ท่ามกลางสภาวะบ้านเมืองที่ไม่ค่อยเปิดให้เราได้แสดงความคิดเห็นในตอนนี้ เรากลับเห็นอารมณ์ขันถูกนำมาใช้ล้อเลียนการเมืองในหลายรูปแบบ ทั้งใน MV ‘เผด็จเกิร์ล’ ของวง Tattoo Colour การ์ตูนล้อเลียนของเพจไข่แมว หรือการเขียนข่าวให้ตลก เสียดสี ล้อเลียนเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ มันจึงน่าสนใจว่า อารมณ์ขันและเสียงหัวเราะมันมีพลังช่วยพูดแทนเราได้มากแค่ไหน?
The MATTER จึงมาคุยกับ ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการวิจัยเรื่องการใช้อารมณ์ขันในประท้วงและสันติวิธี ว่าเราจะใช้เสียงหัวเราะแทนความกลัวได้อย่างไร
The MATTER : อารมณ์ขันหรือว่าเสียงหัวเราะมันมีพลังแค่ไหน
ผศ.ดร.จันจิรา: มันพูดได้หลายบริบท งานวิจัยที่ดิฉันทำเกี่ยวกับอารมณ์ขันในฐานะเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง หรือสันติวิธี ทีนี้ถ้าพูดกว้างๆ อารมณ์ขันในชีวิตประจำวัน มันช่วยให้เราเผชิญเรื่องราวที่มันเป็นทุกข์ได้ แทนที่เราจะรู้สึกซีเรียสกับมัน หรือว่ารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เราก็ล้อเล่นกับมันแล้วก็ทำให้มันรู้สึกเป็นเรื่องเบาๆ ได้
ทีนี้มันก็มีงานวิจัยหลายแบบด้านจิตวิทยาหรือว่าทางการแพทย์เกี่ยวกับอารมณ์ขัน แล้วศึกษาว่าเวลาที่คนเผชิญภาวะเสี่ยงอันตรายหรือมีความรู้สึกเหมือนใกล้จะตาย อารมณ์ขันมันช่วยให้เราไม่รู้สึกจมดิ่งอยู่ในอารมณ์ความกลัว เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงสิ่งที่อารมณ์ขันในบริบทต่างๆ มีร่วมกัน บริบทชีวิตประจำวัน จิตวิทยาและการเมือง คือการจัดการกับความกลัว
The MATTER : จากที่อาจารย์ศึกษามา ในทางด้านการเมืองกับอำนาจ มันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้แค่ไหน
ผศ.ดร.จันจิรา: สิ่งที่เราสนใจ เราสนใจการใช้อารมณ์ขันในขบวนการสันติวิธี ทีนี้ขบวนการสันติวิธีมักจะเกิดขึ้นในบริบทความขัดแย้งเสมอ ความขัดแย้งที่เราพูดถึงอาจจะเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาล หรือว่าประชาชนกับประชาชนก็ได้ ทีนี้งานที่ดิฉันทำงานวิจัยแล้วก็ตีพิมพ์เป็นหนังสือกับมติชนชื่อ ‘หัวร่อต่ออำนาจ’ สนใจความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ที่ใช้มิติอารมณ์ขันในฐานะเป็นเครื่องมือประท้วงกับรัฐบาล เราพบว่ามันมีประโยชน์ที่อารมณ์ขันช่วยให้การประท้วงรัฐบาลมีประสิทธิภาพในสามมิติ อันแรกคือ อารมณ์ขันจัดการกับความกลัวได้ ในความขัดแย้งกับรัฐบาลที่คุมกองทัพหรือว่าตำรวจที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ก่อนที่คนจะเข้ามาสู่ขบวนการประท้วงจะมีความกลัว