สุดเลยคือ เมื่อปี 2556-57 เกิดจากสูญเสียแม่ด้วยโรคมะเร็ง และเราเป็นลูกคนเดียว ซึ่งตลอดเวลาที่ดูแลแม่ตอนป่วยก็เหมือนจะเข้มแข็งมากๆ อดทนและสู้จนวันสุดท้าย… แต่พอหลังจากแม่เสีย มันเหมือนแม่กุญแจที่โดนทุบจนแตก ไอ้ความอ่อนแอ ความจิตตก ความเครียด ความอัดอั้นมันปลดล็อคไหลพรั่งพรูออกมา แล้วเราควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ป.โทไปด้วย..
“เราก็เลยพยามยามที่จะหาคนยึดเหนี่ยวทางจิตใจ นั่นก็คือ คนรัก…แต่เราก็เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไปลงที่เขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเลย จนเกิดปัญหาและเลิกรากันไปในปีเดียวกันนั้นเอง
“จึงเป็นปีที่ดับเบิ้ลความสูญเสีย สติหลุดไปเลย พังไม่เป็นท่า ทำงานไม่ได้ เขียนวิทยานิพนธ์ไม่ได้ ไม่ก้าวไปข้างหน้า จนรู้สึกอยากเท เททุกอย่าง เทแม้กระทั่งชีวิต คิดไม่ยาวเลย
“แต่…ก็คิดถึงสัญญาที่ให้กับแม่ไว้ สิ่งที่แม่หวังจะเห็น เราก็เลยไปพบจิตแพทย์ พูดคุยปรึกษา กินยารักษา ก็เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนพฤติกรรม โฟกัสที่ตัวเองและสิ่งที่ควรจะทำ รักตัวเอง กลับมาเขียนงานให้จบ ทำงานให้ได้ อยู่กับปัจจุบันกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อดทนผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง ยากจริง…และใช้เวลานานพอสมควร
“ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป เหมือนเราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้น รู้สึกดีกับตัวเอง ว่าเราผ่านตรงนั้นมาได้แล้ว หลังจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็จะผ่านมันไปได้ ไม่มีอะไรยากแล้ว เพราะรู้แล้วว่าต้องรับมือยังไง และเก็บไว้เป็นบทเรียนคอยเตือนใจเสมอว่า อย่าได้กลับไปเป็นแบบนั้นอีก อย่าทำแบบเดิมอีก เราจะสูญเสียอะไรก็ได้ แต่อย่าสูญเสียสติตัวเองเด็ดขาด”