กลัวการถูกปราบปราม กลัวถูกจับ กลัวถูกทรมานอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นในช่วงแรก การรวบรวมกำลังพลที่จะออกมาสู่ท้องถนนได้ เป็นเรื่องยาก ที่ต้องเจอกับรัฐบาลที่มุ่งปราบปราม เพราะฉะนั้นอารมณ์ขันที่ขบวนการสันติวิธีใช้ ทำให้ความกลัวนี้มันเบาลงไป โดยขบวนการสันติวิธีอาจจะใช้การล้อเลียนรัฐบาล เพื่อทำให้รู้สึกว่ารัฐบาลที่น่ากลัวหรือว่าการปราบปรามที่น่ากลัวมันเป็นเรื่องไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิด เช่น ที่พม่า ในยุคที่รัฐบาลทหารพม่าปราบปรามสูงมาก การออกมาสู่ท้องถนนเป็นเรื่องเสี่ยงสำหรับคนหลายคน แต่มีกลุ่มศิลปินต่างๆ ที่ออกมาวาดรูปตลกล้อเลียนทหารพม่าหรือว่าไปเล่นคล้ายๆ ตลกคาเฟ่ เรียกว่าเป็น Comedy Troupes บอกว่ารัฐบาลทหารพม่าเหมือนแค่ลูกสุนัขอะไรแบบนี้ ซึ่งสุดท้ายทำให้คนตัวใหญ่กลายเป็นตัวเล็กอันนั้นได้
อารมณ์ขันช่วยทำให้ข้อความประท้วงดูมีเสน่ห์ ดูดึงดูดคน แทนที่การประท้วงจะเป็นเรื่องซีเรียส เป็นเรื่องการเมืองอย่างเดียว มันกลายเป็นเรื่องบันเทิงไปได้
อีกมิตินึงคือ เมื่อขบวนประท้วงใหญ่ขึ้น คนออกมาสู่ท้องถนนได้มากขึ้น อารมณ์ขันช่วยทำให้ข้อความประท้วงดูมีเสน่ห์ ดูดึงดูดคน แทนที่การประท้วงจะเป็นเรื่องซีเรียส เป็นเรื่องการเมืองอย่างเดียว มันกลายเป็นเรื่องบันเทิงไปได้ คนก็ยิ่งออกมา รูปแบบของการประท้วงที่ช่วยดึงดูดคนมากที่สุด คือรูปแบบของงานเลี้ยงสังสรรค์รื่นเริง ซึ่งเป็นอารมณ์ขันในแบบ Carnival อะ คืออารมณ์เชิงงานรื่นเริง เพราะฉะนั้นคนจะรู้สึกว่าการประท้วงมันผ่อนคลาย และก็มีกิจกรรมให้เราทำร่วมกัน
ทีนี้ในอีกมุมนึงอารมณ์ขันก็ยังสามารถใช้เป็นข้อความสื่อสารออกไปยังสาธารณะ ทำให้คนรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ชอบธรรมก็ได้ อันนี้การล้อเลียนจะเป็นเครื่องมือหลักของการท้าทายความชอบธรรมของรัฐบาล อีกแง่มุมนึงที่ยังไม่ค่อยมีคนศึกษามันจริงจัง คือเวลาเราใช้อารมณ์ขันในพื้นที่การประท้วงมันทำให้การเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจลดลง แต่มันเป็นอารมณ์ขันบางแบบ เช่น ต้องเป็นแบบที่เรียกว่า สร้างความเป็นมนุษย์ให้กับตำรวจ ถ้าไปด่าตำรวจแบบว่าพ่อล่อแม่ก็ถือเป็นการรังแก เป็นการลดทอนความเป็นมนุษย์ ซึ่งยิ่งเพิ่มอารมณ์โกรธของตำรวจ ขณะเดียวกันจะยิ่งทำให้ผู้ชุมนุมรู้สึกหึกเหิม ต้องใช้ความรุนแรง แต่ว่ารูปแบบอารมณ์ขันที่ใช้แล้วสร้างความเป็นมนุษย์ให้กับฝ่ายตรงข้ามได้ เช่น มีกลุ่มหนึ่งในเซอร์เบีย ผู้ชุมนุมตัดสินใจยืนแถวหน้าตำรวจแล้วก็กอดตำรวจพร้อมๆ กัน หรือว่าอันนี้ในต่างประเทศอาจจะทำได้ คือการให้เด็กผู้หญิงไปหอมแก้มตำรวจ เหตุการณ์แบบนี้มันทำให้ตำรวจที่เคร่งเครียดรู้สึกได้ว่าผู้ชุมนุมไม่ใช่ศัตรู ทั้งระยะเวลาการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวเป็นเดือนๆ ก็ก่อให้เกิดความผูกพัน ความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างสองฝ่ายได้
The MATTER : นอกจากด้านอารมณ์แล้ว การหัวเราะนำไปสู่การแก้ปัญหาจริงๆ ได้ไหม
ผศ.ดร.จันจิรา: คือต้องเล่าอย่างนี้ก่อน อารมณ์ขันมันไม่ใช่เป้าหมายทางการเมือง ไม่เหมือนกับประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน ในการศึกษาบริบททางการเมืองของอารมณ์ขันเราคงอารมณ์ขันเป็นเครื่องมือในการประท้วง แล้วก็อาจจะเป็นบรรยากาศในการประท้วง ที่อาจจะช่วยให้การประท้วงมันสร้างสรรค์ แทนที่คนมาประท้วงแล้วโกรธ คว้างหิน คว้างอะไรใส่อีกฝ่ายนึง หรือว่าทำลายข้าวของ มันช่วยให้บรรยากาศชวนหัว ดูเบา และดูบันเทิงมากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการอารมณ์ของผู้ชุมนุม สำคัญในการคงการชุมนุมในรูปแบบของสันติวิธี เพราะเมื่อไหร่ที่ผู้ชุมนุมข้ามเส้นจากสันติวิธีไปใช้ความรุนแรง จะกลายเป็นเชื้อเชิญให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐปราบปรามกลับ หรือทำให้คนในสังคมเห็นว่า กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ใช้สันติวิธีอย่างที่อ้าง เป็นพวกกุ๊ยใช้ความรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อความชอบธรรมของกลุ่มเหมือนกัน
ในแง่นี้อารมณ์ขันไม่ได้แก้ปัญหาทางการเมือง เป็นการศึกษาในฐานะเครื่องมือมากกว่า แต่ถามว่าสังคมควรมีอารมณ์ขันไหม ก็น่าสนใจที่จะคิด และคำถามต่อไปคือ อารมณ์ขันแบบไหนที่สังคมควรจะมี เราควรจะขำหัวเราะเยาะเย้ยคนอื่น หรือควรจะขำเพื่อสร้างมิตรภาพ กับคนที่เราไม่เห็นด้วย ก็เป็นโจทย์ที่เราต้องคิด
The MATTER : แสดงว่าอารมณ์ขัน มันเป็นวิธีการมากกว่า การแก้ปัญหาที่เห็นผลเป็นรูปธรรม
ผศ.ดร.จันจิรา: ใช่ เราพูดถึงแค่งานที่เราศึกษาในบริบทการประท้วง ในการประท้วง ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมคงไม่ใช่อยากให้ประเทศนี้มีอารมณ์ขัน ส่วนใหญ่ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมก็จะเรียกร้องความเป็นธรรม สิทธิมนุษยชน และระบอบการเมือง เพราะฉะนั้นอารมณ์ขันเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือหลายอย่าง เช่น การอดอาหารประท้วง หรือว่าการเดินขบวน หรือว่าการเอาสติกเกอร์ปิดปากไม่พูด หรือว่าการชูสามนิ้ว มันก็อยู่ในแง่ของยุทธการ เนื่องจากตัวมันไม่ใช่เป้าหมาย คือตัวอารมณ์ขันเองไม่ตอบโจทย์ทางการเมือง แต่ถามว่าทำไมอารมณ์ขันสำคัญในการต่อสู้ทางการเมือง คืออย่างน้อยมันช่วยให้มีการจัดการอารมณ์ในกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วการจัดการทางอารมณ์สำคัญต่อการใช้สันติวิธีหรือการใช้ความรุนแรงของผู้ชุมนุม
The MATTER : สภาพแวดล้อมทางการเมืองในบ้านเราตอนนี้ อาจารย์ว่ามันเปิดให้คนหัวเราะกันมากแค่ไหน
ผศ.ดร.จันจิรา: หึหึ ก็จะหัวเราะแบบดิฉันนี่นะคะ (หัวเราะ) คือเรารู้ๆ กันอยู่ว่าไม่เปิดถูกไหม แต่ว่าอารมณ์ขันที่น่าสนใจคือมันมักจะรุ่มรวยในสังคมปิด มีคนเก็บมุกตลกภายใต้ระบอบเผด็จการกับระบอบคอมนิวนิสต์โซเวียตไว้เยอะมาก แล้วภายใต้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ก็มีมุกตลกเต็มไปหมด และเป็นมุกตลกที่ล้อเล่นกับความตาย กับการกดขี่ความข่มเหงของระบอบการเมือง อย่างที่บอกว่าอารมณ์ขันมันสัมพันธ์กับความกลัว ภายใต้ระบบปิดความกลัวมันเยอะ ทีนี้คุณจะทำยังไงให้อยู่กับระบอบได้ คุณจะทำยังไงให้รู้สึกว่าไม่อยากฆ่าตัวตายวันพรุ่งนี้ คนก็ต้องพยายามหาวิธีในการมีชีวิตรอด
ดิฉันว่าอารมณ์ขันในสังคมไทยต่างจากฝรั่งเยอะพอสมควร อารมณ์ขันแบบที่เราดูในรายการทีวีของฝรั่ง อย่างรายการ Daily Show ของ Trevor Noah หรือ Last Week Tonight ของ John Oliver พวกนี้เป็นตลกที่ฝรั่งเรียกว่า อารมณ์ขันเชิงปัญญาชน เป็นอารมณ์ขันออกเหน็บแหนมทางการเมือง อารมณ์ขันแบบนี้พัฒนามาเมื่อประมาณศตวรรตที่ 18 ซึ่งก่อนหน้านี้ในตะวันตก อารมณ์ขันก็จะหล้ายๆ กับเราตอนนี้ ที่เรียกว่า ‘Slap Stick’ ตลกประเภทถือถาดตีหัว เป็นตลกร่างกาย เป็นการล้อเลียนความผิดปกติของร่างกาย ตลกบ้านเราถ้าดูกันเกลื่อนๆ หน่อยก็จะเป็นพวกตลกคาเฟ่ ไม่ได้บอกว่าอันนั้นไม่ดี แต่ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของตลกซึ่งบ้านเรามักจะเข้าใจว่าคืออารมณ์ขัน ซึ่งมีรูปแบบอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องภูมิปัญญา
เพราะฉะนั้นถามว่าบ้านเราเปิดให้กับอารมณ์ขันแบบไหนเปิดให้กับแบบนี้ เปิดให้กับแบบล้อเลียน โดยเฉพาะล้อเลียนสีผิว ล้อเลียนความเตี้ยความสูง ความพิการ ความด้อย ความต่ำของเชื้อชาติ แบบที่ปิดคงเป็นแบบจิกกัดทางการเมือง อย่างรายการคุณจอห์น วิญญูก็คล้ายรายการตลกฝรั่งที่เราพูดถึง อย่างโน้ต อุดมนี่เป็นแบบ Stand up Commedy ที่จริงแล้วมันสามารถพูดถึงการเมืองได้มาก แต่ว่าเขาก็เบาลง เพราะฉะนั้นบางแบบเปิด บางแบบปิด แบบที่มันเป็นการเมืองมากก็มีปัญหา
อารมณ์ขันที่มาจากพื้นที่ส่วนตัว เอามุกตลกมาล้อเรื่องการเมืองเต็มไปหมด และมันเล็ดลอดการควบคุมจากรัฐ สำหรับดิฉันมองว่าเป็นพลัง เพียงแต่ว่าเป็นพลังที่ไม่ได้ถูกรวมเป็นก้อน พลังของมันอาจจะไม่เท่ากับกิจกรรมทางการเมือง แต่ว่าเราจะดูแคลนของพวกนี้ไม่ได้
The MATTER : แบบนี้ถ้าผู้มีอำนาจห้ามหรือไม่สนใจการหัวเราะ ในทางปฏิบัติจะทำให้อารมณ์ขันหมดพลังมั้ย อารมณ์ขันยังจะใช้แก้ปัญหาได้หรือเปล่า
ผศ.ดร.จันจิรา: วัดยาก ดิฉันคิดว่าตอนนี้การเคลื่อนไหวบนพื้นที่สาธารณะเป็นไปได้ยาก บ้านเรามันมีบรรยากาศสองอย่าง อย่างที่หนึ่งก็คือ ภาวะปิดทางการเมือง อันนี้ก็คือ การปราบปรามคนที่ออกมาเคลื่อนไหวบนพื้นที่สาธารณะ ใช้อารมณ์ขันก็โดน ไม่ใช้อารมณ์ขันก็โดน อันที่สองคือ ภาวะสังคมที่แบ่งแยก ความขัดแย้งนี้ยังอยู่ ยังไม่คลี่คลายเวลาที่มีการเคลื่อนไหว ต่อต้านหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คนจำนวนหนึ่งก็อาจจะสงสัยว่านี่มาจากฝ่ายตรงข้าม จ้างมาหรือเปล่า มันเหมือนคนเราโกรธกันไม่ว่าอีกฝั่งทำอะไรเราก็จะรู้สึกสงสัยเจตนาในพื้นที่สาธารณะก่อน
ส่วนในพื้นที่ส่วนตัว สังคมไทยมันมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง บนพื้นที่สาธารณะคนไทยดูเหมือนจะเชื่อฟังผู้มีอำนาจ หัวอ่อน แต่อย่าให้เผลอ โดยเฉพาะกฎจราจร หาทางซอกแซกได้ ข้ามทางม้าลายบ้าง ไม่ข้ามบ้าง แล้วแต่ว่าตำรวจอยู่ไหม ดิฉันว่าในพื้นที่ส่วนตัวคนมีแนวโน้มไม่เคารพอำนาจพอสมควร รัฐบาลทหารถึงพยายามจะสร้างระเบียบให้กับสังคมไทย เพราะว่าชีวิตส่วนตัวของทุกคนไม่เคารพอำนาจ ไม่เคารพกฎ
ทีนี้อารมณ์ขันจริงๆ เกิดในพื้นที่ส่วนตัว เวลาเราศึกษาการล้อในฐานะเครื่องมือการต่อสู้ทางการเมือง คนโอนอารมณ์ขันจากที่เราใช้ในชีวิตประจำวันไปใช้เป็นกิจกรรมทางการเมือง นึกถึงกลุ่มพลเมืองโต้กลับ กลุ่มไข่แมว หรือเว็บเพจอะไรทั้งหลาย มันเอาอารมณ์ขันที่มาจากพื้นที่ส่วนตัว เอามุกตลกมาล้อเรื่องการเมืองเต็มไปหมด และมันเล็ดรอดการควบคุมจากรัฐ สำหรับดิฉันมองว่าเป็นพลัง เพียงแต่ว่าเป็นพลังที่ไม่ได้ถูกรวมเป็นก้อน พลังของมันอาจจะไม่เท่ากับกิจกรรมทางการเมือง แต่ว่าเราจะดูแคลนของพวกนี้ไม่ได้
มีงานศึกษาของ James C. Scott ชื่อว่า ‘การครอบงำและการต่อต้านขัดขืน’ ที่เถียงว่าผู้ด้อยอำนาจ ทั้งทาส และชาวนาสมัยก่อน ไม่ได้จำนนต่ออำนาจของนาย แต่พวกเขาต่อสู้ในพื้นที่เปิดอย่างการประท้วงไม่ได้ Scott สนใจศึกษา 2-3 อย่างเช่น การนินทา การล้อเลียนลับหลัง และการใช้ชื่อเรียกแทน ซึ่งน่าสนใจมาก และจากข้อสรุปของ Scott ของพวกนี้นำไปเป็นพลังสู่การปลุกจิตสำนึกในการต่อต้านอำนาจแล้วอาจถูกใช้เคลื่อนไปสู่กิจกรรมทางการเมืองได้ ณ จุดหนึ่ง
The MATTER : ตอนนี้มีการใช้อารมณ์ขันในโซเชียลเพิ่มขึ้น ทั้งเพจไข่แมว หรือที่เขียนข่าวล้อเลียน หรืออย่าง The MATTER เองเราก็พยายามทำข่าวให้ตลก จะมีการระวังเรื่องอารมณ์ขันยังไง ไม่ให้ใช้มันไปกลายเป็นการทำร้าย หรือรังแกคนอื่น
ผศ.ดร.จันจิรา: ดิฉันคิดว่าเป้าหมายของการล้อมีอยู่ 2 แบบ คือ หนึ่ง ล้อตัวบุคคล ซึ่งการล้อตัวบุคคลสามารถสร้างภาพตลกได้มาก ล้อญาติ พ่อแม่ ลักษณะทางกายภาพ หรือเอาเรื่องที่เป็นลักษณะส่วนบุคคลมาล้อเลียน แต่อีกลักษณะหนึ่งคือ การเสียดสี โดยใช้ภาษาที่เป็นนามธรรม และเป้าหมายของการเสียดสีคือ นโยบาย สถาบัน หรือระบอบการปกครอง ซึ่งยิ่งรายการตลกการเมืองมีคุณภาพมากเท่าไหร่ การล้อตัวบุคคลจะน้อยลงเท่านั้น สิ่งที่ล้อคือระบอบใหญ่ และนโยบาย เพราะฉะนั้นการล้อทรัมป์ ถ้าล้อท่าทีการพูด ล้อบุคลิกของทรัมป์ถือว่าถูกมาก (Cheap) สิ่งที่รายการตลกของชาวต่างชาติเอามาล้อ จะเป็นนโยบายที่มันไม่สมเหตุสมผล อย่าง HEALTH CARE การแบนผู้อพยพ หรือการที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของรัฐบาลพูดอย่างทำอย่าง จริงๆ มันคือการหลอกลวงซึ่งเป็นแหล่งอันลุ่มรวยของมุขตลกที่ดี เพราะว่ามุขตลกจะเจริญงอกงามในที่ๆ คนโกหก
The MATTER : บางทีคนก็มองว่านายกฯ เราเป็นคนตลก เป็นคนอารมณ์ขัน อาจารย์มองว่าอารมณ์ขันเป็นเครื่องมือของคนมีอำนาจรัฐได้ด้วยรึป่าว
ผศ.ดร.จันจิรา: แน่นอน คือดิฉันว่าแกก็ตลกนะ หลายอย่างทำให้เรารู้สึกว่าคนที่เป็นผู้นำทำได้ไง ปรากฏว่าหลายคนชอบ เพราะว่าแกตลก แกปาเปลือกกล้วยใส่นักข่าว หรือว่าแกดมถุงเท้า คนอื่นเขาก็รู้สึกว่า เป็นคนที่ใกล้ชิดประชาชน คือผู้นำใช้อารมณ์ขันและใช้มาตลอดในฐานะเครื่องมือสร้างเสน่ห์และรังสีผู้นำ อย่างประธานาธิบดี โอบามา อารมณ์ขันดีมากเลยนะ แต่เป็นอารมณ์ขันคนละประเภทกับในยุคเรา ผู้นำใช้อารมณ์ขันเพื่ออะไร อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผู้นำบางประเภทใช้อารมณ์ขันแล้วพอเราฟัง มันขัดหูเรา อย่างเช่น สมัยมีกรณีข่มขืนชาวอังกฤษที่เกาะเต่า นายกฯพูดว่า ถ้าคุณไม่สวยจริง แล้วใส่บิกินนี่ไม่มีใครข่มขืนหรอก หรือการที่ทรัมป์ล้อนักข่าวพิการโดยการทำท่าล้อเลียน คือคนทั้งโลกฟังแล้วตกใจ คนฟังแล้วก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ผู้นำใช้อารมณ์ขันได้ แต่ใช้แล้วเป็นยังไงก็อีกเรื่องหนึ่ง ใช้แล้วทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง หรือใช้แล้วสร้างการยอมรับให้กับอำนาจของตัวเองก็สามารถทำได้
อย่างในยุคนาซี พรรคนาซีสนับสนุนงานศิลปะ และสนับสนุนการทำมหรสพมากมาย มีคณะตลกคาบาเร่ไปท่องเที่ยวเล่นตลกทั่วประเทศ แต่การแสดงตลกได้เข้าไปเผยแพร่โฆษณานโยบายชวนเชื่อให้กับประชาชนด้วย มีเยอะแยะที่ฝ่ายขวาใช้วิธีแบบนี้ อย่างขบวนการ Greenpeace ของฝ่ายขวา เดี๋ยวนี้ก็สร้างกระบวนการประท้วงโดยใช้ตลกเหมือนกัน
พื้นที่โซเชียลมันควบคุมได้ยาก เนื่องจากรัฐบาลไม่ชอบถูกล้อจากประชาชน เผด็จการไม่ชอบถูกล้อเพราะรู้สึกเสียฐานอำนาจ เพราะเผด็จการต้องพยายามทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่
The MATTER : ในมุมมองของตัวอาจารย์เอง คิดว่าในการเมืองไทยตอนนี้เรื่องไหนเป็นเรื่องที่น่าขำที่สุด
ผศ.ดร.จันจิรา: ต้องบอกตามตรง บางทีก็ขำไม่ค่อยออกนะ (หัวเราะ) คือเวลาดูข่าวแล้วขำเนี่ย อย่างที่บอกว่าอารมณ์ขันมันต้องมีสิ่งที่เรียกว่าเหลือเชื่อ หรือการขัดกันระหว่างสิ่งที่พูดกับความเป็นจริง เพราะฉะนั้น บ้านเราเป็นสังคมหน้าบาง เวลาเราเจอข้อกล่าวหาอะไรนิดหน่อย เราจะรู้สึกขายหน้า แล้วเราก็ต้องพยายามหาคำแก้ตัว อย่างนโยบายในการสร้างและจัดระเบียบต่างๆ บางทีเจ้าหน้าที่ก็เข้าไปจัดระเบียบในพื้นที่แปลกๆ เช่น คลับ บาร์ หรือพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศไทย คือมันไม่ใช่ขำก๊ากอ่ะ แต่เป็นขำหดหู่
ดิฉันคิดว่า ในโลกโซเชียลต่างๆ ที่เราเห็นความพยายามใช้อารมณ์ขัน จิกกัด ล้อเลียนรัฐบาล ดิฉันคิดว่าน่าสนใจ แล้วมันทำให้เราเห็นว่า พื้นที่โซเชียลมันควบคุมได้ยาก เนื่องจากรัฐบาลไม่ชอบถูกล้อจากประชาชน เผด็จการไม่ชอบถูกล้อเพราะรู้สึกเสียฐานอำนาจ เพราะเผด็จการต้องพยายามทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ พอเวลารัฐบาลพยายามควบคุมเสียงหัวเราะ สิ่งที่เขาคุมได้ดีคือเสียงหัวเราะในพื้นที่ของสื่อทีวี สื่อกระแสหลัก ในพื้นที่ประท้วง หรืองานเสวนาต่างๆ แต่ว่าในโซเชียลมีเดียควบคุมยากมาก คนมันแชร์ๆ ต่อๆ กัน แล้วสิ่งสำคัญของอารมณ์ขันมันคือการตีความ บางทีคุณล้อๆ ไปอย่างเพจไข่แมว แม้ว่าจะไปล้ออย่างอื่นแต่จริงๆ แล้วแอบเสียดสีอำนาจของรัฐบาล มันเลยล้อได้เยอะเพราะอารมณ์ขันมันดิ้นได้ แล้วมันเป็นเครื่องมือของใครก็ได้ เราจะตีความอย่างไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราศึกษาอารมณ์ขันในฐานะเครื่องมือการประท้วง เราต้องตีกรอบบริบทพอสมควรว่าอารมณ์ไหน บริบทไหน เพราะอารมณ์ขันมันลื่นไหลไปตลอดเวลา
Photo by Nantanat Thamthonsiri, Asadawut Boonlitsak